อัตราดอกเบี้ย Fed Funds คงจะขยับขึ้นเป็น 3.50%

จากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาในรอบเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่การขยายตัวยังคงมีแนวโน้มดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะล่าสุดการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้น 2.07 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.80 แสนตำแหน่ง ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งนี้ค่อนข้างจะมีความแตกต่างไปจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงก่อนหน้าการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ครั้งก่อนเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ในช่วงเวลาดังกล่าว สัญญาณการชะลอตัวลงของภาคการผลิตสหรัฐฯมีความเด่นชัดจนทำให้ตลาดมีการคาดคะเนว่าวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจมีแนวโน้มชะลอลงหรือเข้าใกล้จุดสิ้นสุดลงในไม่ช้า

ขณะที่สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีแนวโน้มเข้มแข็งมากขึ้นในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ได้ทำให้ตลาดกลับมาคาดการณ์ว่า วัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของเฟดคงจะมีแนวโน้มดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นที่คาดหมายกันว่า ในการประชุม FOMC วันที่ 9 สิงหาคม 2548 เฟดคงจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีก 0.25% จาก 3.25% มาเป็น 3.50% ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นรอบที่ 10 ติดต่อกัน หลังจากที่เฟดได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% มาต่อเนื่องในการประชุม 9 รอบก่อนหน้า นอกจากนี้ ตลาดยังคาดว่า เฟดอาจมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่ระดับที่มีความเป็นกลางมากขึ้น หรือไปที่ระดับ 4.00% ณ ปลายปี 2548 นี้ เป็นอย่างน้อย ตราบเท่าที่การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเอื้ออำนวยสำหรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สรุปสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สนับสนุนการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ของเฟดในการประชุมวันที่ 9 สิงหาคมนี้ พร้อมผลกระทบต่อภาคการเงินไทย ไว้ดังต่อไปนี้ :-

ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯโดยรวมยังมีความเข้มแข็งมากพอที่จะรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเฟด

– เครื่องชี้ภาคการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้น ได้ลบภาพแนวโน้มการชะลอตัวลงของภาคการผลิตที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ภาคการบริการก็ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการปรับตัวของเครื่องชี้ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมิถุนายนที่ 0.9% จากเดือนก่อน, คำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนมิถุนายนจากเดือนก่อนหน้า, ดัชนีภาคการผลิตของสถาบัน Institute for Supply Management (ISM)* ที่เพิ่มขึ้นเช่นกันจากระดับ 53.8 ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 56.6 ในเดือนกรกฎาคม ตลอดจนคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานในเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้น 1.0% เทียบกับเดือนก่อนหน้า ได้สะท้อนภาพการฟื้นตัวขึ้นของกิจกรรมในภาคการผลิตของสหรัฐฯ หลังจากที่ภาคการผลิตมีสัญญาณการชะลอตัวลงในช่วงก่อนหน้า (ประมาณต้นไตรมาส 2/2548) ในขณะเดียวกัน กิจกรรรมในภาคการบริการของสหรัฐฯก็ยังคงมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จาก ดัชนีภาคการบริการของสถาบัน ISM* ที่แม้ว่าจะลดลงจากระดับ 62.2 ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 60.5 ในเดือนกรกฎาคม แต่ดัชนีก็ยังคงอยู่ใกล้ระดับ 60 ที่บ่งชี้ว่ากิจกรรมในภาคการบริการยังคงขยายตัวค่อนข้างแข็งแกร่ง

– การเติบโตของตลาดแรงงานยังเป็นปัจจัยหนุนกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงต่อไป จากข้อมูลล่าสุดที่เปิดเผยในวันที่ 5 สิงหาคม 2548 ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 2.07 แสนตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.80 แสนตำแหน่ง ขณะที่ ตัวเลขในช่วง 2 เดือนก่อนก็มีการทบทวนใหม่ให้ปรับเพิ่มขึ้นด้วย โดยขนาดการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน (ทบทวนใหม่) อยู่ที่ 1.26 และ 1.66 แสนตำแหน่ง ตามลำดับ เทียบกับเดิมที่เพิ่มขึ้นจำนวน 1.04 และ 1.46 แสนตำแหน่ง ซึ่งแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงงานนี้** ประกอบกับ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 96.5 ในเดือนกรกฎาคม จาก 96.0 ในเดือนมิถุนายน) ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนกำลังซื้อและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในระยะข้างหน้า

