ปี 2004 นับเป็นปีสำคัญที่ทวีปยุโรปจะต้องจารึกจดจำ ไมใช่เพียงเพราะเป็นปีที่มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่เวียนมาทุกๆ 4 ปีเท่านั้น แต่ยังเป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งสะท้อนถึงการผสานความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆในยุโรปอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขยายความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรปตะวันตกกับประเทศยุโรปตะวันออกครั้งสำคัญ เนื่องจากทั้งสหภาพยุโรปที่เคยเป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปตะวันตก และองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ที่เป็นความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงของประเทศโลกตะวันตก ต่างได้รับสมาชิกใหม่ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออกหรืออดีตประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์
เดิมในอดีต ประเทศในค่ายยุโรปตะวันตกและค่ายยุโรปตะวันออกที่เป็นบริวารของสหภาพโซเวียตได้มีการเผชิญหน้าในรูปแบบของสงครามเย็นมาตั้งแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นทั้งในด้านการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี่ ตลอดจนด้านการกีฬาซึ่งแน่นอนรวมทั้งกีฬาฟุตบอลด้วย โดยที่การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์
แห่งชาติยุโรปในอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่ครั้งแรกในปี 1960 เรื่อยมาจนถึงยุคทศวรรษ 1990 จัดเป็นเกมกีฬาการแข่งขันที่แฝงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีระหว่างทีมจากชาติยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวัน
ออกรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ทีมจากยุโรปตะวันออกก็ได้แสดงผลงานประทับใจไม่น้อยหน้าทีมจากยุโรปตะวันตก ดังเห็นได้จากการที่สหภาพโซเวียตสามารถครองแชมป์ในการแข่งขันฟุตบอลยูโรครั้งแรกในปี 1960 และได้เป็นรองแชมป์ในปี 1964, 1972 และ 1988 ในขณะที่เช็กโกสโลวะเกียครองแชมป์ในปี 1976 ได้รองแชมป์ในปี 1996 และได้ตำแหน่งที่ 3 ในปี 1980 ทั้งนี้แฟนบอลรุ่นเก่าๆในยุคสงครามเย็น คงยังจำลีลา สไตล์ และวิธีการเล่นอย่างเป็นระบบที่เน้นระเบียบวินัยแบบทหารของทีมเหล่านี้ได้
สำหรับฟุตบอลยูโรในปี 2004 ครั้งนี้ จากทั้งหมด 16 ทีมที่เข้าแข่งขัน ในจำนวนนี้มี 5 ทีมเป็นทีมจากกลุ่มยุโรปตะวันออก ได้แก่ รัสเซีย โครเอเชีย บัลแกเรีย สาธารณรัฐเช็ก และลัตเวีย ซึ่ง 3 ใน 5 ประเทศเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ของสององค์กรหลักในยุโรป นั่นก็คือ สหภาพยุโรปและองค์การนาโต้ดังกล่าวข้างต้นที่ในอดีตเคยจำกัดให้เฉพาะสมาชิกที่เป็นประเทศในค่ายตะวันตกเท่านั้น
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่เพิ่งผ่านมานี้เอง สหภาพยุโรปหรืออียู (European Union:EU) ได้รับสมาชิกใหม่จำนวน 10 ประเทศ อันได้แก่ โปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเช็ก สโลวะเกีย ลิทัวเนีย ลัตเวีย เอสโตเนีย สโลวีเนีย ไซปรัส และมอลตา ซึ่งประเทศเหล่านี้เกือบทั้งหมด (ยกเว้นไซปรัส และมอลตา) เป็นอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ทำให้ปัจจุบันอียูมีจำนวนสมาชิกเพิ่มเป็น 25 ประเทศ
นอกจากนี้อียูยังมีกำหนดการจะรับสมาชิกใหม่อีก 2 ประเทศซึ่งเป็นประเทศยุโรปตะวันออกเช่นกัน คือ โรมาเนีย และบัลแกเรียในปี 2007 การขยายอาณาเขตของสหภาพยุโรปจึงเสมือนหนึ่งการลบเส้นแบ่งระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออกลงอย่างสิ้นเชิง โดยที่ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปซึ่งในอดีตเรียกว่าประชาคมเศรษฐกิจยุโรป(EEC)และก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1957 เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆในยุโรปตะวันตกเท่านั้น อย่างไรก็ตามภายหลังการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปพร้อมๆกับการแตกสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงต้นทศวรรษที่1990 ได้ทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออกหันมาพัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาดในระบบทุนนิยม รวมทั้งการขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่เพิ่งผ่านมาเช่นกัน องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ (North Atlantic Treaty Organization : NATO) ก็ได้มีพิธีรับสมาชิกใหม่ 7 ประเทศ อันได้แก่ บัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวะเกีย และสโลวีเนีย ซึ่งล้วนเป็นอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก โดยที่ 3 ใน 7 ประเทศ (คือ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหภาพโซเวียตด้วย ทำให้ปัจจุบันนาโต้มีสมาชิกรวม 26 ประเทศ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้คือในปี 1999 องค์การนาโต้ก็ได้รับประเทศสมาชิกใหม่จากกลุ่มยุโรปตะวันออกเป็นครั้งแรก คือ สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี และโปแลนด์
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแนวโน้มการผสมผสานกลมกลืนระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออกได้เพิ่มขึ้นตามลำดับ จากอดีตที่นาโต้ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1949 จำกัดเฉพาะสมาชิกที่เป็นประเทศในโลกตะวันตก อย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกล้วนๆ อย่างเช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมันตะวันตก เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ เท่านั้น แต่ปัจจุบันนับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการสิ้นสุดลงของสงครามเย็น จึงทำให้การเผชิญหน้ากันในลักษณะคู่อริระหว่างกสุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออกได้สิ้นสุดลงตามไปด้วย
การยอมรับประเทศยุโรปตะวันออกเข้าเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของสหภาพยุโรปดังกล่าว จึงเท่ากับเป็นการทลายพรมแดนความแตกต่างทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมระหว่างประเทศยุโรปตะวันตกและประเทศยุโรปตะวันออก ซึ่งย่อมจะหมายถึงการขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและประชากรของประเทศเหล่านี้ ที่จะมีการผสมผสานและแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในสาขาต่างๆ รวมไปถึงการกีฬา ซึ่งแน่นอนรวมทั้งกีฬาฟุตบอลและธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วย
อันที่จริงธุรกิจฟุตบอลอาชีพในยุโรปได้มีการพัฒนาในลักษณะผสมผสานมานานแล้วพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการซื้อขายแลกเปลี่ยนตัวนักฟุตบอลระหว่างสโมสรต่างๆในยุโรปโดยไม่มีการจำกัดสัญชาติของผู้เล่น ยังผลให้หลายสโมสรดังๆมีตัวผู้เล่นผสมผสานจากหลายสัญชาติ แนวโน้มดังกล่าวเด่นชัดขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้หลายสโมสรกลายเป็นที่รวมของนักเตะเด่นๆจากหลายชาติ ทั้งจากยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก หรือแม้แต่นักเตะจากนอกทวีปยุโรป ซึ่งแต่เดิมก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีเลย และฟุตบอลยูโร 2004 ครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาทีมจากชาติยุโรปตะวันออกที่เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของบอลยูโรครั้งนี้ทั้ง 5 ทีม จะพบว่ามีผู้เล่นจำนวนมากซึ่งแม้จะมีสัญชาติประเทศในยุโรปตะวันออก แต่ก็เป็นนักฟุตบอลสังกัดสโมสรดังๆ ในยุโรปตะวันตก อาทิ Bayern Munich, Bayer Leverkusen, Kaiserlautern ฯลฯ ของเยอรมนี Liverpool ของอังกฤษ, Juventus และ AC Milan ของอิตาลี, Ajax Amsterdam ของเนเธอร์แลนด์, Monaco ของฝรั่งเศส เป็นต้น
ซึ่งในบรรดาผู้เล่นเหล่านี้มีหลายคนจัดว่าเป็นนักเตะระดับดาราของสโมสรที่ตนสังกัดด้วย อาทิ มิลาน บารอส และพาเวล เนดเวด ของสาธารณรัฐเช็ก ที่เล่นให้กับสโมสรลิเวอร์พูล และจูเวนตุส ตามลำดับ รวมทั้ง ดาโด เพอร์โซ, โรเบิร์ต โควัช และอีทอร์ ทูดอร์ ของโครเอเชีย ที่เล่นให้กับสโมสรโมนาโก, บาเยิร์น มิวนิก และจูเวนตุส ตามลำดับ
นอกจากนี้ หากพิจารณารายชื่อผู้เล่นจำนวน 23 คนที่แต่ละประเทศส่งมาแข่งขัน ก็จะพบว่าในทีมชาติโครเอเชียมีผู้เล่นประมาณ 16-17 คน หรือกว่าร้อยละ 70 เป็นนักเตะสัญชาติโครเอเชียนที่สังกัดสโมสรดังๆในยุโรปตะวันตก(โดยเฉพาะอย่างยิ่งสโมสรต่างๆในบุนเดสลีก้าของเยอรมัน จนดูแล้วเกือบจะเป็นทีมชาติเยอรมันชุดบี) ในทำนองเดียวกันทีมสาธารณรัฐเช็กก็มีจำนวนนักเตะสัญชาติเช็กสังกัดสโมสรยุโรปตะวันตกประมาณ 16 คนหรือร้อยละ 70 ส่วนทีมบัลแกเรียมีจำนวนประมาณ 6 คน ในขณะที่ทีมลัตเวียซึ่งอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตและเป็นน้องใหม่ในวงการฟุตบอล ก็ยังมีนักเตะที่สังกัดสโมสรในยุโรปตะวันตกถึง 5 คน
และสุดท้ายคือรัสเซียซึ่งในอดีตถือเป็นพี่ใหญ่ในค่ายคอมมิวนิสต์และครั้งหนึ่งเคยเป็นเสมือนสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งศักดิ์ศรีของทีมจากยุโรปตะวันออก แต่ปัจจุบันยังเน้นการพัฒนาฟุตบอลด้วยตนเองด้วยสโมสรภายในประเทศ โดยทีมรัสเซียมีผู้เล่นรัสเชียนที่สังกัดสโมสรในยุโรปตะวันตกประมาณ 3 คนเท่านั้น
รายชื่อสโมสรฟุตบอลในยุโรปต.ต. ต้นสังกัดที่นักเตะทีมชาติจากยุโรปต.อ.ชุดนี้เล่นประจำอยู่
โครเอเชีย
– Bayern Munich, Werder Bremen, Bayer Leverkusen, Kaiserlautern, Hertha Berlin, และ VfB Stuttgart ของเยอรมนี
– Juventus, AC Milan และ Ancona ของอิตาลี
– Monaco ของฝรั่งเศส
– Benfica ของโปรตุเกส
– Portsmouth ของอังกฤษ
– Club Bruges ของเบลเยี่ยม
– Austria Vienna, Graz AK ของออสเตรีย
สาธารณรัฐเช็ก
– Liverpool, และ Chelsea ของอังกฤษ
– Borussia Dortmund, Kaiserlautern, Hamburg SV, และ 1860 Munich ของเยอรมนี
– Juventus, Udinese, และ Regina ของอิตาลี
– Monaco, และ Olympique Marseille ของฝรั่งเศส
– Ajax Amsterdam ของเนเธอร์แลนด์
– Club Bruges ของเบลเยี่ยม
– Graz AK ของออสเตรีย
บัลแกเรีย
– Bayer Leverkusen, VFL Wolfsburg, และ Kaiserlautern ของเยอรมนี
– AEK Athens ของกรีซ
– Celtic ของสก็อตแลนด์
– Lille ของฝรั่งเศส
ลัตเวีย
– Fulham, และ Southampton ของอังกฤษ
– Beveren ของเบลเยี่ยม
– Herold Admira ของออสเตรีย
– Viborg ของเดนมาร์ก
รัสเซีย
– Portsmouth ของอังกฤษ
– Celta ของสเปน
– Porto ของโปรตุเกส
ที่มา : รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าการผสมผสานของนักเตะจากประเทศยุโรปตะวันออกที่ไปค้าแข้งในประเทศยุโรปตะวันตก คือผลจากการเปิดเสรีทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมไปถึงธุรกิจการกีฬาอย่างเช่นฟุตบอลอาชีพ ที่ไม่อาจต้านกระแสโลกาภิวัตน์ได้ ซึ่งแนวโน้มนี้จะยิ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่าในอนาคตแต่ละชาติในยุโรปจะยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสไตล์การเล่นฟุตบอลของตนเองอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ยังเชื่อว่าช่องว่างความแตกต่างของทักษะ ลีลา ตลอดจนเทคนิคการเล่นฟุตบอลระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออกจะลดลงตามลำดับ อีกทั้งความรู้สึกของแฟนบอลตั้งแต่อดีตที่เคยมองทีมฟุตบอลจากยุโรปตะวันออกแตกต่างไปจากทีมยุโรปตะวันตกก็จะค่อยๆจางหายไปในอนาคต
เช่นเดียวกับการแบ่งค่ายเป็นกลุ่มประเทศโลกเสรีในยุโรปตะวันตกและกลุ่มประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกในยุคสงครามเย็นที่ค่อยๆเลือนหายไป พร้อมๆกับการผสานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองระหว่างกลุ่มประเทศเหล่านี้ที่นับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น