ผลิตภัณฑ์ไก่เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 2548 โดยปริมาณการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ และการส่งออกก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าการส่งออกยังจำกัดอยู่เฉพาะในรูปของไก่แปรรูป เนื่องจากปัญหาไข้หวัดนก แต่ผู้ส่งออกของไทยปรับระบบการผลิตและการขยายการลงทุนในการผลิตไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้บริโภคในต่างประเทศเริ่มหันมาบริโภคไก่แปรรูปมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข่าวดีที่จะเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังสหภาพยุโรป โดยทางองค์การการค้าโลกตัดสินให้สหภาพยุโรปยกเลิกกำแพงภาษีซึ่งกีดกันการนำเข้าเนื้อไก่หมักเกลือของไทยและบราซิล ทำให้ภาษีนำเข้าไก่หมักเกลือลดลงเหลือร้อยละ 15.4 จากที่เคยถูกเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 58.9 ตั้งแต่กลางปี 2545 รวมทั้งอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่ของญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลงอันเป็นผลมาจากการเปิดเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น
ปริมาณการผลิตไก่เนื้อปี 2548 คาดว่ามีประมาณ 819.49 ล้านตัว เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่มีปริมาณการผลิต 694.36 ล้านตัวแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงและผู้ประกอบการให้ความสำคัญการเลี้ยงที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เช่น วางระบบการจัดการฟาร์ม การเฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิด ผู้บริโภคในประเทศหันมาบริโภคเนื้อไก่ตามปกติ ประเทศผู้นำเข้าเชื่อมั่นในมาตรการป้องกันและควบคุมปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนกที่รัฐบาลได้ดำเนินการ รวมถึงการเข้ามาตรวจสอบและรับรองโรงงานไก่แปรรูปของไทยได้ผ่านความเห็นชอบทุกโรงงาน ส่งผลให้อุตสาหกรรมไก่เนื้อเริ่มฟื้นตัว และมียอดการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมานับเป็นแรงจูงใจให้มีการขยายการเลี้ยงไก่เนื้อเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามปริมาณการผลิตไก่เนื้อยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากปริมาณปู่ย่าและพ่อแม่พันธุ์ไก่เนื้อมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตลูกไก่เนื้อมีเพียง 13 ล้านตัวต่อสัปดาห์เท่านั้น เมื่อเทียบกับปริมาณความต้องการประมาณ 16-17 ล้านตัวต่อสัปดาห์ ส่งผลต่อเนื่องให้มีปริมาณไก่เนื้อไม่เพียงพอกับคำสั่งซื้อของต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าปัญหานี้จะยังคงมีอยู่จนถึงช่วงไตรมาสแรกปี 2549 เนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจไก่เนื้อนำเข้าปู่ย่าและพ่อแม่พันธุ์เพิ่มขึ้น ซึ่งอยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตลูกไก่เนื้อที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
คาดว่าปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ในปี 2548 เท่ากับ 280,000 ตัน มูลค่า 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 34,000 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับปี 2547 ทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.7 และ 51.3 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามการที่จะผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ให้ถึง 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2548 นี้นับว่าเป็นภารกิจที่ท้าทาย เนื่องจากในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคมนี้มูลค่าการส่งออกจะต้องเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 94.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมนั้นยอดการส่งออกเฉลี่ย 54.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนเท่านั้น เนื่องจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยส่วนใหญ่ยังคงจำกัดอยู่เฉพาะไก่แปรรูป อันเป็นผลมาจากการระบาดของไข้หวัดนก แม้ว่าคู่แข่งสำคัญของไทย คือ จีน และสหรัฐฯจะต้องเผชิญปัญหาเดียวกัน แต่บราซิลซึ่งไม่มีปัญหาการระบาดของไข้หวัดนกสามารถดึงส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์ไก่ โดยเฉพาะไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ทำให้บราซิลกลายเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่อันดับหนึ่งของโลก
ปัจจัยหนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อคือ ผู้บริโภคในต่างประเทศหันมายอมรับและบริโภคผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดส่งออกหลักของไทยทั้งญี่ปุ่นและสห- ภาพยุโรป โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปญี่ปุ่นในปี 2548 มีการขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคในญี่ปุ่นเริ่มหันมานิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปมากขึ้น กล่าวคือในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2548 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปญี่ปุ่นเท่ากับ 189.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 57.2 ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังสหภาพยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในยุโรปหันมานิยมบริโภคเนื้อไก่มากขึ้น โดยเฉพาะเนื้อส่วนหน้าอก อันเป็นผลจากกระแสรักษาสุขภาพทำให้เนื้อไก่เป็นทางเลือกก่อนเนื้อวัวและเนื้อสุกร นอกจากนี้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังประเทศสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างมาก กล่าวคือ ประเทศสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปโดยเฉพาะโปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเช็กมีปริมาณการบริโภคเนื้อไก่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2 ต่อคนต่อปี ในขณะที่ปริมาณการบริโภคเนื้อไก่ของประเทศสมาชิกเดิมของสหภาพยุโรปไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
นอกจากนี้คาดว่าในช่วงไตรมาสที่สุดท้ายของปีซึ่งเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง การส่งออกไก่แปรรูปในปี 2548 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงปี 2547 รวมทั้งผู้ส่งออกยังสามารถขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ โดยเฉพาะประเทศต่างๆในแอฟริกาและตะวันออกกลางที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ซึ่งประเทศเหล่านี้ในอนาคตจะเป็นตลาดสินค้าไก่แปรรูปที่สำคัญของไทย นับว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยฟื้นตัวจากที่การส่งออกชะลอตัวลงในปี 2547 นอกจากการขยายตลาดส่งออกไก่แปรรูปได้เพิ่มขึ้นทั้งในตลาดญี่ปุ่นและ สหภาพยุโรปแล้ว ตลาดส่งออกที่น่าจับตามองคือ แคนาดา เนื่องจากมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่
: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเทศ 2545 2546 2547 มค-กค.2548
ญี่ปุ่น 431.3 468.2 274.0 189.3
สหภาพยุโรป 311.4 366.5 246.2 169.7
เกาหลีใต้ 38.6 49.8 16.7 5.6
ฮ่องกง 14.7 17.9 9.6 5.4
สิงคโปร์ 16.0 21.2 8.5 4.8
แคนาดา 1.3 4.1 3.2 2.7
อื่นๆ 27.6 47.4 3.6 0.6
รวม 840.9
(5.0) 975.1
(16.0) 561.8
(-42.4) 378.1
(32.7)
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
คาดว่าปริมาณการผลิตไก่เนื้อในปี 2549 มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20.0 เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้มีการขยายการเลี้ยง รวมทั้งการคาดการณ์การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่เท่ากับ 400,000 ตัน มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.8 และ 17.6
ปัจจัยหนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ในปี 2549 มีดังนี้
-ไทยจะกลับมาส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งได้อีกครั้ง ภายหลังจากการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการเฝ้าระวังไข้หวัดนก การดำเนินมาตรการจัดการเลี้ยงไก่แบบระบบการจัดแบ่งโซนเลี้ยง(Compartmentalisation) ซึ่งเมื่อมีการประกาศให้ไทยเป็นพื้นที่ปลอดไข้หวัดนก และประเทศผู้นำเข้ายอมรับระบบการเลี้ยงในลักษณะการจัดแบ่งโซนเลี้ยงจะทำให้ไทยมีความหวังที่จะกลับมาส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องพึงระวังคือการเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทั้งจากคู่แข่งรายใหม่ได้แก่ ชิลี มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะในตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้และสิงคโปร์ รวมทั้งคู่แข่งรายเดิมอย่างบราซิล ซึ่งประเทศเหล่านี้เข้าไปครองตลาดไก่สดแช่เย็นแช่แข็งแทนไทย
