“รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์” หรือ E-government คือการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการทำงานและปรับเปลี่ยนระบบองค์กรให้มีความคล่องตัวและตรวจสอบได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อขจัดปัญหาเชิงโครงสร้างระบบราชการแบบเดิมที่มีการดำเนินงานหลายขั้นตอนในการอนุมัติ มีทะเบียนเอกสารมากมายซ้ำซ้อนและใช้เวลาในการดำเนินการมากเกินไป จึงทำให้ประชาชนต้องเสียเวลาในการรอคอยค่อนข้างมาก ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มีคอมพิวเตอร์ มีอินเทอร์เน็ต มีข่ายสายความเร็วสูงและอื่นๆ เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทต่อการทำงานของภาคราชการให้มีความคล่องตัวสูงยิ่งๆขึ้นไป
เทคโนโลยีสารสนเทศ……4รูปแบบการให้บริการ
การหลั่งไหลของเทคโนโลยีสารสนเทศและภาวะที่ต้องแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัวขนานใหญ่โดยเฉพาะในหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 ได้มีการกำหนดกรอบนโยบาย IT 2010 (ช่วงปี พ.ศ. 2544 – 2553) ซึ่งได้ระบุกลยุทธ์ในการพัฒนาที่สำคัญ 5 ด้านด้วยกัน ได้แก่ E-Government, E-Commerce, E-Industry, E-Education และ E-Society จุดประสงค์ในการจัดตั้งรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์นั้นคือ รัฐบาลเห็นว่าส่วนราชการต่างๆเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการพัฒนาประเทศ เพิ่มคุณภาพในการให้บริการประชาชนและให้ภาคธุรกิจได้รับบริการที่รวดเร็ว ลดขั้นตอนการทำงานและงบประมาณที่ซ้ำซ้อน และตอบสนองการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นๆ
สำหรับรูปแบบการให้บริการของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ภาครัฐต่อภาคธุรกิจ (G2B)
เป็นรูปแบบการให้บริการของภาครัฐบาลต่อภาคธุรกิจ โดยภาคธุรกิจสามารถค้นหาข้อมูลหรือทำธุรกรรมผ่านทางเว็บไซต์ ของหน่วยงานรัฐได้
2. ภาครัฐต่อประชาชน (G2C)
ประชาชนสามารถใช้บริการค้นหาข้อมูลหรือดำเนินธุรกรรมโดยผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐได้
3. ภาครัฐต่อภาครัฐด้วยกัน (G2G)
เป็นรูปแบบการทำงานที่แต่ละหน่วยงานในภาครัฐสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆผ่านทางระบบเครือข่ายสารสนเทศ โดยมีการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสารสนเทศระหว่างหน่วยงานของกระทรวงต่างๆเข้าด้วยกัน รวมทั้งการเชื่อมโยงไปที่หน่วยงานระดับท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อลดระยะเวลาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลของทางราชการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
4. ภาครัฐต่อพนักงานในสังกัด (G2E)
พนักงานในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม กอง ต่างๆสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการภายในหน่วยงานสังกัดของตนเองได้ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
แผนการดำเนินงาน: บันได 5 ขั้น… ก้าวสู่ความสำเร็จ
รัฐได้แบ่งระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เป็น 2 ส่วน ได้แก่ รัฐบาลจะใช้รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในส่วนของ Front Office โดยให้แต่ละหน่วยงานจัดทำเว็บไซต์เป็นของตนเองเพื่อบริการประชาชน ในส่วนของ Back Office รัฐบาลมีแผนที่จะเชื่อมระบบบริหารส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคเข้าด้วยกันด้วยระบบอินเทอร์เน็ต รัฐบาลได้วางกรอบในการปฏิบัติงานและออกมาตรการต่างๆ เพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่ายสารสนเทศพร้อมทั้งกระตุ้นผลักดันให้รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เป็นรูปร่างและสำเร็จลุล่วง
รัฐบาลได้แบ่งระดับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นตัววัดความก้าวหน้าในการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้มีการจัดแบ่งไว้ 5 ระดับ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นให้ข้อมูล (Information) เป็นระยะเริ่มแรก โดยทุกส่วนราชการต้องจัดทำเว็บไซต์ เพื่อให้บริการข้อมูลต่างๆแก่ผู้ใช้บริการ
