รายงานภาวะตลาดหุ้นและการเงิน ประจำวันที่ 23 กันยายน 2547

ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้

ตลาดหุ้นไทยในวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน ปิดตลาดลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ที่ 648.8 จุด ลดลง 14.71 จุด หรือร้อยละ 2.22 มูลค่าการซื้อขายที่ 2.52 หมื่นล้านบาท โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงอย่างมากของหุ้นในกลุ่มธนาคาร จากความวิตกกังวลในเรื่องของปัญหา NPL ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ก็ได้เป็นอีกปัจจัยที่กดดันการซื้อขาย

– ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้นไปจากวันก่อน 8.2 จุด หรือร้อยละ 0.06 ไปปิดที่ 13,280.43 จุด โดยได้รับปัจจัยบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง จากการที่นักลงทุนได้ผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีน

– ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวันหยุดประจำชาติ

– ตลาดหุ้น Dow Jones ในวันพุธที่ 22 กันยายน ปิด ตลาดลดลงอย่างมากถึง 135.75 จุด หรือร้อยละ 1.33 ไปอยู่ที่ 10,109.18 จุด ทั้งนี้ตลาดได้รับแรงกดดันจากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯรายสัปดาห์ที่ลดลงเกินคาด อันเป็นผลมาจากพายุเฮอริเคน นอกจากนั้นการปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นซิสโก ซิสเทมส์ ก็ได้เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีลดลงไป

– เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้แข็งค่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท, เยน และ ยูโร โดยอยู่ที่ระดับ 41.412 บาท/ดอลลาร์ฯ , 110.73 เยน/ดอลลาร์ฯ และที่ 1.2291 ดอลลาร์ฯ/ยูโร ตามลำดับ

ภาวะตลาดหุ้น

Thailand’s SET
ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์โดยอยู่ที่ 648.8 จุด ลดไป 14.71 จุด หรือร้อยละ 2.22 มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 25,232.53 ล้านบาท โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงอย่างมากของหุ้นในกลุ่มธนาคาร จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหา NPL ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอื่นๆตามมา นอกจากนั้นการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ได้เป็นอีกปัจจัยที่กดดันการลงทุนในวันนี้

Japan Nikkei-225
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการเนื่องในวันหยุดประจำชาติ

Hang Seng
ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยได้ปิดตลาดที่ 13,280.43 จุด เพิ่มขึ้นไป 8.2 จุด หรือ ร้อยละ 0.06 ทั้งนี้ตลาดได้รับแรงบวกจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง โดยนักลงทุนได้คลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในจีน หลังจากที่นายกรัฐมนตรีของจีนได้กล่าวเมื่อวานนี้ว่า การขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อในจีนน่าจะชะลอตัวลงไป

US ‘s Dow Jones
ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดตลาดลดลงไปอย่างมากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยได้ลดลงไปถึง 135.75 จุด หรือ ร้อยละ 1.33 ไปปิดที่ 10,109.18 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ โดยมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นที่ 1.4 พันล้านหุ้น โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX ส่งมอบในเดือน พ.ย.ได้ปรับตัวขึ้นไปอยู่ใกล้ระดับ 48.5 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่สหรัฐฯได้รายงานปริมาณสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ซึ่งลดลงไปมากกว่าที่คาดไว้ อันเป็นผลมาจากพายุเฮอริเคน นอกจากนั้นแล้วการปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหลังจากที่บริษัทโบรกเกอร์ได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นซิสโก ซิสเทมส์ ลงไป ก็ได้เป็นอีกปัจจัยที่กดดันการซื้อขายในตลาด

US’s NASDAQ
ดัชนี NASDAQ ลดลงไปอย่างมากเช่นเดียวกัน โดยอยู่ที่ 1,885.71 จุด ลดลงไป 35.47 จุด หรือ ร้อยละ 1.85 โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่ได้มีการปรับลดอันดับความน่าลงทุนของบริษัท ซิสโก ซินเทมส์ อิงค์

สรุปการเคลื่อนไหวของค่าเงิน

Baht/USD
เงินบาทได้อ่อนค่าลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบสัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตามทิศทางของค่าเงินเยน และ ค่าเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค อันเป็นผลมาจากการที่ตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาคได้ปรับตัวลดลงไป และ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่เหนือระดับ 48 ดอลลาร์/บาร์เรล

Yen/USD
เงินดอลลาร์สหรัฐฯได้แข็งค่าขึ้นไปอยู่ใกล้กับระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยน โดยค่าเงินเยนได้รับแรงกดดันจากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นแล้วเงินเยนยังได้รับแรงกดดันจากตัวเลขส่งออกในเดือน ส.ค.ที่เพิ่มขึ้นไปเพียงร้อยละ 10.4 จากการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.3 ในเดือน ก.ค. โดยตัวเลขการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคได้ลดลงไปเป็นครั้งแรกในรอบปี

USD/Euro
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโรเช่นเดียวกัน โดยได้มีแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯกลับเข้ามามากขึ้นเพื่อปรับสมดุลในการลงทุน ส่งผลให้ค่าเงินได้แข็งค่าขึ้นไปจากที่ได้ลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน หลังจากที่ได้มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากนั้นแล้วเงินดอลลาร์ฯยังได้แรงหนุนจากที่นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯไปอีกในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯครั้งต่อไปในเดือน พ.ย.นี้

สรุปการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้

Thai Gov. Bond
มูลค่าการซื้อขายในวันนี้อยู่ที่ 10,435.68 ล้านบาท เพิ่มจากวันก่อนร้อยละ 16 โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวต่างปรับลดลงไปตั้งแต่ –1 ถึง -4 bps.

US Treasury Bond 10 Years
ราคาพันธบัตรของสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 22 กันยายน ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอัตราผลตอบแทนของ 10 Years US Treasury Bond ได้ปรับตัวลดลงไปอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 4 เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยได้รับแรงบวกจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวลดลงอย่างมากของตลาดหุ้น ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลดลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และผลกำไรของบริษัทเอกชน และทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในพันธบัตร โดยเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า