FTA ไทย-ญี่ปุ่น : เตรียมความพร้อมของไทยต่อการแข่งขันในภูมิภาค

หลังจากเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี FTA ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นผ่านมา 9 รอบ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 ไทยและญี่ปุ่นได้ข้อสรุปการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการและการลงทุนภายใต้ FTA ในกรอบกว้างแล้ว รวมทั้งเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origins : ROOs) ที่ญี่ปุ่นยอมรับในหลักการให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นโดยปราศจากอุปสรรคเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเจรจารายละเอียดเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นรายสินค้าต่อไป

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่า การเจรจาเรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิด สินค้านี้จะเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ว่า สินค้าส่งออกของไทย ได้แก่ สินค้าประมง ผักและผลไม้กระป๋อง สิ่งทอ แป้งมันสำปะหลังแปรรูป ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธัญพืช อาหารสุนัขและแมว จะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีภายใต้ FTA ไทย-ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่หรือไม่

ข้อสรุปการเปิดเสรีจากการเจรจา FTA ไทย-ญี่ปุ่นมีประเด็นที่น่าสนใจ ด้านการค้าสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม การลงทุน และการค้าภาคบริการของไทย ดังนี้

สินค้าเกษตรกรรม

แม้ไทยขาดดุลการค้าโดยรวมกับญี่ปุ่น โดยช่วงครึ่งปีแรก 2548 ยอดขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น 224,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.87% จากช่วงเดียวกันของปี 2547 ที่ขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น 178,403 ล้านบาท เนื่องจากไทยนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบและ กึ่งสำเร็จรูปจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไทยเกินดุลการค้าสินค้าเกษตรกับญี่ปุ่น จากสถิติของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ไทยเกินดุลการค้าสินค้าเกษตรกับญี่ปุ่นปีละกว่า 100,000 ล้านบาท และในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2548 ไทยเกินดุลการค้าสินค้าเกษตรกับญี่ปุ่น 42,228.5 ล้านบาท

เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้สัดส่วนการค้าสินค้าเกษตรของไทยกับญี่ปุ่นต่อการค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นโดยรวมยังไม่มากนัก คิดเป็นสัดส่วน 11.38% (สัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปญี่ปุ่น 25.5% ของการส่งออกไทยไปญี่ปุ่นทั้งหมด ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วน 3.4% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากญี่ปุ่น) แต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 16.96% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย มีมูลค่าส่งออก 37,312.3 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2548 เพิ่มขึ้น 6.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2547 ที่มีมูลค่า ส่งออกไปญี่ปุ่น 35,106 ล้านบาท และไทยนำเข้าสินค้าเกษตรจากญี่ปุ่น 8.25% ของการนำเข้าสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย

สินค้าเกษตรส่งออกของไทยยังมีโอกาสขยายตัวในตลาดญี่ปุ่นจากการลดภาษีของญี่ปุ่นภายใต้ FTA เพราะปัจจุบันการผลิตสินค้าเกษตรในญี่ปุ่นไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ จนทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่นำเข้าสุทธิสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ที่สุดของโลก และมูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าการผลิตภาคการเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนค่อนข้างน้อยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 1.3% ของ GDP และคิดเป็นสัดส่วนการจ้างงานราว 6% ของการจ้างงานทั้งหมดของประเทศ เทียบกับภาคอุตสาหกรรมและบริการ คิดเป็นสัดส่วนราว 20% และ 70% ของ GDP ตามลำดับ และสัดส่วนการจ้างงานราว 18% และ 70% ตามลำดับ แต่ทางการญี่ปุ่นยังคงปกป้องภาคการเกษตร โดยให้การอุดหนุนภาคการเกษตรในประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวและน้ำตาล ญี่ปุ่นยังคงไม่ยอมเปิดเสรีการค้าข้าวและน้ำตาล ภายใต้การจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ทวิภาคีกับประเทศใดๆ รวมทั้งไทยด้วย เนื่องจากระบบการรวมตัวของสหกรณ์ภาคการเกษตรมีความเข้มแข็งและเป็นฐานเสียงทางการเมืองที่สำคัญ เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่ยังคงให้การอุดหนุนสินค้าเกษตรในประเทศ จนเป็นเหตุให้ราคาสินค้าเกษตรของโลกตกต่ำ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเจรจาเปิดเสรีการค้าพหุภาคีของ WTO ไม่เกิดผลคืบหน้าเท่าที่ควร

