อาร์มองค์, นิวยอร์ก–(บิสิเนส ไวร์)–18 ก.ค.2548
บริษัทไอบีเอ็มแถลงว่า
— กำไรต่อหุ้นสามัญปรับลดทั้งหมดอยู่ที่ 1.14 ดอลลาร์ ซึ่งรวมถึง 0.2 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลดของค่าใช้จ่ายและกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และถ้าไม่มีการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กำไรต่อหุ้นปรับลดของไอบีเอ็มจะอยู่ที่ 1.12 ดอลลาร์
— รายรับรวมอยู่ที่ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลง 4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2547 แต่เพิ่มขึ้น 6% ถ้าไม่มีผลกระทบจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว
ไอบีเอ็มแถลงในวันนี้ว่า กำไรต่อหุ้นสามัญปรับลดงวดไตรมาส 2 ปี 2548 อยู่ที่ 1.14 ดอลลาร์จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ ซึ่งค่าใช้จ่าย 0.72 ดอลลาร์ต่อหุ้นอันเนื่องมาจากการลดจำนวนพนักงาน, กำไร 0.45 ดอลลาร์ต่อหุ้นจากการขายธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) และรายได้อื่นๆ 0.29 ต่อหุ้นอันเนื่องมาจากข้อตกลงยุติคดีกับบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งถ้าไม่มีรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (non-recurring items) ดังกล่าว กำไรต่อหุ้นปรับลดก็จะอยู่ที่ 1.12 ดอลลาร์เทียบกับ 1.01 ดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปี 2547
รายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.85 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรายการก่อนหักภาษีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับโครงสร้าง 1.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกชดเชยด้วยผลกำไร 1.1 พันล้านดอลลาร์จากการขายกิจการพีซี และค่ายุติคดี 775 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจากบริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งถ้าไม่มีรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวดังกล่าว ไอบีเอ็มจะมีรายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่ 1.82 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 1.74 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปี 2547 ส่วนรายรับรวมสำหรับไตรมาส 2 ปี 2548 อยู่ที่ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรายรับจากพีซี 557 ล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.2548 ซึ่งลดลง 4% (6% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) จากไตรมาส 2 2547 และถ้าไม่รวมรายรับจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว รายรับไตรมาส 2 ก็จะเพิ่มขึ้น 6% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นายซามูเอล เจ ปาลมิซาโน่ ประธานและซีอีโอของไอบีเอ็มกล่าวว่า “ไอบีเอ็มได้ทำการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญมากมายในไตรมาส 2 เราได้ขายธุรกิจพีซีของเราให้แก่บริษัทเลโนโวไปอย่างราบรื่น เราได้ดำเนินระบบการบริหารที่ปรับปรุงโฉมใหม่ในยุโรป และยังปรับโครงสร้างส่วนที่สำคัญของบริษัทเพื่อการเติบโตในอนาคต ผมรู้สึกภูมิใจกับวิธีการที่ทีมงานของไอบีเอ็มจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นขณะเดียวกันก็สามารถทำให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้สดใสได้”
“ไอบีเอ็มกลับมาคืนฟอร์มในไตรมาสนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจเชิงกลยุทธ์ที่มีการเติบโตสูง ซึ่งได้แก่บริการการเปลี่ยนแปลงผลประกอบการธุรกิจ, ซอฟท์แวร์ และในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญและตลาดเกิดใหม่ ล้วนอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดของเรา โดยสามารถมีรายรับเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก นอกจากนี้ บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจของไอบีเอ็มก็มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสนี้ โดยมีรายรับที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและการเซ็นสัญญาเพิ่มขึ้น 30% ผลการดำเนินงานดังกล่าวตอกย้ำความเชื่อมั่นในรูปแบบธุรกิจของเรา และในพันธะกิจของเราที่จะนำทักษะและวิธีการแก้ไขที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวและมีคุณค่าสูงไปประยุกต์ใช้เปลี่ยนแปลงธุรกิจของลูกค้าของเรา”
