กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายเร่งผลักดันการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้ขยายตัวร้อยละ 30 ต่อเดือน ทั้งนี้เพื่อให้เป้าหมายการส่งออกทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมายที่อัตราการขยายตัวร้อยละ 20 เนื่องจากในช่วงระยะ 8 เดือนแรกของปี 2548 การส่งออกของไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 13-14 ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งในส่วนของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรนั้นสินค้าที่เป็นความหวังในการเพิ่มยอดการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 คืออาหารแช่แข็ง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กุ้ง โดยมีปัจจัยเอื้ออยู่หลายประการในการที่จะสามารถขยายการส่งออกได้ ทั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 ต่อเนื่องไปถึงปี 2549
ข่าวดีของวงการอุตสาหกรรมกุ้งคือ การที่สหภาพยุโรปพิจารณาลดภาษีนำเข้ากุ้งให้กับไทยเท่ากับอัตราสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปหรือจีเอสพี โดยให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2548 ที่ผ่านมาจนถึง 31 ธันวาคม 2548 ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยสึนามิ นับว่าเป็นอานิสงส์ทำให้ภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยเท่าเทียมกับประเทศคู่แข่งอื่นๆโดยเฉพาะมาเลเซีย อินเดียและอินโดนีเซีย กล่าวคือ อัตราภาษีนำเข้าใหม่อยู่ที่ร้อยละ 4.2 สำหรับกุ้งแช่แข็ง และร้อยละ 7 สำหรับกุ้งปรุงแต่ง โดยไม่มีการจำกัดโควตาการนำเข้า หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระบบจีเอสพีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม 2549 ซึ่งใช้อัตราภาษีเดียวกันกับการลดภาษีนำเข้าชั่วคราวครั้งนี้ ทั้งนี้เดิมผลิตภัณฑ์กุ้งไทยต้องเสียภาษีนำเข้าสหภาพยุโรปในอัตราสูงสุดเพียงประเทศเดียวที่ร้อยละ 12.0-13.2 สำหรับกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งและร้อยละ 20 สำหรับกุ้งปรุงแต่ง เนื่องจากทางสหภาพยุโรปงดการให้จีเอสพีกับไทย ดังนั้นการลดภาษีนำเข้าในครั้งนี้เท่ากับว่าผลิตภัณฑ์กุ้งจากไทยจะสามารถแข่งขันทางด้านราคาได้อย่างเป็นธรรมขึ้นในตลาดสหภาพยุโรป คาดว่าปริมาณการส่งออกกุ้งไทยไปสหภาพยุโรปจะค่อยๆสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 อันดับการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังสหภาพยุโรปจะเลื่อนขึ้นจากอันดับที่ 44 เป็นอันดับที่ 10 และคาดว่าในปี 2548 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังสหภาพยุโรปประมาณ 20 ล้านยูโร(ประมาณ 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เมื่อเทียบกับในปี 2547 ที่มีมูลค่าการส่งออกเพียง 14 ล้านยูโร(ประมาณ 51.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 เนื่องจากผู้บริโภคในสหภาพยุโรปยอมรับกุ้งไทยอยู่แล้ว แต่ในระยะที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์กุ้งไทยมีราคาค่อนข้างสูง อันเป็นผลมาจากต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง นอกจากนี้ไทยยังมีความได้เปรียบประเทศคู่แข่งในด้านเทคโนโลยีการผลิตลูกกุ้ง อาหารกุ้ง และเทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้งของไทยที่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับความเชี่ยวชาญและแรงงานที่มีฝีมือในการแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้ากุ้ง โดยผู้ประกอบการพยายามพัฒนาสินค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาภาชนะบรรจุภัณฑ์ ให้มีความทันสมัยใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น มีความสะดวกมากขึ้น ประกอบกับปีนี้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นทุกอย่าง จึงต้องหันมาให้ความสำคัญในการจัดการกับต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนพลังงาน และแรงงาน เน้นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มากขึ้น เช่น พัฒนาสินค้าที่บรรจุหีบห่อเพื่อจำหน่ายในร้านค้าปลีกให้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากึ่งสำเร็จรูป และสินค้าพร้อมปรุง เป็นต้น
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้ง
: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเทศ 2545 2546 2547 มค-กค.2548
สหรัฐฯ 916.8 977.2 889.4 462.5
ญี่ปุ่น 429.8 400.7 404.5 211.4
เกาหลีใต้ 34.8 54.5 63.7 33.0
ออสเตรเลีย 42.3 47.7 51.4 29.5
สหภาพยุโรป 35.1 31.2 51.1 25.2
อื่นๆ 720.8 218.5 212.3 119.8
รวม 2,179.6
(-2.1) 1,729.8
(-20.6) 1,672.4
(-3.3) 881.4
(7.9)
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
วงการผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งคาดหมายว่าในปี 2548 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งเท่ากับ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 80,000 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับปี 2547 แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มเป้าหมายการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีที่คาดว่าจะมีการส่งออกได้เพียง 1,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 70,000 ล้านบาท) เนื่องจากปัจจัยหนุนการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 เพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้สหภาพยุโรปกลับขึ้นไปเป็นประเทศผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามของไทยรองจากสหรัฐฯและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามการผลักดันยอดการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งให้เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายใหม่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯตลอดปี 2548 นี้นับว่าเป็นงานที่ท้าทายและค่อนข้างลำบาก เพราะในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2548 นี้ไทยจะต้องส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 223.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับในระยะ 7 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ที่ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งเฉลี่ยเพียงเดือนละ 125.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเท่านั้น ในขณะเดียวกันเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายมูลค่าส่งออก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯดังกล่าว นอกผู้ส่งออกจะต้องเร่งผลักดันการส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรปในช่วงไตรมาสสุดท้ายแล้ว ผู้ส่งออกยังต้องเร่งผลักดันการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆด้วย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งอุปสรรคในการขยายการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯคือ การล็อบบี้ให้รัฐบาลสหรัฐฯทบทวนยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกับผลิตภัณฑ์กุ้งไทยเป็นการชั่วคราว เนื่องจากกรณีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง อันเป็นผลจากความเสียหายของอุตสาหกรรมกุ้งจากคลื่นยักษ์สึนามิ โดยในวันที่ 10-20 กันยายน 2548 นายกรัฐมนตรีของไทยพร้อมคณะจะเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อเจรจาการค้า โดยการเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกับผลิตภัณฑ์กุ้งไทยเป็นการชั่วคราวนั้นก็เป็นหนึ่งในประเด็นการเจรจา นอกจากนี้ในวันที่ 12 กันยายน 2548 กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยจะเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อให้ข้อมูลความเสียหายของอุตสาหกรรมกุ้งในพื้นที่ประสบภัยสึนามิ ทั้งนี้เป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมภายหลังจากเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯเข้ามาเก็บรวบรวมข้อมูลความเสียหายในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2548 แล้ว ซึ่งถ้าสหรัฐฯมีการยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดให้ไทยเป็นการชั่วคราวที่จะประกาศในเดือนตุลาคม 2548 ก็จะส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 เช่นกัน
นอกจากนี้ปัจจัยหนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งในช่วงที่เหลือของปี 2548 นี้ คือ
-ในตลาดสหภาพยุโรปผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของอินโดนีเซียถูกสอบสวน ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของอินโดนีเซียบางรายก็ถูกสอบสวนโดยข้อหาสงสัยว่าจะมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากจีนเพื่อส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ทำให้ไทยมีโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปสหภาพยุโรปเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดสหภาพยุโรป
-การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นช่วงฤดูกาลซื้อจากตลาดต่างๆทั่วโลก และปริมาณสต็อกผลิตภัณฑ์กุ้งในสหรัฐฯลดลงทำให้สหรัฐฯต้องนำเข้ากุ้งเพิ่มขึ้น รวมทั้งแหล่งผลิตกุ้งในสหรัฐฯซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัฐทางตอนใต้ของประเทศบางส่วนได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีน่า ทำให้ปริมาณการผลิตกุ้งในสหรัฐฯมีแนวโน้มลดลง และกรณีที่ศุลกากรสหรัฐฯสั่งสอบผู้ส่งออกกุ้งของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากข้อสงสัยว่ามีการขนถ่ายสินค้ากุ้งจากจีนเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งทำให้การส่งออกกุ้งอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก โดยอินโดนีเซียขยับขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 รองจากไทย ถ้าผลการสอบสวนพบว่าอินโดนีเซียมีความผิดจริงก็มีโอกาสที่สหรัฐฯจะหันมานำเข้ากุ้งจากไทยมากขึ้น
-ญี่ปุ่นหันมานำเข้ากุ้งจากไทยมากขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากอินเดียลดลง เพราะตรวจพบสารแอนตี้ไบโอติกในผลิตภัณฑ์กุ้งที่นำเข้าจากอินเดีย รวมทั้งผลิตภัณฑ์กุ้งที่ส่งออกจากอินเดียมีปัญหาเรื่องกลิ่นโคลน เนื่องจากอินเดียทำการเลี้ยงตลอดทั้งปี และไม่มีการตากบ่อ
สำหรับปี 2549 นั้นคาดว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทยยังคงแจ่มใสต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยในปี 2549 คาดว่าจะเท่ากับประมาณ 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 โดยปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากสหภาพยุโรปประกาศคืนจีเอสพีให้กับผลิตภัณฑ์กุ้งไทย ซึ่งอัตราภาษีจีเอสพีมีอัตราเท่ากับอัตราภาษีนำเข้าที่ประกาศลดให้ชั่วคราว ทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังตลาดสหภาพยุโรปยังมีแนวโน้มแจ่มใสต่อเนื่อง และได้รับอานิสงส์ตั้งแต่ต้นปี คาดว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหภาพยุโรปจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในปี 2540 ซึ่งเป็นปีก่อนที่สหภาพยุโรปประกาศงดการให้จีเอสพีกับสินค้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากไทย โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดสหภาพยุโรปในปี 2549 จะเท่ากับ 190.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งถ้าการพิจารณาทบทวนภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในช่วงเดือนตุลาคม 2548 ซึ่งถ้าสหรัฐฯยกเลิกการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดให้กับผู้ส่งออกกุ้งไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือจากที่ผู้เลี้ยงกุ้งไทยได้รับความเสียหายจากสึนามิ ก็จะนับเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯอีกด้วย สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปยังตลาดญี่ปุ่นมีปัจจัยบวกคือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่นที่จะมีผลบังคับในช่วงเดือนมกราคม 2549 โดยญี่ปุ่นลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากไทยจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 0 ทันที จะทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไปญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้น
ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากการที่การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งมีแนวโน้มแจ่มใสคือ อุตสาหกรรมอาหารกุ้ง ธุรกิจเพาะเลี้ยงลูกกุ้ง ธุรกิจห้องเย็น ธุรกิจเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งต้องใช้งานในฟาร์มเพาะเลี้ยง รวมไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง เนื่องจากคาดว่าราคากุ้งจะเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นจากภาวะการส่งออกที่แจ่มใส ทั้งนี้เนื่องจากผลิตภัณฑ์กุ้งประมาณร้อยละ 70.0 ของผลิตภัณฑ์กุ้งที่ผลิตได้ทั้งหมดนั้นต้องพึ่งพาตลาดส่งออก
อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญในการเร่งเจาะขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้ง คือ ผลิตสินค้าตามคุณภาพมาตรฐาน การผลิตภายใต้ต้นทุนที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของประเทศผู้นำเข้า ควบคุมเข้มงวดในด้านมาตรฐานสุขอนามัยตั้งแต่ระดับฟาร์มเพาะเลี้ยงไปจนถึงการขนส่งเพื่อการส่งออก เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องการตรวจสอบทางด้านสุขอนามัย ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีตกค้าง การตรวจสอบย้อนกลับจนถึงระดับฟาร์ม ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ด้านความปลอดภัยอาหาร เงื่อนไขที่ต้องยืนยันว่าผลิตภัณฑ์กุ้งที่ส่งออกเป็นกุ้งที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงไม่ใช่กุ้งที่จับมาจากธรรมชาติ โดยต้องระบุแหล่งที่มาของบ่อเลี้ยงกุ้งได้อย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งต้องเพิ่มความเข้มงวดในการผลิต และปฏิบัติตามกฎต่างๆที่ประเทศผู้นำเข้าต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไม่ประสบปัญหาและอุปสรรคในการส่งออก


