เหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงย่างกุ้ง นครหลวงของพม่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ดึงดูดความสนใจของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอีกครั้ง โดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ได้พยายามสนับสนุนให้ประเทศพม่า ซึ่งเป็นสมาชิกอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2540 สามารถพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ให้เจริญก้าวหน้าและมีเสถียรภาพทัดเทียมประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ความอึมครึมเรื้อรังทางการเมืองภายในของพม่ากลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของพม่าอย่างน่าเสียดาย ส่งผลให้ประชากรประมาณ 52 ล้านคน ยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบาก ทั้งๆที่พม่าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในเอเชีย โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ปัจจุบัน เศรษฐกิจทั่วไปของพม่าไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร ถึงแม้รายงานทางการพม่าระบุอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 10% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แต่รายงานขององค์การระหว่างประเทศคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในระดับเฉลี่ยไม่เกิน 4-5% ต่อปี สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการที่ประเทศตะวันตกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจพม่า ทำให้ตลาดการค้าของพม่าถูกจำกัดอยู่เฉพาะประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง อีกทั้งเม็ดเงินลงทุนและเงินช่วยเหลือจากชาติตะวันตกก็ลดน้อยลงเป็นลำดับ ส่งผลให้เศรษฐกิจพม่าในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้านทั้งค่าเงินจั๊ตตกต่ำ ธนาคารปิดกิจการหลายแห่ง ความแห้งแล้งของภาคการเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมสิ่งทอซบเซา ปัญหาเหล่านี้มีส่วนซ้ำเติมให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองในพม่าหวั่นไหว แต่อย่างไรก็ตาม อาเซียนได้พยายามช่วยเหลือพม่าอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเจริญรุ่งเรืองและความสมานสามัคคีร่วมกันต่อไป
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่าเหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงย่างกุ้งของพม่าครั้งนี้ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักธุรกิจไทยในพม่าลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในกัมพูชาเมื่อต้นปี 2546 และคาดว่านักธุรกิจไทยที่ได้เข้าไปทำการค้า การลงทุน และทำธุรกิจในพม่าอยู่แล้ว คงดำเนินธุรกิจกันต่อไป แต่อาจต้องใช้ความระมัดระวังและตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและกิจการกันเป็นพิเศษกว่าเดิม เนื่องจากพม่ายังคงอยู่ท่ามกลางการปรับตัวทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
สำหรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับพม่าในช่วงที่ผ่านๆมา มีประเด็นที่น่าสนใจสรุปได้ดังนี้
การค้าไทย – พม่า
• การค้าชายแดนไทย-พม่า พุ่งขึ้น 51.73%
ไทยค้าชายแดนกับพม่าใน 3 จุด ได้แก่ ด่านแม่สอด จังหวัดตาก ด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย และด่านระนอง จังหวัดระนอง โดยการค้าชายแดนระหว่างไทย-พม่าคิดเป็นสัดส่วน 20.33% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดของไทย พม่านับเป็นประเทศที่ไทยค้าชายแดนโดยรวม (ส่งออก+นำเข้า) มากเป็นอันดับ 2 ในบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศที่มีชายแดนติดกับไทย รองจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีมูลค่าการค้าชายแดนกับไทยมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 63.5% ส่วนอันดับ 3 และ 4 ได้แก่ ลาว และกัมพูชา ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ไทยส่งออกสินค้าทางชายแดนไปพม่าน้อยที่สุดในบรรดาคู่ค้าชายแดน 4 ประเทศ ประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุด คือ มาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วน 67.72% ของการส่งออกทางชายแดนทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ลาว (11.65%) กัมพูชา (10.89%) และพม่า (9.74%) ในขณะที่ไทยนำเข้าจากพม่าทางชายแดนมากเป็นอันดับ 2 คิดเป็นสัดส่วน 39% ของการนำเข้าทางชายแดนทั้งหมดของไทย รองจากมาเลเซีย (56%)
