ธุรกิจค้าปลีกครึ่งหลังปี’48 : ชะลอตัว…ต้องเร่งทำตลาดจูงใจ…รับยุคค่าครองชีพสูง

จากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาคการค้าต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศจากการสำรวจในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2548 ผู้ประกอบการภาคการค้าส่งมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในระดับทรงตัว ในขณะที่ผู้ประกอบการภาคการค้าปลีกมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศในระดับที่ไม่ดีนัก โดยผู้ประกอบการแต่ละรายต่างมองว่ายังไม่มีปัจจัยใดส่งผลกระทบในด้านบวกต่อกิจการอย่างชัดเจนมากนัก

ในขณะที่ปัจจัยลบกลับส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อกิจการไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงระดับราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง หรือระดับราคาบริการสาธารณูปโภคโดยรวมและระดับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนี้ ดังนั้นภาพรวมของบรรยากาศการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกช่วง 6 เดือนแรกปี 2548 ที่ผ่านมาจึงเป็นไปในลักษณะของการเปิดเกมรุกบุกตลาดกันอย่างเต็มที่ของบรรดาผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ในกิจการค้าปลีกแบบใหม่ทั้งดิสเคานท์สโตร์ ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าทั้งการปรับปรุงสถานที่ การจัดกิจกรรมทางการตลาดที่ค่อนข้างถี่มากขึ้น หรือการจัดมหกรรมลดราคาสินค้าในแต่ละประเภทสินค้าหมุนเวียนกันไปอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้คึกคักขึ้น และหวังผลต่อเนื่องให้ยอดขายเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

สำหรับในช่วงครึ่งหลังปี 2548 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าปัจจัยลบต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจค้าปลีกเมืองไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2548 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อไปอีกในครึ่งหลังปี 2548 ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของระดับราคาน้ำมันทั้งภายในประเทศและตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวในระดับสูงที่มีผลให้กำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภคลดลงตามมาโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงรากหญ้า หรือแนวโน้มการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ระดับอัตราดอกเบี้ยของไทยที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึงเหตุการณ์ธรณีพิบัติใน 6 จังหวัดภาคใต้ และปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็น่าจะยังคงมีกระแสต่อเนื่องจนส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคคนไทยและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพอสมควร และแม้ว่าจะมีปัจจัยบวกในด้านภาวะการจ้างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนอย่างการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและข้าราชการบำนาญ หรือการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนและเกษตรกร เป็นต้น แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคคนไทยในภาวะที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเช่นปัจจุบันย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน โดยที่จากเดิมเคยตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการอย่างง่ายๆก็จะกลับกลายมาเป็นการพิถีพิถันในการเลือกซื้อหรือเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันเท่านั้นแทน

ดังนั้นในภาวะที่สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่สดใสเท่าที่ควรด้วยปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้นและผู้บริโภคมีพฤติกรรมระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันที่เป็นไปในลักษณะที่ซับซ้อนขึ้น และเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบในเชิงการแข่งขันมากขึ้นเช่นปัจจุบัน ย่อมมีความเป็นไปได้ว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2548 ยอดขายในกลุ่มสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันน่าจะยังคงขยายตัวอยู่ได้ในเกณฑ์ดีระดับหนึ่ง ส่วนยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยอาจจะชะลอตัวลงโดยเฉพาะสินค้าที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับปานกลาง โดยทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ายอดขายธุรกิจค้าปลีกโดยภาพรวมในครึ่งหลังปี 2548 น่าจะขยายตัวในระดับประมาณร้อยละ 10-12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2547 ซึ่งนับเป็นภาวะการค้าที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระดับอัตราการขยายตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2547 ที่เติบโตร้อยละ 17.95 แต่ทั้งนี้หากเมกะโปรเจ็กท์ และรายได้จากภาคการท่องเที่ยว รวมถึงภาคการส่งออกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2548 ก็น่าจะส่งผลให้สถานการณ์ค้าปลีกในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2548 ไม่เลวร้ายจนเกินไปนักหรือเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้

ขณะที่สถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทยช่วงครึ่งหลังปี 2548 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าน่าจะมีบรรยากาศที่คึกคักและรุนแรงกว่าครึ่งแรกปี 2548 รวมถึงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2547 ด้วย เพราะผู้ประกอบการแต่ละรายต่างจะต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเพื่อสะสมยอดขายให้ได้มากที่สุดในช่วงฤดูกาลขายโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสี่ อันประกอบด้วย

