MUIC เปิดผลสำรวจตลาดแรงงาน 90% ต้องการจ้างคนมีทักษะ AI – 93% สื่อสารภาษาอังกฤษได้
แนะ 7 แนวทางสถาบันศึกษาปั้นคนให้ตรงกับตลาดแรงงาน พร้อมเปิด 5 อาชีพมาแรงแห่งยุค

วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดผลสำรวจผู้ประกอบการ “Annual Graduate Employer Survey 2025” จากองค์กรชั้นนำ ครอบคลุมภาคเอกชน ภาครัฐ และอาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตศึกษาต่อต่างประเทศนำ ควบคู่กับผลสำรวจความคิดเห็นบัณฑิตที่จบการศึกษาในปี 2025 พบ 3 เทรนด์ใหญ่ที่ตลาดแรงงานแห่งอนาคตต้องการ ประกอบด้วย 1. นายจ้าง 93% ให้ความสำคัญกับทักษะ ‘การสื่อสารภาษาอังกฤษ’ สูงสุด และ 90% ต้องการคนที่เข้าใจและสามารถใช้ ‘AI และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ได้’ โดย 75% ชี้ว่า ‘ความพร้อมทำงานจริงในปีแรก’ สำคัญกว่าเกรด และ 60% กังวลบัณฑิตใหม่ขาดทักษะการจัดการด้านอารมณ์ (emotional intelligence) และสื่อสารในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง พร้อมเสนอ “7 แนวทางปรับตัวของสถาบันการศึกษา” เปิด 5 สายอาชีพดาวรุ่ง พร้อมนำร่องปรับ 17 หลักสูตรปั้นบัณฑิตตอบโจทย์ทันที

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา โฉมฉาย คณบดี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Annual Graduate Employer Survey 2025 ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นจากบัณฑิตจำนวน 412 คน ควบคู่กับผู้ประกอบการ และผู้ว่าจ้าง จากองค์กรชั้นนำจำนวน 63 แห่งครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ธุรกิจบริการ โรงแรม, การให้คำปรึกษา, เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ ตลอดจนอาจารย์ที่ปรึกษาของบัณฑิตที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ ทั้งสองชุดข้อมูลสะท้อนเทรนด์ความต้องการแรงงานในอนาคต โดยนายจ้างในประเทศไทยให้ความสำคัญกับทักษะหลัก 3 ด้าน ซึ่งจะเป็น “หัวใจของความพร้อมในการทำงาน” ได้แก่

(1) ทักษะการสื่อสารในระดับนานาชาติ (Global Communication)

(2) ความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี AI และดิจิทัล (AI & Digital Literacy)

(3) ความพร้อมในการทำงานจริงและการปรับตัวในสภาพแวดล้อมการทำงาน (Workplace Readiness)

โดยผลสำรวจพบว่า 93% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่สองเป็นทักษะสำคัญที่สุดในการจ้างงานโดยเฉพาะในองค์กรที่ทำธุรกิจในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ต้องการบุคลากรที่สามารถ เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสามารถสื่อสารอย่างมั่นใจในระดับมืออาชีพ และมีความเคารพในความต่างทางวัฒนธรรม แนวโน้มนี้ชี้ชัดว่า ในปี 2569 มหาวิทยาลัยควรปรับการเรียนการสอนภาษาให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานจริง เช่น การนำเสนอ การเจรจา และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม Cross Culture)

ในขณะผลสำรวจยังพบอีกว่า 90% ของนายจ้าง คาดหวังให้พนักงานมีความเข้าใจและสามารถใช้ เครื่องมือ AI      ในการวิเคราะห์ข้อมูล และระบบการทำงานแบบดิจิทัล ได้อย่างคล่องแคล่ว ทักษะเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะสายเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น ทักษะพื้นฐานของทุกสายอาชีพ ตั้งแต่การตลาด ธุรกิจ ไปจนถึงการบริการ เพราะ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุกวัน คนที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลและข้อมูลได้ดีจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคการศึกษาไทยต้องเร่งบูรณาการ ความรู้ด้าน AI และ Data Literacy ในทุกหลักสูตร พร้อมส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม

ขณะเดียวกันพบว่ามากกว่า 75% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการปรับตัวและลงมือทำงานได้จริงในปีแรก เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินศักยภาพของบัณฑิต มากกว่าผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา นายจ้างจำนวนมากต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ ฝึกงาน โครงงานจริง หรือการเรียนรู้จากสถานการณ์ในภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันนายจ้างยังมองว่าความมั่นใจและความฉลาดทางอารมณ์เป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งพัฒนา แม้ว่านายจ้างส่วนใหญ่พึงพอใจกับคุณธรรมและการทำงานเป็นทีมของบัณฑิต