ไอบีเอ็มได้เสร็จสิ้นข้อตกลงเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2548 ที่ขายธุรกิจพีซีตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2548 ของบริษัทจึงรวมถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจพีซีในเดือนเม.ย.ปีนี้เท่านั้น และผลการดำเนินงานของธุรกิจพีซีที่อยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้สะท้อนถึงโครงสร้างส่วนธุรกิจใหม่ซึ่งบริษัทจะดำเนินงานภายใต้โครงสร้างดังกล่าว ณ ไตรมาส 2 ปี 2548 โดยจะมีการประกาศผลการดำเนินงานของธุรกิจพีซีแบบแยกเดี่ยว (standalone basis) ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2548 รายรับภายนอกของพีซีอยู่ที่ 557 ล้านดอลลาร์ และผลขาดทุนก่อนหักภาษีอยู่ที่ 149 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการขายและค่าใช้จ่ายระหว่างบริษัท 13 ล้านดอลลาร์
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างที่เพิ่มขึ้น, กำไรจากการขายธุรกิจพีซี, การชำระคดีจากไมโครซอฟท์และผลการดำเนินงานของธุรกิจพีซีในผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของบริษัทจะมีการเปิดเผยในระหว่างการประชุมทางไกลแถลงผลกำไรประจำปีของไอบีเอ็ม
รายรับไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้น 6% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) ซึ่งไม่รวมธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้วนั้นได้รับแรงผลักดันจากการขยายตัวของบริษัทในทุกภูมิภาค โดยรายรับไตรมาส 2 ในอเมริกาอยู่ที่ 9.4 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (เพิ่มขึ้น 5% เมื่อปรับตามสกุลเงินและธุรกิจพีซี) ขณะที่รายรับจากยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกาอยู่ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 4% เมื่อปรับตามสกุลเงินและธุรกิจพีซี) ส่วนรายรับในเอเชียลดลง 10% (เพิ่มขึ้น 2% เมื่อปรับตามสกุลเงินและธุรกิจพีซี) มาอยู่ที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์ สำหรับรายรับจาก OEM อยู่ที่ 702 ล้านดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ถ้าไม่มีธุรกิจพีซี รายรับในภาคอุตสาหกรรมทั้ง 5 ประเภทของไอบีเอ็มปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกส่วนในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยรายรับในภาคสาธารณะและการจัดจำหน่าย (Public and Distribution) เพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็นตัวเลข 2 หลัก และยอดขายให้แก่ธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลางก็เพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับรายรับจากบริการทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการซ่อมบำรุง เพิ่มขึ้น 6% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เป็น 1.20 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ขณะที่รายรับจากบริการทั่วโลกไม่รวมการซ่อมบำรุง ก็เพิ่มขึ้น 6% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เช่นกัน ทั้งนี้ ไอบีเอ็มได้เซ็นสัญญาบริการคิดเป็นมูลค่ารวม 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์และปิดไตรมาส 2 ด้วยโครงการที่มีอยู่ในมือ (backlog) ด้านบริการอันได้แก่การจ้างบริการจากหน่วยงานอื่น (Strategic Outsourcing), บริการให้คำปรึกษาธุรกิจ, บริการเทคโนโลยีแบบครบวงจรและการซ่อมบำรุงซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.13 แสนล้านดอลลาร์
รายรับของไอบีเอ็มสำหรับบริการการเปลี่ยนแปลงผลประกอบการธุรกิจ (BPTS) โตขึ้นกว่า 25% ในไตรมาส 2 (และโตกว่า 30% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้) และนอกเหนือจากรายรับจากการเซ็นสัญญาและโครงการที่มีอยู่ในมือของส่วนบริการทั่วโลกแล้ว ยังมีการเซ็นสัญญามูลค่าประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ของส่วนบริการวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่จะทำให้ลูกค้าในส่วน BPTS ได้รับทักษะด้านการออกแบบและความสามารถทางเทคนิค
