การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ (Net Flows of Foreign Direct Investment or FDI) ลดลงอย่างมากในระยะที่ผ่านมา โดยในปี 2547 มีมูลค่า 835 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากที่เคยมีมูลค่าโดยเฉลี่ยประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วง 5 ปีก่อนหน้า และเป็นมูลค่าที่ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 ตัวเลขเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า การลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศมีมูลค่า 207 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงลดลงร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขการลงทุนโดยตรงที่ลดลง ดูเหมือนจะสวนทางกับกระแสความสนใจของนักลงทุนต่างชาติที่มองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่น มองว่าไทยเป็นประเทศน่าลงทุนอันดับสองในโลกรองจากจีน นอกจากนี้ การสำรวจขององค์การการประชุมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD (The United Nations Conference on Trade and Development) ประจำปี 2005 ยังพบว่าไทยเป็นหนึ่งในสิบของประเทศที่บริษัทข้ามชาติทั่วโลกมองว่าน่าลงทุนมากที่สุดในโลก โดยเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย (รองจากจีนและอินเดีย)
ถ้าพิจารณาจากตัวเลขมูลค่าการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศ โดยเปรียบเทียบระหว่างไทยกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies) ในเอเชีย พบว่าในปี 2547 ไทยอยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายประเทศอื่นๆ คือต่ำกว่าจีน อินเดีย มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยสูงกว่าเฉพาะฟิลิปปินส์เท่านั้น สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 ตัวเลขเบื้องต้นสะท้อนว่าไทยอยู่ในอันดับที่รั้งท้ายประเทศอื่นๆ โดยมีมูลค่า 207 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับจีน 29,502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 2,568 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟิลิปปินส์ 495 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอินเดียและมาเลเซีย ยังเป็นตัวเลขไตรมาสแรก แต่ก็มีมูลค่าสูงกว่าไทย โดยอยู่ที่ 1,296 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 811 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ จากตัวเลขที่แตกต่างกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนี้เอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้วิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปัจจุบัน เพื่อศึกษาว่าตัวเลขการลงทุนโดยตรงสุทธิที่ลดลงมากนี้เป็นสัญญาณในเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่และอย่างไร รวมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศไทยในระยะข้างหน้า
วิเคราะห์ภาวะการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศที่ลดลง
การลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศ โดยนิยามหมายถึง มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้า (Inflow of FDI) หักด้วยมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงไหลออก (Outflow of FDI) ซึ่งเป็นเครื่องชี้มูลค่าเม็ดเงินลงทุนโดยตรงสุทธิที่มีเคลื่อนย้ายเข้า-ออกประเทศในช่วงปีหนึ่งๆ ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศประกอบขึ้นจาก องค์ประกอบ 3 ส่วน คือ 1) เงินลงทุนที่บริษัทต่างชาตินำเข้ามาเพื่อการถือหุ้นในกิจการในประเทศผู้รับการลงทุน (Host Country) 2) เงินกู้ที่ให้โดยตรงจากบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือที่อยู่ในต่างประเทศ 3) ส่วนของผลกำไรของบริษัทลูกของบริษัทต่างชาติที่นำกลับมาลงทุนใหม่ จากการวิเคราะห์รายละเอียดของตัวเลขการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศ ได้พบว่ามีประเด็นที่สำคัญที่อธิบายปรากฎการณ์ที่การลงทุนโดยตรงสุทธิที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ดังนี้
? การลงทุนโดยตรงสุทธิที่ลดลงเป็นผลจากการไหลออกของเงินลงทุนมูลค่าสูง
การลงทุนโดยตรงสุทธิที่ลดลงต่ำสุดในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการที่มีเงินลงทุนโดยตรงไหลออกในระดับที่สูงมาก โดยมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 6,748 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2547 แม้ว่าในด้านเงินทุนไหลเข้าซึ่งมีมูลค่าประมาณ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีระหว่างปี 2545-2547 นั้น นับว่าเป็นระดับที่สูงกว่าในอดีตมาก ยกเว้นเฉพาะปี 2544 เท่านั้น สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลออกต่อเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้า (Outflow as a Percentage of Inflow) มีอัตราสูงถึงร้อยละ 89 ในปี 2547 และยังเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 93 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 (ตัวเลขเบื้องต้น)
? เงินทุนไหลออกส่วนใหญ่เกิดจากธุรกิจนอกภาคอุตสาหกรรม