แต่กว่า 60% พบว่าผู้จบการศึกษายังขาด “ความมั่นใจในการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์กดดัน” นายจ้างมองว่าทักษะด้านจิตใจและอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานในยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เนื่องจาก“ทักษะทางเทคนิคทำให้ได้งาน แต่ความฉลาดทางอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้คนเติบโตในงาน” สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับ การพัฒนา Soft Skills เช่น ความมั่นใจ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และความฉลาดทางสังคม เพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวต่อว่า MUIC ได้สรุป 7 แนวทางสำคัญที่สถาบันการศึกษาไทยควรปรับตัวทันที ได้แก่

1. AI & Data Literacy for All: ฝังทักษะ AI และ Data Analysis ลงในทุกหลักสูตร ไม่จำกัดเฉพาะสายไอที

2. Work – Integrated Learning (WIL): ผนวกการฝึกงานและเคสจริงจากองค์กร เพื่อลดช่องว่าง เรียนจบแต่ทำงานไม่เป็น”

3. Global Communication Bootcamp: เน้น “ภาษางาน” (Business Language) ที่ใช้ทำงานจริง เช่น ภาษาเพื่อการนำเสนอ, ภาษาเพื่อการเจรจา, การเขียนอีเมลธุรกิจ และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม (Cross-cultural Communication)

4. Critical Thinking Studio: จัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น Case-based Analysis, Decision Tree & Hypothesis-driven Thinking เพื่อลดปัญหา คิดไม่เป็น ตัดสินใจไม่ชัด

5. Emotional Resilience & Professional Etiquette: ฝึกการทำงานภายใต้แรงกดดันและความเป็นมืออาชีพ เพื่อเพิ่มวุฒิภาวะ

6. Career Tracks & Micro-Credentials: ออกแบบเส้นทางทักษะ (Skill Mapping) และใบรับรองทักษะเฉพาะทาง (Micro-Credential Certificates) ที่นายจ้างสามารถเข้าใจ เช่น Data–AI Track, Cybersecurity Track, Digital Hospitality Track, HealthTech Track และ ESG/Sustainability Track

7. Language as an Economic Skill: ปรับวิชาภาษาให้เป็น “วิชาทักษะทำงาน” ไม่ใช่เพื่อสอบเท่านั้น แต่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารในงานจริง การสรุปงาน การเจรจา และการนำเสนอ

ทั้งนี้ MUIC ได้ทำการวิเคราะห์จากข้อมูลข้างต้น และมีข้อสรุปออกมาว่า 5 กลุ่มสายอาชีพที่จะเติบโตสูงใน 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. ดิจิทัล – ข้อมูล – AI เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรข้อมูล, ผู้เชี่ยวชาญด้าน Prompt/ Automation 2.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ / การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านดิจิทัล (Digital Compliance) เช่น นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์, ผู้เชี่ยวชาญด้าน GRC (Governance, Risk & Compliance)/Privacy 3. การท่องเที่ยว–บริการเชิงคุณภาพแบบดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัลในธุรกิจโรงแรม, การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ให้ผู้เข้าพักประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ 4. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เน้นการป้องกันและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน (Healthcare and Wellness) โดยใช้ AI และ เครื่องมือดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพรายบุคคล, การสื่อสารด้านสุขภาพเฉพาะกลุ่ม และ 5. การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจและสังคมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น (Green transformation) เช่น นักวิเคราะห์และจัดทำรายงานประเมินด้านความยั่งยืนหรือ ESG (Environment, Social & Governance), การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน)

“เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว MUIC ได้นำร่องปรับหลักสูตรใหม่ 17 สาขา ครอบคลุมทั้งสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี บริหารธุรกิจ และศิลปศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปั้นบัณฑิตให้ ‘พร้อมทำงานจริง’ (Workplace Readiness) เราได้บูรณาการทักษะจำเป็นแห่งยุค AI และดิจิทัลเข้าไปในหลักสูตร และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านระบบ I-Design Elective ที่นักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาเสริมเพื่อสร้างทักษะเฉพาะตัว เรามั่นใจว่าบัณฑิตที่จบจากหลักสูตรใหม่นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานแห่งอนาคต ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวทิ้งท้าย