การที่ญี่ปุ่นยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้ไทยภายใต้ FTA ไทย-ญี่ปุ่น โดยลดภาษีสินค้ากุ้งสด กุ้งต้มแช่เย็น กุ้งแปรรูป ผักและผลไม้แปรรูป ผักและผลไม้กระป๋อง และผลไม้สดเมืองร้อน รวมทั้งให้โควตาสินค้าส่งออกไทย ได้แก่ กล้วย กากน้ำตาล สับปะรดสด แป้งมัน-สำปะหลังแปรรูป จะเป็นโอกาสของสินค้าส่งออกเหล่านี้ของไทยในการเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ไทยจะต้องเจรจารายละเอียดเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origins : ROOs) ของสินค้ารายตัว เพื่อให้ญี่ปุ่นยอมรับสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นโดยไม่มีอุปสรรคจากกฎ ROOs ที่เข้มงวดเกินไป จนอาจกีดกันไม่ให้สินค้าไทยได้รับสิทธิภายใต้ FTA เต็มที่ เช่น ข้อกำหนดสินค้าประมงที่ต้องใช้ลูกเรือชาวไทยในการจับปลา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันไทยจ้างลูกเรือแรงงานต่างด้าว ทำให้สินค้าไทยประสบปัญหาการเข้าสู่ตลาดภายใต้ FTA จากข้อกำหนดดังกล่าว เป็นต้น

สินค้าอุตสาหกรรม

– เหล็ก/ยานยนต์ –

การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่รัฐบาลไทยต้องการใช้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค การที่ไทยเจรจากับญี่ปุ่นภายใต้ FTA ไทย-ญี่ปุ่น โดยไทยยอมลดภาษีเหล็กเป็น 0% ทันทีเฉพาะสินค้าเหล็กรีดร้อนที่ไทยผลิตไม่ได้ ส่วนสินค้าเหล็กที่ไทยผลิตได้น้อยซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ให้มีโควตาปลอดภาษีส่วนสินค้าเหล็กอื่นๆ ที่อ่อนไหว รวมทั้งสินค้ายานยนต์ และรถยนต์ที่ไทยยังไม่พร้อมสำหรับการแข่งขัน ก็ค่อยๆ ทยอยลดภาษีเป็นขั้นบันได (ยกเว้นรถยนต์ที่ขนาดต่ำกว่า 3,000 ซีซี จะเจรจาเปิดเสรีกับญี่ปุ่นในอีก 5 ปี ข้างหน้า) ถือเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการแข่งขันจากการเปิดเสรีอย่างเต็มที่ในอนาคต

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่า การเปิดเสรีอุตสาหกรรมเหล็กและยานยนต์ภายใต้ FTA ไทย-ญี่ปุ่นจะส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรมเหล็ก/ยานยนต์ที่จะค่อยๆ ปรับตัวต่อการแข่งขัน และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น สอดรับกับพันธกรณีของเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ที่ไทยและ อาเซียนต้องลดภาษีสินค้าระหว่างกัน ซึ่งขณะนี้สินค้ากว่า 90% ของสินค้าของอาเซียน ทั้งหมดมีอัตราภาษีอยู่ในระดับเฉลี่ย 0-5% และจะลดภาษีเป็น 0% ภายในปี 2553 ทำให้ต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศอาเซียนอื่นและส่งออกมาไทยโดยไม่เสียภาษี การจัดทำ FTA กับญี่ปุ่นจึงเป็นการเตรียมความพร้อมของไทยต่อการแข่งขันภายในภูมิภาค ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์/รถยนต์ของไทยต้องเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ โดยพัฒนาคุณภาพสินค้า และผลิตโดย ต้นทุนต่ำลง