อย่างไรก็ดี รายรับจากฮาร์ดแวร์ลดลง 25% (27% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) มาอยู่ที่ 5.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายรับจากฮาร์ดแวร์ซึ่งไม่รวมธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้วนั้นอยู่ที่ 5.0% เพิ่มขึ้น 5% (4% เมื่อปรับตามสกุลเงิน)
รายได้จากฮาร์ดแวร์สำหรับกลุ่มระบบและเทคโนโลยี ซึ่งเพิ่งมีการปรับโครงสร้างใหม่โดยรวมส่วนโซลูชั่นร้านค้าปลีกและระบบการพิมพ์เข้าไว้ด้วยกันนั้น มีมูลค่ารวม 4.9 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายรับจากสินค้ากลุ่ม S&TG eServer เพิ่มขึ้นเนื่องจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ pSeries UNIX ซึ่งเพิ่มขึ้น 36% และเซิร์ฟเวอร์ xSeries และเซิร์ฟเวอร์ iSeries midrange ซึ่งเพิ่มขึ้น 11% และ 10% ตามลำดับ แต่รายรับจากสินค้าเครื่องเมนเฟรม zSeries ลดง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งมอบการใช้กำลังคอมพิวเตอร์ zSeries ซึ่งมีหน่วยเป็น MIPS (ล้านคำสั่งต่อวินาที) ลดลง 19% นอกจาก eServers แล้ว รายรับจากระบบจับเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น 19% และจากไมโครอิเล็คทรอนิคส์ลดลง 5%
รายรับจากซอฟท์แวร์อยู่ที่ 3.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% (7% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายรับจากสินค้ากลุ่ม middleware ของไอบีเอ็ม ซึ่งได้แก่ WebSphere, DB2, Tivoli, Lotus และ Rational อยู่ที่ 3.0 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายรับจากระบบปฏิบัติการเพิ่มขึ้น 3% เป็น 592 ล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายรับสำหรับสินค้าซอฟท์แวร์ในตระกูล WebSphere ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการกับความหลากหลายของขั้นตอนธุรกิจโดยใช้มาตรฐานแบบเปิดเพื่อเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น, ข้อมูลและระบบปฏิบัติการนั้นเพิ่มขึ้น 18% ส่วนรายรับสำหรับซอฟท์แวร์การจัดการข้อมูลเพิ่มขึ้น 15% ขณะที่รายรับของสินค้าซอฟท์แวร์ในตระกูลฐานข้อมูล DB2 โตขึ้น 14% ซึ่งสินค้าซอฟท์แวร์ดังกล่าวทำให้ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลตามความต้องการได้ และรายรับจากซอฟท์แวร์ Tivoli (ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์พื้นฐานที่ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารเครือข่ายและการจัดเก็บข้อมูลเป็นส่วนกลาง) เพิ่มขึ้น 28% ส่วนรายรับสำหรับซอฟท์แวร์ Lotus ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถทำงานร่วมกันและส่งข้อความในการจัดการการสื่อสารและความรู้แบบเรียลไทม์นั้นเพิ่มขึ้น 17% สำหรับรายรับจากซอฟท์แวร์ Rational (อุปกรณ์พัฒนาซอฟท์แวร์แบบครบวงจร) เพิ่มขึ้น 8% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ดังนั้น ไอบีเอ็มจึงคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มซอทฟ์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกัน, การบริหารระบ และซอฟท์แวร์ความปลอดภัย, บริการเว็บและการจัดการข้อมูลในไตรมาส 2
อย่างไรก็ดี รายรับของกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง ลดลง 4% (7% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) ในไตรมาส 2 สู่ 622 ล้านดอลลาร์ ส่วนรายรับจากการลงทุนในธุรกิจ/ประเด็นอื่นๆ ซึ่งรวมถึงโซลูชั่นไอทีที่เฉพาะด้านอุตสาหกรรมเช่นซอฟท์แวร์จัดการวงจรชีวิต ลดลง 3% (5% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) สู่ 286 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อน
ไอบีเอ็มมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นโดยรวม 39.4% ในไตรมาส 2 ปีนี้ เทียบกับ 36.4% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และถ้าไม่รวมธุรกิจพีซี อัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40.6% เทียบกับ 39.