ประเทศนอร์เวย์มีการตรวจพบเชื้ออีโคไลและเชื้อซัลโมเนลลาปนเปื้อนจากผักที่วางจำหน่ายในตลาดมากถึง 12 ครั้งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันไอซ์แลนด์ตรวจพบเชื้ออีโคไล เชื้อซัลโมเนลลา และเชื้อเอนเทอร์แบคทีเรียในสินค้าผักสดและผักกินใบที่นำเข้าจากไทย 10 รายการ ส่วนทางการฟินแลนด์ตรวจพบเชื้อซัลโมเนลลาในผักสด 2 รายการ ทำให้ประเทศต่างๆปฏิเสธการนำเข้าสินค้าผักสดจากไทยและส่งสินค้ากลับไทย หลังจากนั้นนอร์เวย์สั่งห้ามนำเข้าสินค้าผักสดกินใบจากไทยเป็นการชั่วคราว 8 ชนิด ได้แก่ สะระแหน่ ตะไคร้ ผักชีฝรั่ง ผักชีไทย โหระพา ผักแขยง ผักแพ้ว และชะอม และทางสหภาพยุโรปทำหนังสือขอให้ทางรัฐบาลไทยชี้แจงแผนปฏิบัติการทางด้านความปลอดภัยด้านอาหารในผักสดที่จะส่งออกไปยังสหภาพยุโรป โดยชี้แจงมาตรฐานตั้งแต่แปลงเกษตรกร ระบบการทำความสะอาด ระบบการบรรจุหีบห่อ จนถึงระบบการขนส่งไปยังประเทศปลายทาง
เชื้ออีโคไลและเชื้อซัลโมเนลลาเป็นจุลินทรีย์ที่สามารถตรวจพบได้ทั่วไป อาจเกิดจากเกษตรกรใช้น้ำที่มีการปนเปื้อนของมูลสัตว์ที่ไม่สลายตัว ทำให้เกิดการปนเปื้อนในพืชผัก โดยเฉพาะพืชผักที่มีรอยหยักทำความสะอาดยาก ซึ่งการตรวจสอบผักสดที่ส่งออกนั้นตรวจเฉพาะโรคพืช โรคแมลง และสารพิษตกค้างเพื่อออกใบรับรองให้กับผู้ส่งออกตามเงื่อนไขของประเทศผู้นำเข้า โดยยังไม่ได้มีการตรวจเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อน เนื่องจากที่ผ่านมาทางประเทศผู้นำเข้าไม่ได้มีการประกาศมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบเพื่อออกใบรับรองในเรื่องการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ โดยการตรวจสอบสินค้าเกษตรและอาหารก่อนส่งออกนั้น กรมวิชาการเกษตรปฏิบัติตามประกาศของกรมการค้าต่างประเทศที่ร่างขึ้นตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าพ.ศ.2522 โดยให้ความสำคัญเพียง 3 เรื่องคือ โรคพืช โรคแมลง และสารพิษตกค้าง อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดปัญหาการปฏิเสธสินค้าโดยอ้างการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ทางกรมวิชาการเกษตรจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้เพิ่มอำนาจตามพ.ร.บ.ของกระทรวงพาณิชย์ให้กรมวิชาการเกษตรสามารถออกประกาศได้เองเพื่อเข้าตรวจสอบโดยไม่ต้องรอประกาศของกรมการค้าต่างประเทศ คาดว่าหลังจากได้รับอนุมัติแล้วก็จะต้องมีการเพิ่มการตรวจเชื้อจุลินทรีย์รวมทั้งสารปนเปื้อนอื่นๆอย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มว่าประเทศผู้นำเข้าเริ่มหันมาเข้มงวดในด้านสุขอนามัยมากขึ้น ซึ่งการตรวจสอบสินค้าเกษตรและอาหารที่ส่งออกให้ครอบคลุมมากขึ้นจะเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นอร์เวย์ห้ามนำเข้าผักกินใบ…ผลกระทบต่อการส่งออกผัก
ในปัจจุบันแม้ว่ามูลค่าการส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งของไทยจะไม่มากนัก แต่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมีบริษัทเอกชนลงทุนร่วมกับต่างประเทศส่งเสริมการปลูกพืชผักเพื่อการส่งออก โดยมีการควบคุมอย่างเข้มงวดตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกไปจนถึงการขนส่งไปยังประเทศปลายทาง และมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเพื่อควบคุมคุณภาพของพืชผักที่ผลิตอีกด้วย รวมทั้งยังมีจุดเด่นในการแบ่งบรรจุเป็นขนาดสำหรับวางจำหน่ายปลีกในซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยมีการทำข้อตกลงทางการค้าร่วมกับซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในแต่ละประเทศ นอกจากนี้การที่อาหารไทยเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในต่างประเทศ ทำให้ผักสวนครัวของไทยซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารไทยเริ่มมีความต้องการมากขึ้นด้วยเช่นกัน คาดว่าในปี 2548 มูลค่าการส่งออกผักสดแช่เย็นแช่แข็งของไทยจะมีมูลค่าประมาณ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 8,400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับในปี 2547 แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 โดยแยกเป็นการส่งออกผักสดแช่เย็นร้อยละ 64.5 ผักแช่แข็งร้อยละ 26.4 ผักแห้งร้อยละ 2.7 และอื่นๆร้อยละ 6.4 ซึ่งในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมาการขยายตัวของการส่งออกผักสดแช่เย็นของไทยนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย โอกาสของไทยในการขยายการส่งออกสินค้าผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งของไทยยังเปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นผักที่เป็นที่นิยมบริโภคในต่างประเทศ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง พริก ข้าวโพดหวาน เป็นต้น หรือพืชผักสวนครัวและผักพื้นบ้าน ซึ่งเป็นผักที่เสริมเอกลักษณ์โดดเด่นของอาหารไทย อีกทั้งยังมีข้อมูลยืนยันถึงคุณค่าทางโภชนาการของผักเหล่านี้ ทำให้ความนิยมบริโภคเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
