จีนใช้ระบบตะกร้าเงิน : สาเหตุ & แนวโน้มการค้า-ท่องเที่ยว-ลงทุนของไทย

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของเหตุการณ์รุนแรงในภูมิภาคต่างๆของโลก ปรากฏว่าอย่างน้อยมีประเด็นเศรษฐกิจที่สร้างความพอใจในระดับหนึ่งให้แก่แวดวงต่างประเทศ ก็คือ การที่จีนยอมปลดค่าเงินหยวนที่ตรึงไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯมานาน 11 ปี จากอัตราเฉลี่ย 8.28 หยวน/ดอลลาร์ ปล่อยให้ค่าเงินหยวนยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นมาอยู่ในอัตรา 8.11 หยวน/ดอลลาร์ หรือมีค่าเพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548 โดยทางการจีนเปลี่ยนมาผูกค่าเงินหยวนไว้กับตะกร้าเงินหลายๆสกุล อาทิ เงินยูโร เงินเยน เงินสกุลเอเชียสำคัญๆ รวมถึงเงินดอลลาร์สหรัฐฯด้วย เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินหยวนของจีนเคลื่อนไหวตามฐานะทางเศรษฐกิจจีนและสภาพการเงินการคลังของประเทศมากขึ้นในระยะต่อไป

ความจริงการปรับค่าเงินหยวนเป็นเหตุการณ์ที่หลายประเทศเฝ้ารอคอยกันมานาน โดยเฉพาะสหรัฐฯและกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) แต่ทางการจีนได้ประวิงเวลาตลอดมา ด้วยต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนเอง
สหรัฐฯและอียู : เหตุผลสำคัญที่สหรัฐฯและอียูเรียกร้องให้ทางการจีนเลิกผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงินดอลลาร์ เพราะทำให้ค่าเงินหยวนต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งๆที่เศรษฐกิจจีนเข้มแข็ง แต่ค่าเงินหยวนกลับอ่อนตัวตามทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นผลให้สินค้าจีนมีราคาถูกในตลาดสหรัฐฯและตลาดยุโรป กระตุ้นให้คนอเมริกันและคนยุโรปนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นจำนวนมาก ผลที่เกิดขึ้น ก็คือ สหรัฐฯและยุโรปขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นจนน่าวิตก

จีน : เหตุผลที่ทางการจีนเมินข้อเรียกร้องของสหรัฐฯและอียูให้ปรับค่าเงินหยวนในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากวิตกกังวลว่าภาคการเงินการธนาคารของจีนยังไม่ค่อยแข็งแรง การปล่อยให้ค่าเงินหยวนยืดหยุ่น อาจทำให้การปรับปรุงแก้ไขปัญหาการเงินการธนาคารของประเทศต้องล่าช้าออกไป เป็นผลเสียต่อการเปิดเสรีทางการเงินที่ทางการจีนสัญญาไว้กับ WTO ในปี 2549

แต่ในที่สุดทางการจีนก็ประกาศปรับค่าเงินหยวนไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่จีนผูกเงินหยวนไว้กับเงินดอลลาร์มาตั้งแต่ปี 2537 ปัจจัยสำคัญที่โน้มน้าวให้ทางการจีนยุติการตรึงค่าเงินหยวนและหันมาใช้ระบบตะกร้าเงินแทน ได้แก่

• ต้องการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน ทางการจีนได้พยายามใช้มาตรการต่างๆตลอดปี 2547 เพื่อชะลอเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวในอัตราเฉลี่ยราว 8% แต่ปรากฏว่าอัตราการเติบโตของ GDP เมื่อสิ้นสุดปีที่แล้ว ยังคงเข้มแข็งในระดับ 9.5% ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปี 2548 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่มีท่าทีว่าจะคลายความร้อนแรงลงแต่อย่างใด ด้วยอัตราเพิ่ม 9.4% และ 9.5% ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการขยายตัวของภาคการส่งออกของจีน ดังนั้น ทางการจีนจึงตัดสินใจปล่อยค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้เศรษฐกิจจีนค่อยๆ ชะลอตัวลง (soft landing)

• ต้องการลดกระแสกีดกันการค้า ทางการจีนโดนประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯและอียูบีบคั้นให้ปล่อยค่าเงินหยวนยืดหยุ่น ล่าสุดสหรัฐฯได้เตรียมผ่านร่างกฎหมายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ด้วยเหตุผลที่ว่าจีนใช้มาตรการอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนเอาเปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้จีนก็ถูกจำกัดโควต้าส่งออกสิ่งทอไปยังสหรัฐฯ แม้แต่การค้าขายกับอียูของจีนก็เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้งในกรณีที่สินค้าจีนท่วมตลาดอียู จนทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นอียูเสียเปรียบ สถานการณ์เหล่านี้นับวันยิ่งสร้างความรำคาญให้แก่ทางการจีน และอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามการค้าโลก ทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ ก็คือ การปล่อยค่าเงินหยวนเข้าสู่ระบบตะกร้าเงิน