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผลกระทบจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของบริษัทถูกนำมารวมอยู่ในองค์ประกอบหลายส่วนของรายจ่ายทั้งหมดและรายได้อื่นๆแล้ว โดยรายจ่ายรวมและรายได้อื่นๆของไตรมาส 2 ปี 2548 เพิ่มขึ้น 2% มาอยู่ที่ 6.0 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่รายจ่าย SG&A เพิ่มขึ้น 35% เป็น 6.5 พันล้านดอลลาร์ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายจ่าย RD&E อยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญาและการพัฒนาการค้าลดลงสู่ 288 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 432 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้ (อื่นๆ) และรายจ่ายคือรายได้ 1.7 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงผลประโยชน์ 775 ล้านดอลลาร์สำหรับค่าชำระคดีจากไมโครซอฟท์ และกำไร 1.1 พันล้านดอลลาร์จากการขายธุรกิจพีซีซึ่งถูกชดเชยไปจากค่าใช้จ่าย 236 ล้านดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้าง เทียบกับรายจ่าย 23 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
อัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณ (effective tax rate) ของไอบีเอ็ม ซึ่งรวมถึงการดำเนินงานในไตรมาส 2 อยู่ที่ 32.3% ในไตรมาส 2 ของปีนี้ เทียบกับ 30.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราภาษีของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.2% อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเพียงครึ่งเดียวในไตรมาส 2
การซื้อคืนหุ้นมีมูลค่ารวมประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ขณะที่จำนวนหุ้นสามัญที่ปรับลดคงเหลือจากการเฉลี่ยโดยวิธีถ่วงน้ำหนักในไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 1.63 พันล้านหุ้น เทียบกับ 1.71 พันล้านหุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2548 มีหุ้นสามัญพื้นฐานคงเหลือ 1.60 ล้านหุ้น
ไอบีเอ็มมีเงินสด 8.7 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 ขณะที่งบดุลบริษัทยังคงแข็งแกร่งอยู่ และบริษัทอยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่จะฉวยประโยชน์จากโอกาสต่างๆ
สำหรับหนี้สิน ซึ่งรวมถึงกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่ง มีมูลค่ารวม 2.37 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2547 และจากมุมมองของฝ่ายบริหาร สัดส่วนหนี้ต่อทุน (debt-to-capitalization) ของธุรกิจที่ไม่ใช่ financing อยู่ที่ 9.5% ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2548 และหนี้สินของกลุ่มโกลบอล ไฟแนนซิ่งลดลง 1.4 พันล้านดอลลาร์จาก ณ สิ้นปี 2547 มาอยู่ที่ 2.09 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 6.7 ต่อ 1
ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี 2548 จนถึงขณะนี้
รายได้จากธุรกิจที่ประกอบการอยู่สำหรับรอบ 6 เดือนงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2548 อยู่ที่ 3.26 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรายการก่อนหักภาษีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวสำหรับค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง 1.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกชดเชยด้วยกำไร 1.1 พันล้านดอลลาร์จากการขายธุรกิจพีซี และค่าชำระคดี 775 ล้านดอลลาร์ที่ได้จากไมโครซอฟท์ ส่วนกำไรต่อหุ้นปรับลดจากธุรกิจที่ประกบอการอยู่นั้นอยู่ที่ 1.98 ดอลลาร์ เทียบกับกำไรต่อหุ้นปรับลด 1.80 ดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับรายรับจากธุรกิจที่ประกอบการอยู่สำหรับรอบ 6 เดือน ซึ่งรวมถึงรายได้จากพีซี 2.9 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้เท่านั้น มีมูลค่ารวม 4.52 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง (ลดลง 3% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เมื่อเทียบกับ 4.53 หมื่นล้านดอลลาร์ในรอบ 6 เดือนแรกของปีที่แล้ว และถ้าไม่มีรายรับจากธุรกิจพีซีที่ขายกิจการไปแล้ว บริษัทจะมีรายรับรวม 4.23 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% (3% เมื่อปรับตามสกุลเงิน) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการดำเนินงานโดยรวม รายได้สุทธิสำหรับ 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งรวมถึงผลขาดทุน 27 ล้านดอลลาร์จากธุรกิจที่หยุดประกอบการนั้น อยู่ที่ 3.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.96 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้สุทธิ 3.10 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.80 ดอลลาร์ต่อหุ้นปรับลด ซึ่งรวมถึงผลขาดทุน 3 ล้านดอลลาร์จากการดำเนินงานที่หยุดประกอบการแล้ว