– รองเท้า/อัญมณี/สิ่งทอ –

ญี่ปุ่นยอมยกเลิกโควตาและลดภาษีรองเท้าเป็น 0% ใน 7-10 ปี ส่วนอัญมณี (ยกเว้นไข่มุกเทียมจะยกเลิกภาษีให้ไทยใน 7 ปี) และสิ่งทอ จะลดภาษีเป็น 0% ทันที ทำให้สินค้ารองเท้า อัญมณี และสิ่งทอของไทยมีโอกาสขยายตัวในญี่ปุ่นมากขึ้น แต่ไทยควรเจรจากฎ ROOs ให้สินค้าเหล่านี้ของไทยเข้าไปญี่ปุ่น โดยได้รับสิทธิภาษีภายใต้ FTA ไทย-ญี่ปุ่น ได้ โดยไม่ติดเงื่อนไข ROOs ที่เข้มงวด เช่น ข้อกำหนดที่ระบุว่าสินค้า สิ่งทอไทยต้องใช้วัตถุดิบในประเทศ 100% ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะในความเป็นจริง ไทยนำเข้าผ้าผืนและเส้นใยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อผลิตสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่มที่สำคัญของไทย แต่ญี่ปุ่นเห็นว่า FTA ไทย-ญี่ปุ่น ควรเป็นการส่งเสริมการขยายตัวทางการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเท่านั้น โดยไม่มีประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นสินค้าที่จะเข้าหลักเกณฑ์เป็นสินค้าไทยจึงควรใช้วัตถุดิบของไทยทั้งหมดในกระบวนการผลิต

การลงทุน

ไทยเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนโดยตรงในไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งมากกว่ามูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศอาเซียนอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปิปินส์ จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ญี่ปุ่นมีเงินลงทุนสุทธิในประเทศไทย 27,577 ล้านบาทในปี 2547 ลดลง 18% เทียบกับปี 2546 ที่ญี่ปุ่นมีเงินลงทุนสุทธิในไทย 33,644 ล้านบาท
โครงการของญี่ปุ่นที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2548 มีจำนวน 182 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 113,835 ล้านบาท พุ่งขึ้นถึง 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 ที่มีมูลค่า 60,536 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 65% ของโครงการลงทุนของต่างประเทศทั้งหมด โดยญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในโครงการประเภทเหล็กและเครื่องจักรมากที่สุด มูลค่า 92,573 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 31% ของโครงการลงทุนทั้งหมดของญี่ปุ่น รองลงมาได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,251 ล้านบาท (สัดส่วน 9%) และเคมีภัณฑ์และกระดาษ มูลค่า 4,467 ล้านบาท (สัดส่วน 4%)

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่า การจัดทำ FTA กับญี่ปุ่น น่าจะเป็นปัจจัยบวกให้การลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาไทยมากขึ้น แข่งขันกับจีนซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทยในการดึงดูดเงินลงทุนจากญี่ปุ่น เพราะปัจจุบันมูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่นในจีนมากกว่าที่เข้ามาลงทุนไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมเป้าหมายที่ไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค และก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันโครงการลงทุนของญี่ปุ่นก่อให้เกิดการจ้างแรงงานไทย 27,420 คน แต่ไทยควรเร่งพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการด้วย

นอกจากนี้ ไทยควรส่งเสริมให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนผลิตสินค้าอย่างครบวงจรจนเป็นสินค้าสำเร็จรูปในไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าแก่สินค้าไทยก่อนส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ โดยจะเป็นผลดีต่อไทยเนื่องจากเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น อีกทั้งช่วยบรรเทาการขาดดุลการค้าของไทยกับญี่ปุ่น เนื่องจาก ลดการนำเข้าสินค้าเหล็กขั้นต้น/ชิ้นส่วนยานยนต์บางรายการจากญี่ปุ่น