• ต้องการเสริมบทบาทผู้นำเศรษฐกิจโลก การตัดสินใจของทางการจีนครั้งนี้ได้รับความชื่นชม เนื่องจากช่วยทำให้เหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายชัดเจนกว่าเดิม ผู้ประกอบการค้าขาย นักลงทุน หรือแม้แต่รัฐบาลของประเทศต่างๆ สามารถกำหนดเป้าหมายและมาตรการเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้รัดกุมมากขึ้น โดยไม่ต้องพะวงและคาดกันว่าทางการจีนจะปรับค่าเงินหยวนช่วงไหน ซึ่งช่วยให้ประเทศต่างๆที่ขณะนี้เผชิญปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจมากพออยู่แล้ว อาทิ น้ำมันแพง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ภัยก่อการร้าย ฯลฯ ดังนั้น การที่จีนปรับค่าเงินหยวนไปแล้ว จึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงให้แก่เศรษฐกิจโลกลงระดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้ จีนได้เคยใช้เงินหยวนแสดงบทบาทผู้นำแห่งภูมิภาคนี้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 2540 ด้วยการไม่ยอมลดค่าเงินหยวน เพื่อให้ประเทศเอเชียที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำ ได้มีโอกาสใช้ความได้เปรียบค่าเงินสกุลเอเชียที่อ่อนกว่าค่าเงินหยวนในขณะนั้น สามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลกได้มากขึ้น ช่วยพยุงให้เศรษฐกิจชาติเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย ผ่านพ้นวิกฤตส่วนหนึ่ง

ผลกระทบเศรษฐกิจไทย

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการที่ทางการจีนปล่อยให้เงินหยวนสามารถเคลื่อนไหวได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งส่งผลให้เงินหยวนมีค่าแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับค่าเงินหยวนของจีนจะส่งผลกระทบต่อการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ของไทย สรุปได้ดังนี้

ผลกระทบการค้าไทย

การที่เงินหยวนของจีนสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระมากขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในวงจำกัด แต่ก็ส่งผลให้เงินหยวนมีค่าแข็งขึ้นทันที ทำให้เงินเอเชียสกุลต่างๆ มีค่าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งเงินบาทของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยจากการที่เงินหยวนมีค่าเพิ่มขึ้น พิจารณาได้ 2 ประเด็นดังนี้

– สินค้าไทยส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้น ลดยอดขาดดุลการค้ากับจีน คาดว่าการที่เงินหยวนมีค่าแข็งขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีน เนื่องจากผู้นำเข้าชาวจีนและผู้บริโภคจะเห็นว่าสินค้าจากต่างประเทศมีราคาถูกลง อาจกระตุ้นให้มีการนำเข้าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าจำพวกวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าที่จีนจำเป็นต้องนำเข้าเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป เช่น ยางพารา เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เหล็ก-เหล็กกล้า เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ความเข้มแข็งของค่าเงินหยวน อาจจูงใจให้ชาวจีนซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคจากต่างประเทศเพิ่มด้วย เช่น ข้าว ผลไม้สดแช่เย็น-แช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่มประเภทต่างๆ เป็นต้น

การส่งออกไปจีนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จะช่วยบรรเทายอดขาดดุลการค้าของไทยกับจีนที่ทะยานขึ้นรวดเร็วในช่วงต้นปีนี้ โดยไทยขาดดุลการค้ากับจีนพุ่งขึ้นถึง 291% เป็นมูลค่า 1,263.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 5 เดือนแรก 2548 นับเป็นยอดขาดดุลที่สูงกว่ายอดขาดดุลการค้ากับจีนตลอดทั้งปี 2547 แม้ว่าการส่งออกสินค้าไทยไปประเทศจีนในช่วงต้นปีนี้ ยังคงขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ยในปีที่ผ่านมา แต่การนำเข้าสินค้าจากจีนเติบโตในอัตราสูงมาก โดยเพิ่มขึ้น 51.4% เป็นมูลค่า 4,576 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 5 เดือนแรก 2548 ขณะที่การส่งออกไปจีนขยายตัว 22.7% เป็นมูลค่า 3,312.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่าสูงถึง 1,263.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเดียวกัน

ขณะเดียวกันการที่ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งขึ้น จะทำให้ไทยชะลอการนำเข้าสินค้าบางรายการจากจีน เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าจากจีนจะมีราคาแพงขึ้น สินค้าจีนที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้นมากในช่วงต้นปีนี้ ได้แก่ เหล็กแผ่น พุ่งขึ้น 580% ผลิตภัณฑ์โลหะ (104%) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (73%) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ (44%) เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (44%) เครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ (28%) เป็นต้น

– สินค้าไทยแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดโลก ขึ้นกับคุณภาพ หลังจากที่ทางการจีนผ่อนคลายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวน ส่งผลให้เงินหยวนมีค่าแข็งขึ้นประมาณ 2.1% ขณะที่เงินบาทมีค่าขยับขึ้นประมาณ 1% คาดว่าผลกระทบเบื้องต้นจากการที่ค่าเงินหยวนและค่าเงินบาทแข็งขึ้น ไม่น่าจะทำให้สินค้าจีนและสินค้าไทยที่ส่งออกไปขายแข่งขันกันในตลาดต่างประเทศ มีความได้เปรียบหรือเสียเปรียบเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนนัก แม้ว่าเงินบาทมีค่าเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของเงินหยวนก็ตาม เนื่องจากสินค้าจีนมีราคาถูกกว่าสินค้าไทยค่อนข้างมาก ดังนั้น การที่เงินหยวนมีค่าแข็งขึ้น จะทำให้ราคาสินค้าจีนในตลาดต่างประเทศขยับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นในช่วงแรก คาดว่าสินค้าจีนก็จะยังคงมีราคาต่ำกว่าสินค้าประเภทเดียวกันของไทยที่ขายแข่งขันกับจีนในตลาดโลก เพราะจีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำอยู่แล้ว การที่เงินหยวนมีค่าแข็งขึ้นในขณะนี้ จึงมิได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาสินค้าจีนสูงขึ้นมากนัก และมิได้ส่งผลเสียต่อการส่งออกของจีน ขณะที่การส่งออกของไทยไม่น่าจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการปรับเปลี่ยนนโยบายค่าเงินหยวนของจีนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป เมื่อทางการจีนปล่อยให้เงินหยวนสามารถเคลื่อนไหวอย่างเสรียิ่งขึ้น และเงินหยวนมีค่าเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลบั่นทอนความได้เปรียบด้านราคาของสินค้าจีนในตลาดต่างประเทศในระยะยาว คาดว่าสินค้าส่งออกไทยจะได้รับอานิสงส์เต็มที่จากการที่เงินหยวนของจีนมีค่าแข็งขึ้นก็ต่อเมื่อเงินหยวนแข็งค่าขึ้นประมาณ 15-20% ขณะเดียวกันประเด็นที่ผู้ส่งออกไทยต้องคำนึงถึงและเร่งรัดจัดการอย่างจริงจัง ก็คือ การปรับปรุงและรักษาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อสร้างชื่อเสียงและความเชื่อถือในสินค้าไทย ซึ่งจะเป็นการเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าอย่างยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ประกอบการชาวจีนได้มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ของตนอย่างมาก อีกทั้งยังวางกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างแยบยล ด้วยการสร้างแบรนด์ (Branding) ให้แก่สินค้าของจีนในระดับสากล อาทิ การเข้าซื้อบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งได้ปรากฏเป็นข่าวตลอดมา โดยทางการจีนมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ชาวต่างประเทศยอมรับสินค้าจีนอยู่ในระดับสากลโดยเร็ว

สินค้าจีนยังคงมีแนวโน้มเป็นคู่แข่งสำคัญของสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศต่อไป โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ไทยและจีนส่งสินค้าออกไปขายมากที่สุด สินค้าไทยที่แข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า รองเท้าและชิ้นส่วน สินค้าประมง อาทิ กุ้งสดแช่เย็น-แช่แข็ง ปลาหมึกสดแช่เย็น-แช่แข็ง รวมทั้งปลาสด-ปู-หอยแช่เย็น-แช่แข็ง เป็นต้น ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นตลาดที่ไทยส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจำหน่ายมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมดของไทยในแต่ละปี ขณะเดียวกันสหรัฐฯ เป็นตลาดรองรับสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการมากเป็นอันดับ 1 ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็น-แช่แข็ง คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการส่งออกกุ้งสดแช่เย็น-แช่แข็งทั้งหมดของไทย รองเท้าและชิ้นส่วน (สัดส่วนประมาณ 36%) เครื่องใช้ไฟฟ้า (สัดส่วนประมาณ 20%) เป็นต้น

สำหรับประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของจีน เช่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลี และฝรั่งเศส ประเทศเหล่านี้เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทยเช่นกัน ทั้งนี้ สินค้าที่ไทยและจีนขายแข่งขันกันในตลาด EU ส่วนใหญ่ก็คล้ายคลึงกับสินค้าที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าที่จีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำมาก จึงสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างๆ อย่างกว้างขวาง สำหรับประเทศไทย ตลาด EU เป็นตลาดที่ไทยส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจำหน่ายมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 25% ของการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ ตลาด EU รองรับสินค้ารองเท้าและชิ้นส่วนจากไทยมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ และรองรับเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น สินค้าเหล่านี้จึงเป็นสินค้าที่ไทยขายแข่งขันกับจีนในการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลัก

ผลกระทบท่องเที่ยวไทย

* นักท่องเที่ยวจีนมีกำลังซื้อสูงขึ้น การที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้นส่งผลให้คนจีนมีกำลังซื้อสูงขึ้นแม้ไม่มากนักสำหรับการปรับขึ้นในระยะแรก แต่ก็ทำให้คนจีนรู้สึกว่าราคาแพ็กเกจทัวร์ถูกลงกว่าเดิม ส่งผลเอื้ออำนวยให้คนจีนเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการขยายตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นกับปัจจัยสำคัญ ดังนี้

– การสร้างสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน ภายใต้ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ทั้งยุโรป ออสเตรเลีย และแอฟริกา รวมทั้งฮ่องกง ซึ่งรัฐบาลจีนผ่อนผันให้ชาวจีนในหลายมณฑลเดินทางไปยังฮ่องกงกันเองได้ โดยไม่ต้องซื้อแพ็กเกจทัวร์จากบริษัทนำเที่ยว และในเดือนกันยายนนี้สวนสนุกดีสนีย์แลนด์ในฮ่องกงจะเปิดให้บริการ ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้จำนวนมาก

– การเร่งแก้ไขปัญหาในประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ และการเร่งสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยในการเดินทางมาเที่ยวแถบอันดามันแก่นักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไป

สำหรับแนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวจีนในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 โดยพิจารณาจากสถิตินักท่องเที่ยวสัญชาติจีนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยผ่านท่าอากาศยานดอนเมืองมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 246,798 คน ลดลง 19.9% เมื่อเทียบกับปี 2547 ช่วงเดียวกันที่มีจำนวน 308,279 คน (มีสัดส่วนคิดเป็น 81.3% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของปี 2547)

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 จะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้ามารวมทั้งสิ้นประมาณ 300,000 คน ลดลง 20% เมื่อเทียบกับปี 2547 ช่วงเดียวกันที่มีจำนวน 338,577 คน และคาดว่าตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินการของภาครัฐ ดังนี้

– ภาครัฐเดินทางไปเจรจากับทางการจีนทั้งในระดับประเทศและระดับมณฑลหลายครั้ง เพื่อชี้แจงมาตรการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญและขอให้จีนส่งนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น

– กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้จัดตั้งสมาคมส่งเสริมการคุ้มครองนักท่องเที่ยวจีนขึ้นมา โดยบริษัททัวร์ที่เข้าเป็นสมาชิกจะต้องจ่ายเงินค้ำประกันรายละ 2 ล้านบาท และสมาชิกในสมาคมฯจะได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยว่าเป็นบริษัททัวร์คุณภาพ

– สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบคุณภาพและฉลากของสินค้าตามร้านจำหน่ายสินค้าแก่นักท่องเที่ยวที่ได้รับการร้องเรียน อาทิ ร้านจำหน่ายพระเครื่อง ร้านจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

– ตำรวจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวจัดระเบียบบริษัททัวร์ที่นำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทย โดยให้บริษัททัวร์บางรายที่ถูกร้องเรียนส่งตารางการเดินทางและโปรแกรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้ทางตำรวจ เพื่อสามารถตรวจสอบการนำนักท่องเที่ยวจีนไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของบริษัททัวร์ว่า นักท่องเที่ยวถูกหลอกหรือบังคับให้จ่ายค่านำเที่ยวหรือค่าเข้าชมที่สูงกว่าปกติหรือไม่

– การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้รับงบประมาณพิเศษเพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจัดสรรให้สำนักงานททท. ในปักกิ่ง จำนวน 258 ล้านบาท เพื่อเร่งทำการตลาดในมณฑลใหญ่ๆ เช่น ร่วมกับบริษัททัวร์และสายการบินท้องถิ่นออกแพ็กเกจทัวร์ราคาถูกเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวจีน ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการกระตุ้นตลาดไมซ์จากจีน และการนำผู้ที่มีชื่อเสียงจากวงการบันเทิง นักกีฬา และผู้บริหารระดับซีอีโอของบริษัทใหญ่ๆ ของจีน เข้ามาเที่ยวภูเก็ตและนำภาพไปเผยแพร่ผ่านสื่อในประเทศจีน เป็นต้น

จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่า โดยรวมตลอดทั้งปี 2548 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมายังประเทศไทยประมาณ 800,000 คน เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่มีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้ามารวมทั้งสิ้น 779,070 คน และสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศเพิ่มขึ้น 7% โดยมีมูลค่าประมาณ 21,000 ล้านบาท

ผลกระทบด้านการลงทุน

? แนวโน้มทุนจีนไหลเข้าไทยระยะยาว การที่ค่าเงินหยวนปรับแข็งค่าขึ้นราว 2% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นค่าเงินที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก คาดว่าในระยะสั้น ผลกระทบต่อการลงทุนของจีนในประเทศไทยจากการที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้น ยังไม่เห็นผลชัดเจนในทันที เพราะโครงการลงทุนต่างๆ ต้องใช้เวลาในการวางแผนการลงทุนและประเมินความเป็นไปได้ของการลงทุนในแต่ละโครงการ
สำหรับในระยะยาว มีแนวโน้มที่เงินหยวนจะปรับแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ จึงคาดว่านักลงทุนชาวจีนและผู้ประกอบการชาวจีนน่าจะขยายการลงทุนมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพราะค่าเงินหยวนที่เข้มแข็งจะช่วยให้นักลงทุนชาวจีนสามารถประหยัดเงินลงทุนในต่างประเทศได้บางส่วน ประกอบกับทางการจีนมีนโยบายส่งเสริมให้ชาวจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว เพื่อแสวงหาแหล่งวัตถุดิบและขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ อีกทั้งทางการไทยมีแผนการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ (Megaproject) ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า ล้วนดึงดูดให้นักลงทุนจีนสนใจจะร่วมลงทุนในไทยมากขึ้น ทั้งนี้ จีนให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศไทย ในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์ที่จะเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนระหว่างจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียน โครงการลงทุนของจีนที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล ชิ้นส่วนยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา ผลิตภัณฑ์พลาสติก การผลิตพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ในช่วง 6 เดือนแรก 2548 การลงทุนของจีนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย (BOI) รวมมูลค่า 1,336 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับโครงการลงทุนดังกล่าวในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่า 1,842 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมา การลงทุนจากประเทศจีนไม่ได้มีระดับสูงอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศผู้ลงทุนรายสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่นับได้ว่าจีนเป็นนักลงทุนที่มีศักยภาพสูงในอนาคต ที่น่าสังเกต ก็คือ การลงทุนของบริษัทจีนในต่างประเทศมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยมองผลประโยชน์ในระยะยาวในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และมีความเฉพาะเจาะจงในการเลือกทำเลที่ตั้งฐานการลงทุน แตกต่างจากนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่มีพฤติกรรมเคลื่อนย้ายฐานการผลิตไปในทิศทางเดียวกันทั้งอุตสาหกรรม ดังนั้น การวางกลยุทธ์ส่งเสริมการลงทุนจากประเทศจีน ควรเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม เช่น นักลงทุนประเภทบริษัท และนักลงทุนระดับมณฑล เป็นต้น

นอกเหนือจากการลงทุนโดยตรงแล้ว ทางการไทยยังมีมาตรการที่จะจูงใจให้นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของไทยอีกด้วย น่าจะเป็นผลดีอีกประการหนึ่งแก่ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งนี้ ทางการไทยเตรียมจัดโรดโชว์ไปยังประเทศจีน โดยจะนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยไปแนะนำให้ชาวจีนรู้จัก นับเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากจีนเข้าสู่ประเทศไทยอีกช่องทางหนึ่ง คาดว่าจะจูงใจให้นักลงทุนจีนสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป มาตรการเชิงรุกของรัฐบาลไทยเป็นมาตรการเฉพาะหน้า ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวจากการที่เงินหยวนของจีนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

คาดการณ์ว่าทางการจีนมีแนวโน้มที่จะจัดการปล่อยค่าเงินหยวนอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาว น่าจะทำให้ทิศทางค่าเงินหยวนสะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศจีนมากขึ้น โดยให้เงินหยวนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดการเงิน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของจีนและเศรษฐกิจโลกโดยรวม รวมทั้งจะช่วยลดความขัดแย้งในวงการการค้าโลก และเกื้อหนุนให้การค้าระหว่างประเทศเป็นธรรมยิ่งขึ้น