– อัตราการขยายตัวของจีดีพียังคงมีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงระดับศักยภาพ จากการขยายตัวของตลาดแรงงาน ซึ่งคงจะสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภคตามมาในระยะข้างหน้า ประกอบกับ สัญญาณการเติบโตที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทั้งในกิจกรรมภาคการผลิตและภาคการบริการ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจขยายตัวต่อเนื่องใกล้เคียงกับระดับศักยภาพในกรอบ 3.5-4.0% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หลังจากที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวค่อนข้างแข็งแกร่งที่ประมาณ 3.8% ในไตรมาส 1 และ 3.4% ในไตรมาส 2 (ตัวเลขเบื้องต้น)

ทั้งนี้ จากเครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ทิศทางการปรับตัวเป็นไปในเชิงบวกมากขึ้นดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯคงจะสามารถรองรับการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่มีความเข้มงวดมากขึ้นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปได้โดยที่ไม่ลำบากนัก

แรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังคงอยู่ภายในระดับควบคุม แต่อาจมีแนวโน้มเร่งขึ้นในระยะข้างหน้าตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ

เมื่อพิจารณาทิศทางอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า แรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังคงอยู่ภายในระดับที่จัดการได้ แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่ได้อ่อนตัวลงมาอย่างที่คาดหวัง อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งประเด็นราคาน้ำมันที่ยังผันผวนในระดับสูง ก็คาดว่าอาจส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯเร่งสูงขึ้นในระยะข้างหน้า ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงเห็นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปในภาวะที่เศรษฐกิจยังรับได้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่มีความเหมาะสมและเป็นผลดีต่อระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงด้วย

โดยทิศทางการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา มีดังนี้:-
– อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index): ในเดือนมิถุนายน 2548 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 2.5% (y-o-y) ปรับลดลงหลังจากที่ขยับขึ้นไปสูงถึง 3.5% ในเดือนเมษายน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.0% (y-o-y) ลดลงจาก 2.2% ในเดือนพฤษภาคม
– อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index): ในเดือนมิถุนายน 2548 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสำหรับสินค้าขั้นสุดท้าย (finished goods) อยู่ที่ประมาณ 3.6% (y-o-y) ลดลงจากที่ขึ้นไปสูงถึง 4.9% ในเดือนมีนาคม ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.2% (y-o-y) ลดลงจาก 2.6% ในเดือนพฤษภาคม
– อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาการใช้จ่ายผู้บริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditure Price Index): ในเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 2.2% (y-o-y) ลดลงจาก 2.5% และ 2.9% ในเดือนพฤษภาคมและเมษายน ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวแปรที่เฟดมักจะใช้ประกอบการพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ย อยู่ที่ระดับ 1.9% (y-o-y) ลดลงจาก 2.0% ในเดือนพฤษภาคม แต่ก็ยังอยู่ใกล้ขอบบนของช่วง 1.5-2.0% ที่เฟดไม่จำเป็นต้องกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อมากนัก
– ค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงทำงาน (Average Hourly Earnings): ในเดือนกรกฎาคม ค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงทำงาน เพิ่มขึ้น 0.4% (m-o-m) จาก 0.2% ในเดือนก่อน และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่มากสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่า แรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุนแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา

อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ล่วงหน้า ปรับตัวรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ของเฟดไปแล้วล่วงหน้า

ภายหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในเชิงบวกอย่างต่อเนื่องในรอบกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดได้มีการปรับตัวตอบรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ของเฟดในการประชุมวันที่ 9 สิงหาคมนี้ไปแล้วด้วยระดับความเป็นไปได้ 100% โดยที่ตลาดยังได้คาดการณ์เพิ่มเติมว่าเฟดอาจจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.00% ณ ปลายปี 2548 นี้เป็นอย่างน้อยด้วย อย่างไรก็ตาม คงจะต้องติดตามการปรับตัวของตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯในระยะข้างหน้า ทั้งการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ รวมไปถึงแถลงการณ์หลังการประชุมที่จะสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจของเฟด ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดแนวโน้มการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะต่อไป

ผลกระทบต่อภาคการเงินไทย
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางการไทย ในกรณีที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 9 สิงหาคมนี้ตามที่คาด จะส่งผลให้ค่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและไทย เพิ่มขึ้นจาก 0.75% มาเป็น 1.00% ซึ่งแม้ว่าค่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวอาจจะยังไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิของไทย ท่ามกลางทุนสำรองทางการระหว่างประเทศที่ยังคงมีระดับค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่แนวโน้มขาขึ้นสู่ระดับ 4.00% เป็นอย่างน้อยของอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในระยะข้างหน้า ก็คงจะเป็นปัจจัยที่ทางการให้น้ำหนักสำหรับการพิจารณาทิศทางการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย กระนั้นก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การตัดสินใจทิศทางการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะให้น้ำหนักสำคัญอยู่ที่ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะประเด็นเสถียรภาพของระดับราคาและอัตราเงินเฟ้อเป็นหลักมากกว่า โดยคาดว่า ธปท.คงจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 7 กันยายนนี้ เพื่อสกัดกั้นแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งสูงขึ้น โดยเฉพาะจากการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI Inflation) ของไทยอาจมีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่า 5.0% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 3.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี

ค่าเงินบาท แม้ว่าตลาดอาจจะตอบสนองต่อประเด็นการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดไปแล้วล่วงหน้า แต่ในระยะสั้น เงินดอลลาร์ฯก็อาจจะยังได้รับผลบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ค่อนข้างสดใสเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจหลักอื่นๆ รวมทั้งจากการที่เงินเยนคงจะถูกกดดันจากประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองของญี่ปุ่น หลังจากที่พรรคเสรีประชาธิปไตยของรัฐบาลพ่ายแพ้ในการเสนอร่างกฎหมายการปฏิรูปกิจการไปรษณีย์เข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ส่งผลตามมาให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศยุบสภาในวันที่ 8 สิงหาคม และกำหนดที่จะจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 11 กันยายนนี้ ดังนั้น จากเงินดอลลาร์ฯที่ยังมีแรงหนุนดังกล่าว ประกอบกับ ปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศจากประเด็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย อาจมีผลผลักดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในประเด็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณรัฐบาลจำนวนมากของสหรัฐฯ และโดยเฉพาะประเด็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนของทางการจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้น ก็คาดว่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันเงินดอลลาร์ฯและสนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินในภูมิภาค รวมทั้งค่าเงินบาทของไทย ในระยะยาวต่อไป

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะถูกคาดการณ์ล่วงหน้าไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงถือได้ว่าเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเงินเยนเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ซึ่งแรงหนุนค่าเงินดอลลาร์ฯดังกล่าว อาจทำให้เงินบาทอ่อนตัวลงในขณะหนึ่ง สำหรับการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธปท.นั้น คาดว่าธปท.คงจะเทน้ำหนักไปที่ประเด็นเสถียรภาพในประเทศโดยเฉพาะเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ มากกว่าค่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและไทย แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธปท.ในครั้งถัดไปในการประชุมวันที่ 7 กันยายน 2548 หากเกิดขึ้นจริงตามคาด ก็จะทำให้ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯและไทยที่กว้างขึ้นชั่วขณะจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 9 สิงหาคมนี้ กลับมาสู่ระดับเดิมได้อีกครั้ง