เป็นที่น่าสังเกตว่าพม่าเป็นประเทศเดียวที่ไทยขาดดุลการค้าชายแดนด้วย โดยไทยขาดดุลการค้าชายแดนกับพม่าในไตรมาสแรกปี 2548 เป็นมูลค่า 7,654.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 เนื่องจากไทยนำเข้าเชื้อเพลิงจากพม่าจำนวนมาก นับเป็นสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าทางชายแดนจากพม่า ในไตรมาสแรกปี 2548 ไทยนำเข้าเชื้อเพลิงจากพม่า 12,576 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 92% ของการนำเข้าทางชายแดนจากพม่าทั้งหมด สินค้านำเข้าอื่นๆ ของไทยผ่านทางชายแดนจากพม่า เช่น ประมงและปศุสัตว์ กสิกรรม แร่ และสิ่งทอ เป็นต้น
ส่วนสินค้าส่งออกทางชายแดนของไทยไปพม่ามากที่สุด ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่า 1,276.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21% ของการส่งออกทางชายแดนของไทยไปพม่าทั้งหมด สินค้าส่งออกอื่นๆ ของไทยผ่านทางชายแดนไปพม่าที่สำคัญ เช่น พลาสติกและผลิตภัณฑ์ ยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์โลหะ เป็นต้น
การค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่าคิดเป็นสัดส่วนถึง 88% ของการค้ารวมระหว่างไทยกับพม่าทั้งหมด ในไตรมาสแรกปี 2548 การค้าชายแดนไทย-พม่ามีมูลค่า 19,739.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.73% จากช่วงเดียวกันของปี 2547 โดยการส่งออกชายแดนเพิ่ม 31.55% คิดเป็นมูลค่า 6,042.51 ล้านบาท ในขณะที่การนำเข้าชายแดนเพิ่มขึ้น 62.75% คิดเป็นมูลค่า 13,696.64 ล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้าชายแดนกับพม่าใน 3 เดือนแรกปี 2548 เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัวจาก 3,822.38 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2547 เป็น 7,654.13 ล้านบาท
• การค้าโดยรวม ไทยขาดดุลพม่า 8,236.60 ล้านบาท ไตรมาสแรก 2548
การค้าโดยรวมระหว่างไทย-พม่า (ส่งออก+นำเข้า) ซึ่งรวมถึงการค้าโดยขนส่งทางอากาศและทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านทางชายแดน เพิ่มขึ้น 46.85% มีมูลค่า 22,837.80 ล้านบาท ในไตรมาสแรก ของปี 2548 เทียบกับ 15,552.20 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปี 2547 โดยไทยส่งออกไปพม่าโดยรวม เพิ่มขึ้น 23.07% ในขณะที่ไทยนำเข้าจากพม่าเพิ่มขึ้น 61.51% ทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับพม่าเพิ่มขึ้นจาก 3,688.20 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปี 2547 เป็นขาดดุล 8,236.60 ล้านบาท ทั้งนี้ การค้ารวมไทย-พม่าคิดเป็นสัดส่วนการค้าราว 1% ของการค้าระหว่างประเทศของไทยทั้งหมด และคิดเป็นสัดส่วน 5.55% ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับอาเซียนทั้งหมด
พม่านับเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 6 ของไทยในกลุ่มอาเซียน รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ตามลำดับ (คิดเป็นสัดส่วนราว 4% ของการส่งออกของไทยไปอาเซียนทั้งหมด) และเป็นประเทศในอาเซียนที่ไทยนำเข้ามากเป็นอันดับที่ 5 รองจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ตามลำดับ (คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของการนำเข้าของไทยจากอาเซียนทั้งหมด)
ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าโดยรวมกับพม่าตั้งแต่ปี 2544 จากก่อนหน้านี้ที่ไทยเคยเกินดุลการค้ากับพม่า โดยในปี 2544 ไทยขาดดุลการค้าโดยรวมกับพม่า 20,044.8 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2544 ไทยนำเข้า ก๊าซธรรมชาติ จากพม่าขยายตัวถึง 560% คิดเป็นมูลค่า 28,888.40 ล้านบาท นำเข้า ถ่านหิน เพิ่มขึ้น 76.48% เป็นมูลค่า 458.7 ล้านบาท และนำเข้า น้ำมันดิบ มูลค่า 360.4 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่ไทยไม่เคยนำเข้ามันดิบจากพม่ามาก่อน และหลังปี 2544 ไทยขาดดุลการค้ากับพม่าเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
• การส่งเสริมการค้าภายในกลุ่มอาเซียน
ในฐานะที่พม่าเป็นสมาชิกใหม่อาเซียน จึงได้รับความยืดหยุ่นในการลดภาษีตามพันธกรณีการลดภาษีให้กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟต้า (AFTA) โดยให้เวลาการลดภาษียาวนานกว่าประเทศสมาชิกเดิมของอาเซียน ทั้งนี้ พม่าได้เริ่มต้นลดภาษีภายใต้ AFTA ในปี 2541 และจะต้องลดภาษีสินค้าทุกรายการให้เหลือ 0% ในปี 2558 ในขณะที่ประเทศสมาชิกเดิมอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน มีกำหนดลดภาษีสินค้าทุกรายการเหลือ 0% ในปี 2553 นอกจากนี้ ไทยและพม่ายังอยู่ระหว่างการจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ภายในกลุ่มบิมสเทค (BIMST-EC) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 7 ประเทศ ได้แก่ บังคลาเทศ อินเดีย พม่า ศรีลังกา ไทย เนปาล และภูฎาน จึงมีแนวโน้มว่าการค้าระหว่างไทย-พม่าจะขยายตัวได้ดี เนื่องจากการจัดทำ FTA เป็นการขจัดอุปสรรคทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTBs) ระหว่างกัน รวมทั้งร่วมมือกันเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุน
เหตุการณ์วางระเบิด 3 จุดในพม่าในวันที่ 7 พฤษภาคม 2548 ที่ผ่านมา ทำให้พม่ามีมาตรการตรวจสอบการผ่านแดนของสินค้าและบุคคลที่เข้มงวดมากขึ้น แต่คาดว่าปัญหานี้จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ซึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากเหตุการณ์คลี่คลายลงจะส่งผลให้การค้าชายแดนกลับมาสดใสดังเดิม
นอกจากนี้ ไทยต้องพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันกับสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและประเทศนอกกลุ่ม เพื่อขยายการส่งออกสินค้าของไทยไปพม่าให้มากขึ้น ซึ่งจะบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้ากับพม่า และปัญหาการขาดดุลการค้าโดยรวมของไทยที่ขาดดุลถึง 2,963 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 122,692 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2548 ทั้งนี้ ไทยนับเป็นคู่ค้าสำคัญที่สุดของพม่า ส่วนประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ ของพม่า ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเกาหลีใต้
ท่องเที่ยวไทย – พม่า
เหตุการณ์ระเบิดกลางกรุงย่างกุ้ง รวมทั้งการระเบิดในเมืองมัณฑะเลย์ของพม่าในช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของพม่าทันที แต่คาดว่าจะมีผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น หากทางการพม่าสามารถรักษาสถานการณ์ภายในประเทศให้กลับสู่ความสงบเรียบร้อยได้โดยเร็ว รวมทั้งป้องกันการก่อเหตุการณ์วุ่นวายมิให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งนักท่องเที่ยวไทย จะมีความเชื่อมั่นและหวนกลับไปท่องเที่ยวพม่าเช่นเดิม
การท่องเที่ยวระหว่างไทยกับพม่าค่อนข้างสดใสในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งทางด้านนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปพม่า และนักท่องเที่ยวพม่าที่เดินทางมาเที่ยวไทย จึงเป็นที่น่าเสียดายว่าเหตุการณ์ไม่สงบดังกล่าวจะทำให้นักท่องเที่ยวไทยชะลอการเดินทางไปพม่าชั่วคราวในช่วงนี้ เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขณะที่นักท่องเที่ยวพม่าจะรอดูสถานการณ์ภายในประเทศให้คลี่คลายลงก่อน อย่างไรก็ตาม คาดว่าการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับพม่ามีแนวโน้มชะงักงันในช่วงเวลาสั้นๆ และจะกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว หลังจากที่การท่องเที่ยวระหว่างไทยกับพม่ากระเตื้องดีขึ้นอย่างมากในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
– ไทยเที่ยวพม่าพุ่ง 54% นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปพม่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2 ที่ผ่านมา จากจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่ไปพม่าเฉลี่ยประมาณ 16,500 คนต่อปีในช่วงระหว่างปี 2544-2545 เพิ่มขึ้นเป็น 20,708 คนในปี 2546 และทำสถิติทะลุระดับ 30,000 คนเป็นครั้งแรกในปี 2547 โดยชาวไทยที่ไปท่องเที่ยวพม่าเพิ่มขึ้น 53.6% เป็นจำนวน 31,808 คนในปี 2547 ประมาณว่านักท่องเที่ยวไทยใช้จ่ายเงินในการเดินทางไปท่องเที่ยวพม่าราว 815 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
พม่านับเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 5 ในกลุ่มอาเซียน ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว รองจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว และเวียดนาม เนื่องจากพม่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับไทยประเทศหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันยาวนานระหว่างกัน ประกอบกับพม่าเป็นเมืองแห่งโบราณสถานอันเก่าแก่และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความงดงามทางธรรมชาติ รวมทั้งมีพรมแดนติดต่อกับไทย ทำให้ชาวไทยสนใจเดินทางไปเยี่ยมเยือนพม่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
– พม่าเที่ยวไทยฟื้นตัว ทางด้านนักท่องเที่ยวพม่าที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทยกระเตื้องขึ้นในรอบปี 2547 โดยมีอัตราขยายตัว 24% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวพม่า 45,963 คน ก่อนหน้านี้นักท่องเที่ยวพม่าเดินทางมาไทยลดลงติดต่อกัน 3 ปีในช่วงระหว่างปี 2544-2546 ประมาณว่านักท่องเที่ยวพม่าสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้แก่ไทยไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นักท่องเที่ยวพม่าที่เดินทางมาเที่ยวไทยประมาณ 60% ของนักท่องเที่ยวพม่าที่เดินทางมาไทยทั้งหมด เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาประเทศไทยมาแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นนักท่องเที่ยวพม่าหน้าใหม่ที่เดินทางมาท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก ประเด็นที่น่าสังเกต ก็คือ นักท่องเที่ยวพม่าที่เพิ่งเดินทางมาไทยเป็นครั้งแรกเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากพม่าที่ขยายตัวรวดเร็วในรอบปีที่แล้ว โดยมีอัตราเพิ่ม 64% ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวพม่าหน้าเก่าที่เคยเดินทางมาเยือนประเทศไทยแล้วเพิ่มขึ้น 7.6%
ทางการพม่าตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้มีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่สงบเรียบร้อย นับเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศพม่า รวมทั้งการท่องเที่ยวของประเทศอาเซียนโดยรวมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Tourism Forum) ในเดือนมกราคม 2549 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะกระชับความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนด้านการท่องเที่ยวของสมาชิกอาเซียนทั้งมวล ทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันเอง และการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาท่องเที่ยวภูมิภาคอาเซียน โดยชูจุดขายแหล่งท่องเที่ยวอาเซียน 10 ประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางเดียวกัน
ดังนั้น ทางการพม่าควรคลี่คลายสถานการณ์ไม่สงบภายในประเทศโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของพม่าและของอาเซียนโดยส่วนรวม
ลงทุนไทย – พม่า
การลงทุนระหว่างไทยกับพม่า คาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากเหตุการณ์ระเบิดในเมืองหลวงของพม่า เนื่องจากเป็นประเด็นภายในของประเทศพม่าเอง แต่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอยู่บ้างที่กำลังมองพม่าเป็นแหล่งลงทุนในอนาคต ด้วยเหตุนี้นักธุรกิจไทยที่เล็งลู่ทางการลงทุนในพม่า จำเป็นต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงอันเนื่องมาจากความไม่สงบทางการเมืองภายในพม่าเพิ่มเติม
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พม่านับเป็นแหล่งลงทุนในต่างแดนที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งของไทย เพราะพม่ามีปัจจัยดึงดูดสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน แหล่งแร่ธาตุต่างๆ และอัญมณี รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์ทะเลในน่านน้ำของพม่า ทรัพยากรเหล่านี้ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ทำให้นักธุรกิจไทยสนใจเข้าไปลงทุนในพม่าในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนสะสมของไทยในพม่ามีมูลค่ามากกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับว่าประเทศไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติชั้นนำของพม่า รองจากสิงคโปร์ และอังกฤษ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยในพม่า ได้แก่ การสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ซึ่งบริษัท ปตท. สผ. ของไทยได้รับสัมปทานจากรัฐบาลพม่า โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการแล้วและสามารถนำก๊าซธรรมชาติจากพม่ามาใช้ประโยชน์ด้านพลังงานในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม การลงทุนของไทยในพม่าชะลอตัวลง นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 2540 ทำให้การลงทุนของไทยในพม่าไม่สม่ำเสมอนัก ประเด็นที่น่าสังเกต ก็คือ ไม่ปรากฏเม็ดเงินลงทุนของไทยในพม่าในปี 2547 โดยการลงทุนของไทยในพม่าลดลงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าเงินลงทุนสุทธิของไทยในพม่าลดลงเหลือ 17 ล้านบาท และ 8 ล้านบาท ในปี 2545 และปี 2546 ตามลำดับ เทียบกับมูลค่าเงินลงทุนสุทธิเฉลี่ยประมาณ 100 ล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนหน้านั้น
สถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองในพม่าอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ระเบิดกลางเมืองหลวงของพม่า คาดว่าจะทำให้นักธุรกิจไทยที่วางแผนจะเข้าไปลงทุนในพม่า ยืดเวลาการลงทุนออกไปอีกระยะหนึ่ง ขณะเดียวกันบรรดาพ่อค้า-แม่ค้า ตลอดจนนักท่องเที่ยวไทยที่จะเดินทางไปพม่า จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ภายในพม่าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัย และประเมินนโยบายการบริหารประเทศด้านต่างๆ ของพม่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะทางการพม่าพร้อมรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็ว เป็นประโยชน์ต่อประเทศพม่าและภูมิภาคอาเซียนโดยรวมด้วย


