ไม่ซื้อตอนนี้แล้วจะซื้อตอนไหน! นักวิเคราะห์คาด ปีหน้า ‘มือถือ’ ใหม่อาจ ‘แพงขึ้น’ 7% เพราะ ‘ชิป’ ถูกเอาไปใช้ใน AI หมด

ภาพจาก Unsplash
จากภาวะขาดแคลน ชิปหน่วยความจำ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่สินค้าส่วนใหญ่ไหลเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรม AI ซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลให้ ราคาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในปีหน้า (2026) พุ่งสูงขึ้น

Counterpoint Research ระบุในรายงานเมื่อวันอังคารว่า ในปี 2026 ราคาขายเฉลี่ย (Average Selling Price) ของสมาร์ทโฟนอาจพุ่งขึ้น 6.9% เมื่อเทียบปีกับปี 2025 ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะพุ่งขึ้นเพียง 3.6% และคาดว่าจะส่งผลให้ ยอดส่งออก (Shipments) ลดลง -2.1% จากที่ปีนี้มีแนวโน้มเป็นบวก

สาเหตุของปัญหาดังกล่าวเกิดจากการการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของศูนย์ข้อมูล (Data Centers) เพื่อรองรับการใช้งานของ AI ประกอบกับปัญหาคอขวดในซับพลายเชนของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลให้เกิด ขาดแคลนชิปหน่วยความจำ โดยเฉพาะ DRAM ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญสำหรับสมาร์ทโฟนเช่นกัน ส่งผลให้ราคา DRAM จึงพุ่งสูงขึ้นในปีนี้

โดย Counterpoint ระบุว่า ราคาหน่วยความจำอาจพุ่งขึ้นอีก +40% ไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุน ต้นทุนค่าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ (Bill of Materials : BoM) เพิ่มขึ้นอีกระหว่าง +8% ถึงมากกว่า +15% จากระดับที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบัน

นับตั้งแต่ต้นปี 2025 สมาร์ทโฟนระดับล่างที่มีราคาต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ (ประมาณ 7,000 บาท) มีต้นทุนค่าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นแล้วประมาณ +20-30% ส่วนส่วนสมาร์ทโฟนระดับกลางและระดับไฮเอนด์มีต้นทุนชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น +10-15% ดังนั้น ราคาชิ้นส่วนที่สูงขึ้นนี้อาจถูกผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นตามไปโดยปริยาย

ดังนั้น แบรนด์อย่าง Apple และ Samsung อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการรับมือกับมรสุมที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากโฟกัสอยู่ในเซกเมนต์ไฮเอนด์ แต่ผลกระทบนี้จะเห็นชัดในแบรนด์ที่เน้นเซกเมนต์ล่าง-กลาง ที่อาจไม่มีพื้นที่ในการรักษาสมดุลระหว่างส่วนแบ่งการตลาดและอัตรากำไร

โดย Counterpoint ทิ้งท้ายว่า บางบริษัทอาจตัดสินใจ ลดสเปกชิ้นส่วนอื่นๆ ลง เช่น โมดูลกล้อง, หน้าจอ หรือแม้แต่ระบบเสียง รวมถึงอาจมีการนำชิ้นส่วนรุ่นเก่ากลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนมีแนวโน้มจะพยายามจัดแคมเปญจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาสูงขึ้นแทน

Source