– การเตรียมความพร้อมของสินค้าภายในกิจการทั้งในส่วนของคุณภาพและปริมาณสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่เสี่ยงต่อการหดตัวมากกว่าสินค้าจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และเป็นไปได้ว่าสินค้าเฮ้าส์แบรนด์จะก้าวขึ้นมามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นและอาจจะมีการจัดโปรโมชั่นหรือแจกสินค้าตัวอย่างเพื่อให้สินค้าเฮ้าส์แบรนด์เป็นที่รับรู้ในวงกว้างมากขึ้นด้วย

– นอกเหนือจากกลยุทธ์ด้านราคาที่เป็นไปได้ว่าจะมีระดับการลดราคามากกว่าปกติเช่นจากเดิมเคยลดที่ระดับร้อยละ 10-60 ก็ขยับเป็นระดับร้อยละ 20-80 นั้น เป็นไปได้ว่าผู้ประกอบการค้าปลีกน่าจะมีการเพิ่มความถี่ของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการในกิจการเพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วยรูปแบบการจัดกิจกรรมการตลาดในลักษณะแปลกใหม่และแตกต่างกว่าที่เคยเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคเลือกเข้ามาใช้บริการในกิจการและซื้อสินค้า อาทิเช่นการจัดกิจกรรมตลาดที่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อหวังสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้บริโภคหรือลูกค้าเฉพาะกลุ่ม หรือการให้เอกสิทธิ์แก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิกหรือลูกค้าพรีเมี่ยม เป็นต้น ซึ่งก็คาดว่าจะได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกลุ่มซัพพลายเออร์ที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ณ จุดขายหรือ Below the line กันมากขึ้นตามลำดับ

– ทั้งนี้เป็นไปได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกในภาคใต้ทั้งในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบเหตุการณ์ธรณีพิบัติ และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประสบปัญหาความไม่สงบภายในพื้นที่น่าจะต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในพื้นที่ที่หดตัวไประดับหนึ่งให้กระเตื้องขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยการระดมกลยุทธ์ด้านราคาเป็นหลัก รวมถึงการแสดงจุดยืนและมาตรการที่เข้มงวดด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่ต้องการเข้ามาใช้บริการ

– ขณะเดียวกันก็อาจจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการค้าปลีกกับบรรดาพันธมิตรใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นในการเข้าร่วมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในครึ่งหลังปี2548 เพราะกิจการค้าปลีกแต่ละแห่งไม่ว่าจะเป็นดิสเคานท์สโตร์ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า หรือแม้แต่บรรดาร้านโชวห่วยต่างก็ต้องการสรรหาความหลากหลายและความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขัน ในขณะที่เจ้าของสินค้าและบริการหลายรายก็หวังพึ่งพาช่องทางดังกล่าวเป็นตัวเชื่อมโยงเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มบริโภคอย่างใกล้ชิดมากขึ้นด้วยเพื่อเพิ่มยอดขายของเจ้าของสินค้าและบริการต่างๆท่ามกลางปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการจับจ่ายของผู้บริโภคเช่นปัจจุบัน

– นอกจากนี้มีความเป็นไปได้ว่าในครึ่งหลังปี 2548 กลุ่มผู้ประกอบการที่มีกำลังทุนสูงทั้งในรูปแบบของดิสเคานท์สโตร์หรือคอนวีเนียนสโตร์ยังน่าจะมีการขยายสาขาหรือรุกสู่ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆที่มีความยืดหยุ่นตามความเหมาะสมของกลุ่มเป้าหมายแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่องทั้งนี้เพื่อขยายตัวครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างยิ่งขึ้น

– ความโดดเด่นด้านคุณภาพของการบริการที่ประทับใจก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้ประกอบการจะหันมาให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

บทสรุป
ธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งหลังปี 2548 มีแนวโน้มจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายประการไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น หรือปัญหาน้ำมันแพง จึงนับเป็นภาระหนักพอสมควรสำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกที่ต่างต้องอาศัยแผนการตลาดที่โดดเด่นและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งน่าจะเป็นไปทั้งในรูปแบบของการเพิ่มความถี่ในการจัดรายการลดราคาสินค้า หรือการนำเสนอความแปลกใหม่ของสินค้า และบริการ รวมถึงบรรยากาศภายในกิจการให้แก่ลูกค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในส่วนของความแตกต่าง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศก็น่าจะมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบในส่วนของต้นทุนต่อหน่วยที่น่าจะต่ำกว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายน้อยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับการบริหารจัดการระบบลอจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพด้วย ดังนั้นการดำเนินธุรกิจค้าปลีกนับจากนี้จึงต้องขึ้นอยู่กับนโยบาย ทิศทางธุรกิจ และสายป่านทางการเงินของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2548 ผู้บริโภคน่าจะมีทางเลือกมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกแต่ละรายจะต้องมีทั้งเกมรุกและเกมรับที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคค่าครองชีพสูงเช่นปัจจุบัน