ประเทศลาว ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกับประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกกระแสไฟฟ้าพลังน้ำรายสำคัญสู่ประเทศใกล้เคียง เช่น ประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา ตามนโยบายของการพัฒนาแหล่งน้ำภายในประเทศให้เป็นแหล่งรายได้หลัก เพื่อนำประเทศลาวออกจากกลุ่มประเทศที่ยากจนให้ได้ภายในปี 2563 รวมทั้งยังสอดรับกับนโยบายการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกเพื่อทดแทนการใช้พลังงานน้ำมันของกลุ่มอาเซียนอย่างลงตัว
แม้ว่าที่ผ่านมา ประเทศลาวมักจะถูกมองข้ามจากนักลงทุนต่างชาติ ด้วยข้อจำกัดด้านทำเลที่ตั้งที่ถูกปิดล้อมไม่มีทางเชื่อมสู่ทะเล มีขนาดตลาดเล็ก เนื่องจากมีจำนวนประชากรเพียงแค่ 5 ล้านคนเศษๆ และมีอำนาจซื้อต่ำ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม การที่ลาวมีศักยภาพสูงในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ นับเป็นจุดเด่นของประเทศลาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตามแนวทางที่ได้วางไว้
ลาว: พลังงานน้ำสู่พลังงานไฟฟ้า
สภาพภูมิประเทศของลาวที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และมีแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความยาวเป็นอันดับสามของทวีปเอเชียไหลผ่าน โดยมีความยาวเฉพาะส่วนที่ไหลผ่านประเทศลาว 1,500 กิโลเมตร รวมทั้งแม่น้ำลำธารสายต่างๆในประเทศลาวมีความยาวรวมกันเป็นระยะทางอีกกว่า 1,397 กิโลเมตร ส่งผลให้พลังงานน้ำจากแม่น้ำและลำธารเหล่านี้กลายเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไปและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ที่สำคัญที่สุดของลาว นำไปสู่แนวคิดการเปลี่ยนพลังน้ำให้เป็นพลังงานไฟฟ้าในลาว และได้เริ่มมีการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขึ้นเป็นครั้งแรกที่เซลาบามและน้ำดงเมื่อปี 2513 มีกำลังผลิต 5 และ 1 เมกะวัตต์ ตามลำดับ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในเขตชุมชนเป็นวงแคบๆ
ปัจจุบันบทบาทของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำต่างๆในประเทศลาวมีความสำคัญต่อประเทศลาว ทั้งในด้านเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ และเป็นแหล่งรายได้หลักของการส่งออกของประเทศ ทั้งนี้ ลาวขายกระแสไฟฟ้ากว่าครึ่งหนึ่งของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้กับประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลัก สร้างรายได้สู่ประเทศลาวปีละกว่า 4,300 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32.6 ของรายได้จากการส่งออกสินค้าทั้งหมดของลาว นอกจากนี้ อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังน้ำยังเป็นอุตสาหกรรมที่เชื่อมลาวเข้ากับนักลงทุนต่างชาติอย่าง จีน ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม และไทย เฉพาะเม็ดเงินลงทุนของไทยในประเทศลาวเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้าและสร้างโรงงานไฟฟ้า 5 โครงการ สูงถึง 60,900 ล้านบาท รัฐบาลลาวมุ่งหวังที่จะให้เงินลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลสู่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำต่างๆ รวมถึงเงินช่วยเหลืออื่นๆที่เกี่ยวข้องได้หมุนเวียนกลับมาพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนลาวอีกต่อหนึ่ง
ประมาณการว่า ด้วยสภาพภูมิประเทศของลาวที่มีแม่น้ำโขงและแม่น้ำลำธารสายต่างๆไหลผ่าน ประเทศลาวสามารถสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำได้กว่า 60 แห่ง และแปรเปลี่ยนพลังงานน้ำเหล่านั้นมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าได้สูงถึง 20,000 เมกะวัตต์ แต่ในปัจจุบันประเทศลาวสามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 3 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลลาวได้วางเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำให้ได้ประมาณ 7,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563 จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้งหมดจำนวน 23 โครงการที่ได้อนุมัติแล้ว โดยพลังงานดังกล่าวกว่า 3,000 เมกะวัตต์จะทยอยจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยภายในปี 2549 และส่งออกพลังงานไฟฟ้าอีก 1,500-2,000 เมกะวัตต์ ไปยังเวียดนามภายในปี 2553 นอกจากนี้ ทางการลาวและกัมพูชายังได้บรรลุข้อตกลงที่จะซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันในอนาคตอันใกล้อีกด้วย