การที่นอร์เวย์ประกาศห้ามนำเข้าผักสดกินใบ 8 ชนิดเป็นการชั่วคราวนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งของไทย เนื่องจากคาดว่าในปี 2548 การส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งไปยังนอร์เวย์มีมูลค่า 0.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกเพียงร้อยละ 0.4 ของมูลค่าการส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งทั้งหมด ซึ่งนับว่าน้อยมาก และถ้าจะพิจารณาเฉพาะผักสดแช่เย็น 8 ชนิดที่นอร์เวย์ห้ามนำเข้านั้นมูลค่าการส่งออกก็น้อยลงไปอีก เนื่องจากผักดังกล่าวไม่ใช่ผักสดแช่เย็นที่สร้างมูลค่าการส่งออกที่โดดเด่น เช่นเดียวกับหน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดหวาน หรือกระเจี๊ยบเขียว อย่างไรก็ตามผักสดแช่เย็นที่นอร์เวย์ห้ามนำเข้าในครั้งนี้เป็นประเภทผักสวนครัวที่กำลังมีการขยายการส่งออกอย่างโดดเด่นหรืออาจกล่าวได้ว่าผักกลุ่มนี้จะเป็นผักส่งออกดาวรุ่งในอนาคต โดยเติบโตตามการขยายตัวของความนิยมของอาหารไทย ดังนั้นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการเพื่อจะได้ไม่ทำให้กรณีห้ามนำเข้าของนอร์เวย์นั้นเป็นการสกัดผักสวนครัวที่จะกำลังกลายเป็นผักส่งออกดาวรุ่ง
สิ่งที่น่ากังวลคือ ภาพลักษณ์ของนโยบายความปลอดภัยด้านอาหารของไทย ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศต่างๆที่นำเข้าหันมาเข้มงวดกับสินค้าไทยมากขึ้น เนื่องจากตลาดส่งออกหลักผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งของไทยคือ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ดังนั้นสิ่งที่ผู้ส่งออกต้องพึงระวังคือ ต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนการส่งออก เนื่องจากถ้ามีการตรวจพบอีกก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งของไทยทั้งระบบ ซึ่งอาจจะทำให้ประเทศผู้นำเข้าหันมาเข้มงวดกับการตรวจสอบผักนำเข้าของไทยมากยิ่งขึ้น และอาจจะหยิบยกมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการนำเข้าในอนาคต
นอกจากนี้การห้ามนำเข้าผักทั้ง 8 ชนิดของนอร์เวย์นั้นเป็นการห้ามนำเข้าทั้งหมดจากประเทศไทยไม่ใช่แต่เฉพาะบริษัทเอกชนที่ถูกตรวจพบสารจุลินทรีย์ปนเปื้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อร้านอาหารไทยที่เปิดให้บริการอยู่ในนอร์เวย์ และอาจจะส่งผลกระทบถึงร้านอาหารไทยในสหภาพยุโรปด้วย เนื่องจากร้านอาหารไทยเหล่านี้จะขาดแคลนวัตถุดิบในการปรุงอาหาร โดยผักกินใบที่ห้ามนำเข้าเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผักสวนครัวที่มีความจำเป็นในการปรุงรสอาหารไทย
แนวทางแก้ปัญหา…ต้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง
ในเบื้องต้นทางกรมวิชาการเกษตรเร่งดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ทั้ง 3 ชนิด โดยได้เข้าตรวจสอบระบบการผลิต โรงคัดบรรจุของบริษัทผู้ส่งออก ตรวจสอบขั้นตอนการผลิต พร้อมสุ่มเก็บตัวอย่างผักสด น้ำที่ใช้ในการผลิต และเก็บตัวอย่างเชื้อที่มือและถุงมือของพนักงาน เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งก็พบว่ามีการปนเปื้อนของเชื้ออีโคไล แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์ใด หลังจากนั้นจะมีการประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขให้วิเคราะห์ตรวจหาสายพันธุ์ คาดว่าภายใน 2 เดือนนี้ทางกรมวิชาการเกษตรจะกำหนดมาตรการตรวจเข้มเป็นพิเศษสำหรับสินค้าผักสดที่จะส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรปและประเทศต่างๆที่มีปัญหาตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์ตกค้าง โดยเฉพาะการตรวจสอบคุณภาพสินค้าในโรงคัดบรรจุของผู้ส่งออกทุกราย คาดว่ามาตรการนี้จะทำให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงหรือที่มาของเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในผักสด ทั้งนี้เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป หลังจากนั้นกรมวิชาการเกษตรเตรียมจัดทำแผนปฏิบัติด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบการส่งออกผักในระดับแปลงเพาะปลูกและระบบการตรวจสอบย้อนกลับเสนอให้สหภาพยุโรปและนอร์เวย์ รวมทั้งประเทศผู้นำเข้าต่างๆรับทราบ