-ผู้ประกอบการรายใหญ่ขยายกำลังการผลิตไก่แปรรูป ผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่สร้างโรงงานไก่แปรรูปครบวงจรเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความสามารถในการส่งออกไก่แปรรูปของไทย รวมทั้งคาดว่ามีการขยายการเลี้ยงไก่เนื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนปู่ย่าและพ่อแม่พันธุ์ไก่เนื้อที่ส่งผลให้ปริมาณการผลิตลูกไก่เนื้อไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ส่งผลต่อเนื่องทำให้มีปริมาณไก่เนื้อไม่เพียงพอกับคำสั่งซื้อของลูกค้าในปี 2548
-การเปิดเขตเสรีการค้าไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งจากข้อตกลงการเปิดเขตเสรีการค้าทำให้ญี่ปุ่นจะทยอยปรับลดภาษีนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากร้อยละ 11.9 เป็นร้อยละ 8.5 และไก่แปรรูปจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 3 ภายในระยะ 5 ปี ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ไก่ไทยในตลาดญี่ปุ่น รวมทั้งผู้บริโภคในญี่ปุ่นนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ไก่จากไทย เนื่องจากมีรูปแบบให้เลือกที่หลากหลาย และมีการส่งออกในลักษณะที่เหมาะสำหรับการจำหน่ายปลีก
-การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังสหภาพยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากความหวังในการที่จะกลับมาส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งได้อีกครั้งหนึ่ง และการขยายตัวของการส่งออกไปยังประเทศที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปแล้ว การที่คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทขององค์การการค้าโลกตัดสินให้ทางสหภาพยุโรปลดภาษีนำเข้าเนื้อไก่หมักเกลือจากไทยและบราซิลลงเหลือร้อยละ 15.4 เท่ากับภาษีนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง จากที่เคยมีการเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 58.9 ตั้งแต่กลางปี 2545 ซึ่งเนื้อไก่หมักเกลือนี้เป็นที่ต้องการของบรรดาอุตสาหกรรมอาหารในสหภาพยุโรป
-สหรัฐฯจะเปิดตลาดไก่ต้มสุกให้กับไทย ในช่วงเดือนกันยายน 2548 กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯจะส่งเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารมาตรวจสอบโรงงานแปรรูปไก่สุกของไทย หากผ่านมาตรฐานการตรวจสอบสหรัฐฯก็พร้อมจะเปิดตลาดและสั่งนำเข้าสินค้าไก่สุกจากไทย ขณะเดียวกันไทยต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบโรงฆ่าสัตว์ของสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯต้องการให้ไทยอนุญาตให้นำเข้าเนื้อวัว หลังจากที่สั่งระงับการนำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐฯนานกว่า 2 ปี หลังจากในสหรัฐฯเกิดการระบาดของโรควัวบ้า ทำให้ไทยอนุญาตให้นำเข้าเฉพาะเนื้อวัวจากประเทศออสเตรเลียเท่านั้น ซึ่งถ้าสหรัฐฯมีความต้องการนำเข้าเนื้อไก่โดยเฉพาะเนื้อส่วนอก โดยปัจจุบันสหรัฐฯยังผลิตเนื้อไก่ส่วนนี้ไม่เพียงพอกับความต้องการ การส่งออกเนื้อไก่ของสหรัฐฯนั้นเป็นลักษณะไก่ทั้งตัวและเนื้อน่อง เนื่องจากค่าจ้างแรงงานในการตัดแต่งชิ้นส่วนไก่ของสหรัฐฯอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเปรียบเทียบกับไทย
ผลิตภัณฑ์ไก่นับว่าเป็นสินค้าในหมวดอาหารแช่แข็งที่เป็นความหวังที่จะช่วยผลักดันยอดการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 ต่อเนื่องไปถึงปี 2549 เนื่องจากมีหลากปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของการส่งออก โดยเฉพาะความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของประเทศผู้นำเข้า ซึ่งผู้บริโภคหันมานิยมบริโภคเนื้อไก่มากขึ้น เนื่องจากเป็นเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำและมีราคาถูกเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ สำหรับในปี 2549 คาดว่าปริมาณการผลิตไก่เนื้อจะยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากราคาที่อยู่ในเกณฑ์สูงจูงใจให้มีการเลี้ยงเพิ่มขึ้น รวมทั้งการคาดการณ์ว่าการส่งออกมีแนวโน้มแจ่มใสต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากมาตรการวางระบบการเลี้ยงไก่เนื้อใหม่ทำให้ประเทศผู้นำเข้ามั่นใจมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ไทยมีโอกาสได้ส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งอีกครั้งหนึ่ง โดยคาดว่าไทยจะเข้าไปแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาจากบราซิล ซึ่งในปัจจุบันครองตลาดส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งเกือบทั้งหมดอยู่ รวมทั้งการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไทยยังได้รับการลดภาษีนำเข้าในตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปอีกด้วย