กระแสไฟไทย-ลาว
ความร่วมมือด้านกระแสไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับลาว นับเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจระหว่างกัน การซื้อขายกระแสไฟฟ้าไทย-ลาว ประกอบด้วย 2 รูปแบบ คือ
– การซื้อขายระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลลาว ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-ลาว ฝ่ายไทยจะรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของรัฐบาลลาวที่ผลิตเกินความต้องการใช้ของประชาชนลาว จากโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ 3 แห่ง ได้แก่ โครงการน้ำงึม 1 โครงการน้ำลึก และโครงการเซเสด ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันประมาณ 255 เมกะวัตต์ โครงการทั้งสามตั้งอยู่ทางตอนบนของลาว ประเทศไทยรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากลาวผ่านจุดส่งมอบบริเวณจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดอุตรดิตถ์ ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็จะขายกระแสไฟฟ้าบางส่วนให้แก่พื้นที่ตอนล่างของประเทศลาวผ่านจุดส่งมอบบริเวณจังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับลาวตอนล่าง ทำให้การส่งกระแสไฟฟ้าจากไทยไปลาวในพื้นที่บริเวณนี้มีความสะดวกมากกว่าการที่ทางการลาวจะติดตั้งสายส่งกระแสไฟฟ้าจากตอนเหนือไปยังตอนใต้ของประเทศที่ค่อนข้างห่างไกลกัน ปริมาณซื้อขายกระแสไฟฟ้าในกรณีนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการใช้ของประชาชนชาวลาวในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก
– การซื้อขายระหว่างรัฐบาลไทยกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในลาว การซื้อขายกระแสไฟฟ้าในกรณีนี้ เป็นการซื้อขายเชิงพาณิชย์และมีการส่งมอบตามที่ได้ตกลงกันไว้ โครงการที่ฝ่ายลาวเสนอให้อยู่ในแผนการเจรจาซื้อขายกระแสไฟฟ้ามีจำนวน 8 โครงการ ปัจจุบันฝ่ายไทยได้ลงนามซื้อไฟฟ้าจากเอกชนลาวแล้ว 3 โครงการ คือ
• โครงการเทิน-หินบุน ปริมาณไฟฟ้า 187 เมกะวัตต์ ผ่านทางจังหวัดสกลนคร
• โครงการห้วยเฮาะ ปริมาณไฟฟ้า 126 เมกะวัตต์ ผ่านจังหวัดอุบลราชธานี
• โครงการน้ำเทิน 2 ขณะนี้ยังไม่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าปริมาณ 920-948 เมกะวัตต์เข้าระบบ ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ด แต่เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์แล้วจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีขนาดกำลังการผลิตสูงที่สุดของลาว
ปริมาณการซื้อขายกระแสไฟฟ้าของประเทศไทย-ลาว ในระหว่างปี 2543-2546 ประเทศไทยซื้อกระแสไฟฟ้าจากลาว มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 4,300 ล้านบาท และขายกระแสไฟฟ้าให้แก่ลาวเฉลี่ยปีละ 240 ล้านบาท ประเทศไทยขาดดุลการซื้อขายกระแสไฟฟ้าจากลาวเฉลี่ยปีละกว่า 4,060 ล้านบาท สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2547 ประเทศไทยนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากลาวคิดเป็นมูลค่า 828.42 ล้านบาท ขณะที่ขายกระแสไฟฟ้าให้ลาวคิดเป็นมูลค่า 144.79 ล้านบาท ประเทศไทยขาดดุล 683.64 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการขาดดุลการซื้อขายกระแสไฟฟ้าของประเทศไทยต่อลาวนั้น ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้กับผลประโยชน์มหาศาลต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนไทยที่ได้รับประโยชน์จากกระแสไฟฟ้าของลาว และส่งผลถึงการกระตุ้นให้เกิดการค้าและการลงทุนระหว่างสองมิตรประเทศแห่งลุ่มน้ำโขงมากยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจไทย-ลาว: ลงทุนคึกคัก…ค้าขายชื่นมื่น
นอกเหนือไปจากลักษณะพิเศษของการซื้อขายกระแสไฟฟ้าระหว่างกัน ซึ่งสามารถกระทำได้โดยอาศัยความได้เปรียบจากลักษณะที่ตั้งของประเทศ ประเทศไทยและลาวมีความร่วมมือด้านการลงทุนและการค้าระหว่างกันที่น่าสนใจ สรุปได้ดังนี้
– ไทยครองแชมป์ลงทุนในลาว