ขั้นที่ 2 ให้บริการโต้ตอบกับประชาชน (Interaction) เป็นการพัฒนาระบบต่อจากระยะแรก โดยขั้นที่ 2 นี้ นอกจากจะมีการบริการข้อมูลแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถทำการค้นหาข้อมูลและให้บริการสอบถามข้อมูลควบคู่ไปด้วย
ขั้นที่ 3 ทำธุรกรรมผ่านเว็บไซต์ได้ (Interchange Transaction) เป็นขั้นที่ผู้ใช้บริการสามารถดำเนินธุรกรรมผ่านทางเว็บไซต์ เช่น การชำระภาษี โดยผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร เป็นต้น
ขั้นที่ 4 การบูรณาการ (Integration) เป็นการนำข้อมูลของแต่ละหน่วยงานมารวมกัน เพื่อที่ว่าผู้ใช้บริการสามารถเข้ามาทำธุรกรรมได้ภายในหน้าต่างเดียว
ขั้นที่ 5 ระดับการทำงานที่ชาญฉลาด (Intelligence) เป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้น เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้บริการ ซึ่งซอฟต์แวร์สามารถดึงข้อมูลได้ทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
ขณะนี้ทุกหน่วยงานราชการได้มีเว็บไซต์เป็นของตนเองแล้วกว่า 97 % แต่เว็บไซต์ของหน่วยงานส่วนใหญ่ อยู่ในขั้นที่ 1 และ2 คือ ให้บริการข้อมูลและการให้บริการโต้ตอบกับประชาชน ส่วนขั้นที่ 3 ทำธุรกรรมผ่านเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยังเป็นส่วนน้อย ตัวอย่างหน่วยงานซึ่งเปิดให้บริการตามแบบฉบับ e-government ในขั้นที่3 เช่น เว็บไซต์ศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ หรือที่เรียกว่า One Stop Export E-Service Center ที่ http://www.depthai.go.th/ ซึ่งเว็บไซต์นี้เป็นการส่งใบรับรองการส่งออก ซึ่งสามารถเลือกออกใบรับรองหรือเอกสารส่งออกจาก 7 หน่วยงานที่ร่วมโครงการได้พร้อมกัน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมการค้าต่างประเทศ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรมปศุสัตว์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมการกงสุล ทั้งนี้เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับผู้ส่งออกลดเวลาการขอเอกสารจากเดิม 1 วันเป็น 1 ชั่วโมง และเว็บไซด์ของกรมสรรพากร ที่เปิดให้ประชาชนสามารถยื่นแบบและชำระภาษีผ่านทางเว็บไซต์ได้ และยังสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีได้เช่นกัน http://www.excise.go.th/ เป็นต้น
ปัญหาและทางออก….มุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ปัญหาที่ทำให้การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร สามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ปัญหาด้านความพร้อมของบุคลากรของภาครัฐ
1.1) ปัญหาทางด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นภาษาสากล จึงทำให้เสียเปรียบในการเรียนรู้เทคโนโลยีชั้นสูงจากต่างประเทศ รวมถึงการจัดทำเว็บเป็นภาษาต่างประเทศเพื่อรองรับนักลงทุนและนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย และ มาเลเซีย ในการนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์ หรือเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ
1.2) การขาดแคลนบุคลากรในสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ หน่วยงานของรัฐพยายามเร่งปฏิรูปรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ให้เกิดประสิทธิผล โดยมีการจัดทำเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชน แต่ภาครัฐยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์และระบบข่ายสาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นแม้ว่าแต่ละหน่วยงานจะมีเว็บไซต์แล้วก็ตาม การดำเนินการขั้นต่อๆไปอาจประสบปัญหาคือ ไม่สามารถส่งผ่านบริการถึงมือประชาชนตามเกณฑ์ที่วางไว้ได้ ถ้าบุคลากรของรัฐซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดทำระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (แม้มีประสบการณ์และความรับผิดชอบสูง) มีพื้นฐานความรู้ด้านการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศไม่เพียงพอก็อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน
ข้อเสนอแนะ: ควรจัดเตรียมบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้พร้อม โดยรัฐบาลควรจัดบุคลากรด้านไอทีให้เพียงพอพร้อมทั้งกำหนดให้แต่ละกระทรวง ทบวง กรม กอง ทั้งส่วนราชการท้องถิ่นต้องมีบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศไว้โดยเฉพาะและทำหน้าที่ประสานงานกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของหน่วยงานตน พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานไอทีอื่นๆภายในกระทรวง เพื่อวางกรอบดำเนินงานและโครงสร้างหลักของข้อมูลที่จะใช้เชื่อมข้อมูลระหว่างกระทรวง รัฐควรส่งเสริมและพัฒนาการเรียนภาษาต่างประเทศของบุคลากร โดยรัฐควรมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดเพื่อให้บุคลากรของรัฐสามารถเข้าถึงและเรียนรู้ได้ อีกทั้งควรจัดให้มีการอบรมทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในแต่ละกระทรวงรวมทั้งส่วนท้องถิ่น โดยรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจและให้โอกาสฝึกอบรมวิทยาการใหม่ๆแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เกิดความร่วมมือและประสานการทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่รุ่นใหม่และเจ้าหน้าที่เดิมได้อย่างราบรื่น
2. ปัญหาประชาชนยังติดยึดกับการติดต่องานกับเจ้าหน้าที่โดยตรง
เนื่องจากประชาชนหรือภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงยึดติดเคยชินกับการติดต่อกับทางราชการด้วยวิธีแบบเดิม คือการติดต่อโดยตรงกับพนักงาน (Face to Face) หรือผ่านทางโทรศัพท์ เพราะผู้ติดต่อสามารถพูดคุยและสอบถามเมื่อมีข้อสงสัยได้ทันที อีกทั้งยังมีความเชื่อมั่นว่าเอกสารได้มีการส่งมอบถึงมือเจ้าหน้าที่แล้ว ผลสำรวจของ Transversal ที่ประเทศอังกฤษพบว่า ประมาณร้อยละ 60 ของผู้ที่ใช้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์นั้น มักจะพบกับปัญหาในการหาข้อมูลที่ต้องการ และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับการติดต่อกับทางราชการโดยตรง เนื่องจากหากเกิดปัญหาสามารถดำเนินการได้ทันที
ข้อเสนอแนะ : กระตุ้นการใช้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยจัดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มจากกลุ่มที่มีการใช้อินเทอร์เน็ตในระบบโรงเรียน เพื่อปูพื้นฐานให้เยาวชนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับการใช้งาน เช่น ทำระบบห้องสมุดโรงเรียน โดยนักเรียนหรือนักศึกษาสามารถค้นหาข้อมูลหนังสือ ส่งรายงาน หรือเพิ่มหลักสูตรการเรียนการสอนที่ต้องค้นคว้าข้อมูลจากภาครัฐเพื่อนำมาประกอบการศึกษา ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนหรือสถานศึกษา เป็นต้น โดยรัฐควรสนับสนุนงบประมาณให้แต่ละสถาบันศึกษาจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพให้เพียงพอกับจำนวนนักเรียนและครูในแต่ละสถาบัน
นอกจากนี้ควรเพิ่มทางเลือกการบริการให้กับประชาชน โดยจัดตั้งศูนย์บริการ Call Center เนื่องจากพฤติกรรมการติดต่อของประชาชนส่วนใหญ่ยังนิยมติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นการให้บริการ ผ่านระบบโทรศัพท์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชน อีกทั้งยังสร้างความเคยชินในการใช้เทคโนโลยีให้กับประชาชนอีกด้วย นอกจากนี้การจัดทำศูนย์บริการประชาชนจะทำให้ประชาชนซักถามเมื่อมีข้อสงสัยในการทำธุรกรรม นอกจากนี้เทคโนโลยีคอลเซ็นเตอร์ยังทำให้แต่ละหน่วยงานต้องบริหารระบบฐานข้อมูลของตนเองอย่างดีและทันสมัยตลอดเวลา เพื่อรองรับการสอบถามที่หลั่งไหลเข้ามา
3. ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานระบบเครือข่ายสารสนเทศยังมีราคาสูง
ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่นั้นยังประสบกับปัญหาในเรื่องการจัดหาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขั้นพื้นฐาน เนื่องจากมีราคาแพงรวมทั้งกรณีประเทศไทยด้วย แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายสนับสนุน เช่น โครงการคอมพิวเตอร์ราคาถูก และผลักดันการลดค่าบริการอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งยังไม่สามารถผลักดันให้ราคาต่ำลงมาสู่การจูงใจให้มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย
ข้อเสนอแนะ: จัดตั้งศูนย์อินเทอร์เน็ตตามสถานที่ราชการที่ทำการอำเภอ ตำบล หรือศูนย์บริการราชการตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถได้ใช้บริการออนไลน์และสามารถทำรายการผ่านเคาเตอร์อินเทอร์เน็ต โดยจัดเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์คอยให้บริการแนะนำแก่ประชาชนที่มาติดต่องานกับทางราชการสามารถทำรายการ หรือกรอกคำร้องด้วยตนเอง ในลักษณะเช่นเดียวกับการบริการของธนาคาร ทั้งนี้จะเป็นการช่วยให้ประชาชนเริ่มรู้จักรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งควรจัดอบรมการใช้รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ประชาชนตามศูนย์ต่างๆ
นอกจากนี้รัฐควรเร่งดำเนินการลดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับอุปกรณ์ในกลุ่มสื่อสารและเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกัน ตามข้อตกลงที่ไทยได้ทำไว้กับ WTO ว่าด้วยการลดกำแพงภาษีและเปิดเสรีทางการค้า เนื่องจากในปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าของไทยสำหรับสินค้าอุปกรณ์การสื่อสารอยู่ในระดับประมาณ 20%, เกาหลี 5%, อินเดีย 12%, ออสเตรเลีย 8%, แคนาดา 5% ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการจัดเก็บภาษีของไทยนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่สูงทำให้ต้นทุนของอุปกรณ์สื่อสารซึ่งโดยปกติมีราคาสูงอยู่แล้วกลับสูงขึ้นไปอีก ดังนั้น การลดภาษีจะช่วยให้ต้นทุนของอุปกรณ์สี่อสารและเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องลดลง ทั้งยังช่วยให้เกิดการไหลเข้าของเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผลดีกับประเทศที่กำลังพัฒนาโครงข่ายการสื่อสารในขณะนี้
4. ปัญหาระบบความปลอดภัยของการเก็บข้อมูลส่วนตัว
ปัญหาความปลอดภัยของข้อมูลสามารถแบ่งได้เป็น 2 ปัญหาหลัก คือ ประการแรก ความไม่มั่นใจในระบบการจัดเก็บข้อมูล จากความพยายามที่จะผลักดัน ระบบ E-Citizen ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักทะเบียนราษฎร์ ในการรวบรวมข้อมูลประชากรมาเก็บไว้ในฐานข้อมูล จึงเกิดกระแสตามมาว่าจะนำไปสู่การล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ ปัญหาทางด้านข้อมูลส่วนตัวที่อาจจะมีการรั่วไหล เป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจในการใช้ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประการที่สอง ความไม่มั่นใจในเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะปัญหาทางด้านไวรัสและแฮคเกอร์ ปัญหาเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าที่จะใช้บริการส่งข้อมูลหรือทำคำร้องขอใด ๆ ผ่านระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
จากผลสำรวจที่มหาวิทยาลัยบราวน์ได้จัดขึ้นในปีนี้พบว่า จาก 198 ประเทศ มีเพียงร้อยละ 12 ของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับนโยบายข้อมูลส่วนตัวบนเว็บไซต์ โดยประเทศสิงคโปร์นั้นรัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของข้อมูลส่วนตัวที่อาจจะมีการรั่วไหลข้อมูลของประชาชนได้รับการปกป้องด้วยรหัส PIN Code และจาก 198 ประเทศ มีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณร้อยละ 6 เท่านั้น ที่ให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยจากไวรัสและแฮคเกอร์ โดยประเทศสิงค์โปร์นั้นรัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของความปลอดภัยจากไวรัสและแฮคเกอร์ เนื่องจากขณะนี้ภาครัฐและภาคเอกชนต้องสูญเสียเงินจำนวนมากในการป้องกันการเจาะระบบของแฮคเกอร์เพื่อนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางที่ผิด และปัญหาที่เกิดจากไวรัสคอมพิวเตอร์ด้วย