นอกจากนี้กรมวิชาการเกษตรยังได้ขอให้ผู้ส่งออกผัก 30 บริษัทที่ส่งออกไปสหภาพยุโรป และนอร์เวย์ให้เก็บตัวอย่างผัก เพื่อทำการตรวจสอบก่อนส่งออกประมาณ 1 สัปดาห์ คาดว่าวิธีการดังกล่าวจะได้รับความเชื่อมั่นจากประเทศผู้นำเข้า รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบกับการส่งออกผักไปสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันปัญหาการส่งออกในตลาดผักของไทย ผู้ส่งออกควรซื้อผักในแปลงที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานการทำการเกษตรที่ดีและเหมาะสมหรือจีเอพีเท่านั้น ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ทำการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกจะซื้อผักตามแผงขายทั่วไป ทำให้มีโอกาสในการที่จะตรวจพบสารปนเปื้อนและเชื้อจุลินทรีย์ตกค้างได้ หากผู้ส่งออกยังยืนยันที่จะซื้อผักเหล่านี้ก็ควรส่งตัวอย่างให้กรมวิชาการเกษตรตรวจสอบก่อน หากพบว่ามีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ก็จำเป็นต้องระงับการส่งออกทันที ทั้งนี้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของผักที่ส่งออกของไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้นำเข้า
บทสรุป
กรณีที่นอร์เวย์ระงับการนำเข้าผักสด 8 ชนิดของไทย นับว่าเป็นอีกกรณีหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารมีมาตรการด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดอย่างมาก แม้ว่าเดิมนั้นจะมีการตรวจสอบเพียงโรคพืช โรคแมลง และสารพิษตกค้างเท่านั้น แต่ประเทศผู้นำเข้ากลับอ้างถึงการตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธรับสินค้าและส่งสินค้ากลับ ดังนั้นอาจจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับประเทศผู้นำเข้าอื่นๆยกมาเป็นข้ออ้างในการตรวจสอบเพิ่มเติมในอนาคต
แม้ว่านอร์เวย์จะมีสัดส่วนในการนำเข้าผักสดของไทยน้อยมาก แต่การประกาศห้ามนำเข้าของนอร์เวย์นั้นจะทำให้สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าผักรายใหญ่ของไทยหันมาเข้มงวดในการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการที่กรมวิชาการเกษตรมีมาตรการที่จะตรวจสอบถึงสาเหตุและเร่งเข้ามาแก้ไขปัญหา รวมทั้งการจัดทำรายงานเพื่อให้กรมการค้าต่างประเทศไปชี้แจงกับประเทศผู้นำเข้าน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้นำเข้าได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องคือ การตรวจสอบสินค้าที่จะส่งออกอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกของไทยในอนาคต
ตารางที่ 1
มูลค่าการส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้งของไทย
: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเทศ 2545 2546 2547 มค.-มิย. 2548
ญี่ปุ่น 56.4 63.8 87.9 51.8
สหภาพยุโรป 29.4 31.8 37.8 24.9
มาเลเซีย 4.4 6.7 14.0 7.5
ไต้หวัน 6.8 7.8 10.7 5.8
สหรัฐฯ 5.5 4.7 5.7 3.4
ออสเตรเลีย 2.1 2.3 2.7 1.9
อื่นๆ 10.9 12.9 16.9 10.3
รวม 115.5
(11.5) 130.0
(12.6) 175.7
(35.2) 105.6
(13.6)
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บหมายถึงร้อยละของการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ตารางที่ 2
มูลค่าการส่งออกผักสดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้งแยกรายประเภท
: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเภท 2545 2546 2547 มค.-มิย. 2548
ผักสดแช่เย็น 65.1
(16.7) 70.5
(8.3) 103.5
(46.8) 68.1
(23.4)
ผักแช่แข็ง 40.9
(-1.0) 45.3
(10.8) 56.3
(24.3) 27.9
(-8.5)
ผักแห้ง 3.8
(90.0) 4.7
(23.7) 3.3
(-29.8) 2.8
(64.7)
ผักอื่นๆ 5.7
(26.7) 9.6
(68.4) 12.7
(32.3) 6.8
(21.4)
รวม 115.5
(11.5) 130.0
(12.6) 175.7
(35.2) 105.6
(13.6)
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บหมายถึงร้อยละของการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา


