แอล พี เอ็น เพลทมิล เผยพร้อมรับ FTA ญี่ปุ่น ยันไม่ห่วงผลกระทบระยะยาว

บริษัท แอล พี เอ็น เพลทมิล จำกัด (มหาชน) มั่นใจข้อตกลง FTA ระหว่างรัฐบาลไทยและญี่ปุ่นไม่กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัท เชื่อผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวรับมือปัจจัยภายนอก ด้านบริษัทยังคงเจาะกลุ่มลูกค้าเหล็กเกรดพิเศษที่สามารถผลิตได้เพียงรายเดียวในท้องตลาด พร้อมเตรียมแผนการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ

นายพิพัฒน์ ปรีดาวิภาต ประธานกรรมการ บริษัท แอล พี เอ็น เพลทมิล จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังการสัมมนา FTA ที่กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้นโดยมีภาคเอกชนจากอุตสาหกรรมเหล็กและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในเช้าวันนี้ว่า จากข้อตกลง FTA ที่รัฐบาลได้มีการเจรจากับคณะเจรจาของญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม้จะมีผลกระทบในระยะสั้นต่อภาคอุตสาหกรรมเหล็กไม่มากนัก แต่ในระยะยาวธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้น โดยมองว่าการเปิดเสรีทางการค้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในปัจจุบันดังนั้นการปรับตัวเพื่อทำธุรกิจในเชิงรุกจึงจำเป็นสำหรับการเข้าแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน แต่สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือรัฐควรกำหนดแนวทางที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ดังนั้นการที่รัฐจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศขึ้นเป็นนิมิตหมายที่ดีในการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ

“ในส่วนของบริษัทนั้นได้รับผลกระทบจากข้อตกลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทเน้นการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเกรดพิเศษที่มีขนาดความหนาและความกว้างที่ผลิตได้เพียงรายเดียวในประเทศ เชื่อว่าบริษัทฯ จะสามารถตอบสนองความต้องการภายในประเทศและยังมุ่งวางแผนการส่งออกเหล็กรีดร้อนเกรดพิเศษไปจำหน่ายในต่างประเทศทั้งในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน สิงคโปร์ เวียดนาม รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ล่าสุดได้เจรจากับบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trader) เพื่อนำผลิตภัณฑ์เข้าไปตอบสนองปริมาณความต้องการเหล็กแผ่นรีดร้อนเกรดพิเศษ คาดว่าจะทำให้ต้องเพิ่มอัตราการผลิตเฉลี่ยเดือนละ 5,000 ตัน ในปีหน้าเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว ผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้ากับญี่ปุ่นจึงไม่น่าเป็นห่วง” นายพิพัฒน์กล่าว

แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้เตรียมแนวทางเพื่อปรับตัวรับข้อตกลง FTA โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ภายในองค์กรเพื่อพัฒนาศักยภาพในทุกด้านขององค์กรให้สามารถเข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้ รวมทั้งการศึกษาเทคโนโลยีอื่นๆ ในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ยังไม่สามารถผลิตได้ในประเทศเช่นกัน สำหรับกลยุทธ์ในประเทศนั้นบริษัทเน้นการตลาดในเชิง

รุกพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและบริษัท ทั้งการเจาะตลาดลูกค้าที่ใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนโดยตรง เช่น ลูกค้าที่รับงานโครงการของรัฐบาลซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท รวมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สินค้าของลูกค้าด้วยการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนในเกรดที่เหมาะสมกับงาน