นับตั้งแต่ลาวได้เริ่มปฏิรูประบบเศรษฐกิจด้วยการกระจายอำนาจจากส่วนกลางและสนับสนุนให้มีการประกอบการของภาคเอกชน ตั้งแต่ปี 2529 ส่งผลให้นักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนในลาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2531 จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม 2547 ปรากฏว่า นักลงทุนชาวไทยอาศัยความใกล้ชิดทั้งทางด้านภูมิประเทศที่มีพรมแดนติดกัน รวมถึงวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายคลึงกัน เข้าไปลงทุนในลาวมากที่สุดจำนวน 280 โครงการ โดยมีมูลค่าเงินลงทุน 109,035.6 ล้านบาท สาขาอุตสาหกรรมที่นักลงทุนชาวไทยขนเม็ดเงินเข้าไปลงทุนเป็นมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การผลิตกระแสไฟฟ้าและโรงไฟฟ้า การขนส่งและสื่อสารโทรคมนาคม และธุรกิจโรงแรม
– ลาว…คู่ค้าชายแดนอันดับ 3 ของไทย
ภาวะการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยกับลาวค่อนข้างราบรื่นมาโดยตลอด แม้ว่าการค้าขายชายแดนระหว่างกันไม่ค่อยคึกคักนัก เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าระหว่างการค้าชายแดนของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน 4 ประเทศ พบว่า การค้าชายแดนระหว่างไทยกับลาวก็มีมูลค่ามากเป็นอันดับสาม รองจาก มาเลเซีย และพม่า ส่วนกัมพูชารั้งท้ายสุด เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่มูลค่าการค้ารวมทั้งหมดที่ไทยค้ากับลาวประมาณ 10,976.2 ล้านบาทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2547 ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าการค้าที่ไทยค้าชายแดนกับลาวประมาณ 10,966.5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 99.9 ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดที่ไทยค้ากับลาว
ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2547 มูลค่ารวมของการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยกับลาวเท่ากับ 10,966.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 จากระยะเดียวกันของปีก่อน
ประเทศไทยส่งออกสินค้าชายแดนไปลาวเป็นมูลค่า 9,040.6 ล้านบาท และนำเข้าสินค้าชายแดนจากลาวมูลค่า 1,925.9 ล้านบาท ประเทศไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าชายแดนกับลาวมูลค่า 7,114.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ สินค้าหลักที่ประเทศไทยนำเข้าจากลาว คือ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไม้ซุงและผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องจักรไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 90.34 ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากลาว ในขณะที่สินค้าส่งออกจากประเทศไทยไปลาวกว่าร้อยละ 84.42 เป็นสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าแร่และเชื้อเพลิง เช่น เหล็กและผลิตภัณฑ์ ยานพาหนะและส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น
การที่ประเทศไทยมีนโยบายพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ทั้งในด้านการซื้อขายกระแสไฟฟ้า การค้า และการลงทุนระหว่างกัน สะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกๆประเทศล้วนต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมแรงร่วมใจอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติลุ่มแม่น้ำโขงและแม่น้ำลำธารสายต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าพลังน้ำอันเป็นพลังงานสำคัญเชิงเศรษฐกิจของประเทศไทยและลาว ความร่วมมือทางการค้าซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ผสานระบบเศรษฐกิจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน และการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งแนวตะวันตก-ตะวันออก (East-West Corridor) ระหว่าง พม่า-ไทย-ลาว-เวียดนาม รวมทั้งโครงการปรับปรุงเส้นทางถนนหมายเลข 9 ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ที่จังหวัดมุกดาหารของไทยไปยังลาว ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จในปลายปี 2549 เพื่อเป็นประตูสู่การลงทุน ย่อมส่งเสริมโอกาสของการพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศริมฝั่งโขงอย่างไทยและลาวให้เติบโตเคียงคู่กัน