ข้อเสนอแนะ: เน้นระบบรักษาความปลอดภัย โดยจัดงบประมาณให้เพียงพอ โดยวางกรอบ และแบบการบริการให้แต่ละหน่วยงาน เช่น งบสำหรับการพัฒนา หรือจัดทำฐานข้อมูล โดยเฉพาะระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่น การควบคุมเรื่องรหัสประจำตัว-สิทธิการใช้งาน (User ID and Authorization) จัดให้ทำคู่มือการปฏิบัติและให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจังเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ประเมินสถานะความปลอดภัย จัดให้มีการให้ความรู้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน รวมทั้งกำหนดกฎระเบียบที่เคร่งครัดลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ที่กระทำความผิดในกรณีที่เกิดการรั่วไหลของข้อมูลขึ้นมา
5. ปัญหาด้านเทคนิค การวางแผน และจัดทำเนื้อหา
ปัจจุบันการเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการบางแห่งยังมีปัญหาของการดาวน์โหลดเว็บไซต์ที่ต้องใช้เวลานานและไม่สามารถเข้าเว็บไซต์นั้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากการออกแบบเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญกับการทำภาพเคลื่อนไหว (Animation) มากเกินไป ทำให้เสียเวลาในการดาวน์โหลดข้อมูล ปัญหาในเรื่องของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ในระบบ โดยเฉพาะการเลือกใช้เทคโนโลยี อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์ เครือข่าย ซึ่งมีผลทำให้เกิดปัญหาในการใช้งาน เช่น เซิฟเวอร์ไม่สามารถรองรับการเข้าใช้บริการได้เมื่อจำนวนผู้ใช้มากขึ้น รวมไปถึงการวางแผนในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้การวางแผนจัดทำเนื้อหาและรูปแบบเว็บไซต์ของแต่ละกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดไม่เป็นเอกภาพ ข้อมูลซ้ำซ้อน ความสับสนจากการแบ่งเนื้อหา การลำดับข้อมูลที่จะใช้เชื่อมต่อ การเลือกใช้เทคโนโลยีสำหรับจัดทำเว็บทำให้การค้นหาข้อมูล (Search) เป็นไปด้วยความลำบากและมักได้รับคำตอบคือ ค้นหาข้อมูลไม่พบ ปัญหาเหล่านี้ทำให้ต้องเสียเวลาและงบประมาณในการแก้ไข หรือบางหน่วยงานต้องจัดทำใหม่เนื่องจากไม่สามารถรองรับการบริการในขั้นต่อๆไป จนถึงการเชื่อมต่อเครือข่ายในอนาคต
ข้อเสนอแนะ: รัฐบาลควรจัดทำแนวทางรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐาน เช่น จัดทำคู่มือการใช้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์และใช้คู่มือนี้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารแต่ละกระทรวง กรม กองในสังกัดได้นำไปกำหนดแผนงาน การออกแบบเว็บไซต์ เมนูการค้นหา ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตั้งแต่กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยี อุปกรณ์ และการคาดการณ์เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้บริการในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้การกำหนดงบประมาณและการวางแผนเชื่อมเครือข่ายตามนโยบายเป็นไปได้ราบรื่น นอกจากนี้ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ดียังควรที่จะมีพื้นฐานจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ควรใช้ผลสำรวจความต้องการของประชาชนที่เป็นแบบสากลมาเป็นบทสรุปว่าประชาชนในประเทศจะมีความต้องการเช่นเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า รัฐบาลควรจะสร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับงานบริการประชาชน โดยควรผลักดันให้แต่ละหน่วยงานวางนโยบายงานบริการประชาชนได้อย่างอิสระตามขอบข่ายงานในสังกัดของตน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเองเกิดความกระตือรือร้นและได้เรียนรู้เทคโนโลยี และทฤษฎีใหม่ๆเพื่อนำมาใช้ในการบริหารงาน รัฐบาลควรนำข้อผิดพลาดของโครงสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศอื่นๆ มาศึกษาเพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาระบบในประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น