การที่ไทยจัดทำ FTA กับญี่ปุ่นน่าจะช่วยเสริมศักยภาพแหล่งลงทุนไทยในสายตานักลงทุนญี่ปุ่น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนอื่นๆ เพราะผลจากการลดภาษีภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน AFTA ทำให้ญี่ปุ่นสามารถเลือกลงทุนในประเทศใดในอาเซียนก็ได้ และส่งออกไปยังประเทศอาเซียนอื่นๆ โดยไม่ต้องเสียภาษีจากสิทธิทางภาษีภายใต้ AFTA ดังนั้น หากไทยไม่จัดทำ FTA ทวิภาคีกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นอาจเข้าไปลงทุนผลิต สินค้าในประเทศอาเซียนอื่น และส่งออกมาไทยโดยไม่ต้องเสียภาษีภายใต้ AFTA เพราะถือเป็นสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดสินค้าของอาเซียน

เป้าหมายของรัฐบาลไทยต้องการให้มีการผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนภายในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า ซึ่งปัจจุบันไทยนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและชิ้นส่วน คิดเป็นสัดส่วน 43.27% ของการนำเข้าของไทยทั้งหมดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2548 นับว่าเป็นหมวดสินค้าที่ไทยนำเข้ามากที่สุด (รองลงมาได้แก่ สินค้าทุน 27.78% สินค้าเชื้อเพลิง 17.90% และสินค้าอุปโภคบริโภค 6.37%) โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ที่ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบถึง 60% ของวัตถุดิบที่ใช้ผลิตทั้งหมด

การดึงดูดให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติที่จำหน่ายสินค้าให้ไทยย้ายฐานการผลิตชิ้นส่วนมาไทย ขณะเดียวกันสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยลงทุนผลิตเอง เช่น โรงงานถลุงเหล็กของผู้ประกอบการไทยที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำเพื่อผลิตเหล็กป้อนเกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการทั้งสองทางดังกล่าวจะช่วยลดการนำเข้าของไทย และบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้าในระยะยาวได้

ปัจจุบันไทยเป็นประเทศหนึ่งที่บริษัทต่างชาติเลือกเข้ามาลงทุนผลิตสินค้าด้านยานยนต์ โดยล่าสุดมีบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ยานยนต์จากสหรัฐฯ ให้กับค่ายรถในสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นฐานการผลิต โดยสนใจเข้ามาลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตในไทย เพื่อต้องการได้รับสิทธิประโยชน์จากภาษี ภายใต้ AFTA เนื่องจากความพร้อมของไทยในหลายๆ ด้าน เช่น มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศ มีวัตถุดิบสำหรับใช้ผลิตสินค้า ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ได้หลักเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) ในสัดส่วน 40% ตามเงื่อนไขของ AFTA เพื่อส่งออกไปในประเทศอาเซียนอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า

การค้าบริการ

นอกจากเรื่องการเปิดเสรีการค้าสินค้าและการลงทุนแล้ว เขตการค้าเสรี FTA ไทย-ญี่ปุ่น ยังครอบคลุมการเปิดเสรีด้านการค้าบริการในหลายสาขา เช่น ด้านท่องเที่ยว และบริการที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม แต่ยังไม่รวมเรื่องการเปิดเสรีบริการทางการเงิน ซึ่งไทยและญี่ปุ่นตกลงที่จะเจรจาเปิดเสรีบริการทางการเงินอีกครั้งในอีก 5 ปี ข้างหน้า

ไทยจะได้ประโยชน์จากการที่ญี่ปุ่นเปิดตลาดให้คนไทยเข้าไปให้บริการในญี่ปุ่น เช่น พ่อครัว แม่ครัว ครูสอนภาษาไทย คนสอนศิลปะวัฒนธรรม (เช่น ครูสอนรำไทย มวยไทย ดนตรีไทย) พนักงานสปา และคนดูแลผู้สูงอายุ ขณะเดียวกัน นอกจากคนไทยได้โอกาสในการเข้าไปให้บริการในญี่ปุ่นแล้ว การดึงดูดให้คนญี่ปุ่นเข้ามารับบริการในไทยเพื่อดึงดูดรายได้เข้าประเทศก็เป็นส่วนสำคัญที่ไทยจะได้รับประโยชน์ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นมีจำนวนผู้สูงอายุมาก และคนญี่ปุ่นมีเงินออมมาก การดึงดูดให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาพำนักพักผ่อนระยะยาวในไทย (long stay) โดยไทยให้บริการด้านสุขภาพ (Health Care / Medical Care) จะทำให้มีเงินตราไหลเข้าประเทศมากขึ้น รวมทั้งเป็นการ ส่งเสริมบริการที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย เช่น นวดแผนไทย และสปาไทย

* FTA ไทย-ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การจัดทำ FTA ที่ญี่ปุ่นได้จัดทำกับหลายประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ FTA กับกลุ่มอาเซียนที่เริ่มต้นเจรจาเมื่อเดือนเมษายน 2548 ซึ่งญี่ปุ่นต้องการให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะญี่ปุ่นประเมินว่า การลดอุปสรรคทางการค้าจากการจัดทำ FTA อาเซียน-ญี่ปุ่น จะทำให้ GDP ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 1.1 ล้านล้านเยน เป็น 2 ล้านล้านเยน และทำให้การจ้างงานในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 150,000 คน เป็น 260,000 คน เป็นการเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและรักษาการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เพราะจีนได้จัดทำ FTA กับอาเซียนไปก่อนแล้ว

ไทยควรเจรจากับญี่ปุ่นเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า (ROOs) ให้สินค้าส่งออกของไทยเข้าไปญี่ปุ่นโดยได้สิทธิพิเศษภาษีภายใต้ FTA อย่างแท้จริง ถือเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นภายใต้ FTA ที่ไทยยอมลดภาษีสินค้าเหล็กและยานยนต์ให้ญี่ปุ่น นอกจากนี้ ไทยควรเตรียมความพร้อมต่อการเปิดเสรีสินค้า อ่อนไหวในอนาคต ได้แก่ เหล็กรีดร้อนนอกโควตา (ไทยต้องเริ่มลดภาษีในปีที่ 11 หลังจาก FTA ไทย-ญี่ปุ่นเริ่มมีผลบังคับใช้) เหล็กอื่นๆ (ภาษีเป็น 0% ในปีที่ 10) ชิ้นส่วนยานยนต์ (ภาษีเป็น 0% ในปี 2554 และบางรายการเป็น 0% ในปี 2556) และรถยนต์ที่ขนาดต่ำกว่า 3,000 ซีซี (เจรจาลดภาษีอีก 5 ปี) พร้อมๆ กับเตรียมรับมือต่อการแข่งขันจากการเปิดเสรีภายใต้ AFTA ซึ่งจะเป็นเขตปลอดภาษีในปี 2553 โดยการพัฒนามาตรฐาน/คุณภาพของสินค้าไทย และพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าเพื่อให้มีต้นทุนต่ำแข่งขันกับสินค้าจากจีน รวมทั้งพัฒนามาตรฐานและทักษะของแรงงานไทย และเสริมสร้างบรรยากาศทางการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้าประเทศ

ขณะเดียวกันภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการพัฒนางานวิจัยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของไทย รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อปกป้องสินค้าจากภูมิปัญญาไทย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือการแข่งขันทางการค้าที่สำคัญในปัจจุบัน จากสถิติของกรมทรัพย์สินทางปัญญาพบว่า จำนวนผู้ประกอบการไทยที่จดทะเบียนทรัพย์สิน-ทางปัญญาทั้งในประเทศและต่างประเทศยังน้อย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งเข้ามาขอรับการคุ้มครองทรัพย์สิน-ทางปัญญาในไทยมากที่สุด (รองลงมาเป็นสหรัฐฯ และยุโรป)