เมื่อพิจารณาจากประเภทธุรกิจอย่างกว้าง พบว่า การลงทุนไหลออกส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากธุรกิจนอกภาคอุตสาหกรรม เช่น การค้า สถาบันการเงิน การลงทุนและโฮลดิ้ง ซึ่งในระหว่างปี 2545-2547 ธุรกิจ 3 กลุ่มนี้รวมกันมีเงินทุนไหลออกมูลค่าโดยเฉลี่ย 4,141 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ของเงินลงทุนโดยตรงไหลออกทั้งหมด และในปี 2547 สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลออกต่อเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าของธุรกิจนอกภาคอุตสาหกรรมมีอัตราสูงถึงร้อยละ 94 ขณะที่การลงทุนโดยตรงที่เข้ามาในภาคอุตสาหกรรมมีการไหลออกในอัตราร้อยละ 76 ในปี 2547 แม้ว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่านอกภาคอุตสาหกรรม แต่อัตราการไหลออกในภาคอุตสาหกรรมระหว่างปี 2545-2547 ก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าในอดีตมาก
? เงินทุนไหลออกส่วนใหญ่เป็นการชำระคืนเงินกู้ให้แก่บริษัทแม่ในต่างประเทศ
จากการวิเคราะห์พบว่า เงินลงทุนไหลออกส่วนใหญ่เป็นในรูปการชำระคืนเงินกู้ในกับบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือในต่างประเทศมากกว่าในรูปการถอนตัวจากการลงทุนในประเทศไทย โดยรวมแล้ว เงินทุนไหลออกในรูปเงินกู้มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 75 ของเงินทุนไหลออกทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การไหลออกในรูปของการถอนการถือหุ้นในกิจการยังมีค่อนข้างน้อย โดยในระหว่างปี 2545-2547 มีเงินทุนโดยตรงไหลออกจากภาคอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย 1,555 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ส่วนใหญ่เกิดจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง แต่ในจำนวนนี้ เงินทุนไหลออกในส่วนผู้ถือหุ้นมีมูลค่าเฉลี่ยเพียง 332 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
? การลงทุนในระยะหลัง เข้ามาในรูปเงินกู้ยืมจากบริษัทแม่มากขึ้น
การที่มีเงินลงทุนไหลออกในรูปการชำระคืนเงินกู้เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลตามมาจากการที่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยในระยะหลังใช้รูปแบบการลงทุนด้วยการให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทลูกในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้มีการทยอยชำระคืนเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการกู้ยืม โดยปัจจุบัน การลงทุนโดยตรงในรูปเงินกู้ยืมมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าเงินทุนไหลเข้าทั้งหมด เทียบกับที่เคยต่ำกว่าร้อยละ 30 ในช่วงทศวรรษ 1990
จากการวิเคราะห์ข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่ามูลค่าการลงทุนโดยตรงสุทธิของไทยลดลงมามีมูลค่าต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ แต่ว่าการไหลออกของเงินทุนเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเงินทุนที่บริษัทต่างชาติใช้เพื่อขยายการลงทุนในประเทศไทย ประกอบกับเงินทุนไหลเข้าที่ยังสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยที่สนับสนุนว่าสถานะของไทยในด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่เลวร้ายอย่างที่แสดงออกมาผ่านตัวเลข การลงทุนนอกภาคอุตสาหกรรมอาจมีภาวะที่ผันผวนขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจระยะสั้น แต่การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมยังสะท้อนแนวโน้มในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากถ้าไม่นับรวมช่วงหลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ (ช่วงปี 2540-2544) ที่เกิดการควบรวมและเข้าครอบครองกิจการครั้งใหญ่โดยบริษัทต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในกิจการไทยมากขึ้น (Merger and Acquisition: M&A) กล่าวได้ว่าเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในภาคอุตสาหกรรมของไทยในปัจจุบันยังนับว่าเป็นระดับที่สูงกว่าในอดีต (ก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจ) ซึ่งเป็นช่วงที่การลงทุนโดยตรงเคยเฟื่องฟูอย่างมากเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศไทย โดยแท้จริงแล้วอาจดีกว่าที่เห็นจากตัวเลข FDI Flows อยู่มาก เนื่องจากประเทศไทยไม่มีการนับรวมตัวเลขการนำผลกำไรกลับมาลงทุน (Reinvested Earnings) เข้ามารวมเป็นมูลค่าการลงทุนโดยตรง แตกต่างจากในต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย โดยในจีนและอินเดีย Reinvested Earnings คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด ขณะที่ในมาเลเซียคิดเป็นเกือบทั้งหมดของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติในส่วนนี้ แม้ว่าการลงทุนของบริษัทลูกของต่างชาติที่ขยายการลงทุนในไทยจำนวนมาก ได้ใช้แหล่งเงินทุนจากผลกำไรสะสมของบริษัทลูกในประเทศ ซึ่งตามที่บีโอไอได้ทำการสำรวจแหล่งที่มาของเงินลงทุนของบริษัทลูกของบริษัทข้ามชาติในประเทศไทย พบว่าแหล่งเงินทุนมาจากภายในประเทศถึงร้อยละ 70
แนวโน้มเงินลงทุนโดยตรงไหลออกน่าจะมีทิศทางปรับตัวลดลง
จากการวิเคราะห์ข้างต้นทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนที่เข้ามาในรูปเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น กับการไหลออกของเงินทุนในรูปเงินกู้ที่สูงไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มของการไหลออกของเงินทุน โดยศึกษาจากความสัมพันธ์ของการลงทุนไหลเข้าและการลงทุนไหลออก ทำให้ได้ข้อสรุปว่าเงินลงทุนไหลออกน่าจะมีแนวโน้มลดลง โดยมีข้อพิสูจน์ ดังนี้
• สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลออกในปัจจุบันสูงกว่าแนวโน้มระยะยาวมาก การวิเคราะห์แนวโน้มในระยะยาว ด้วยการคำนวณค่าเฉลี่ยระยะยาว และด้วยการวิเคราะห์สมการถดถอย พบว่า เงินลงทุนโดยตรงไหลออกมีความสัมพันธ์คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 43-57 ของเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้า ซึ่งสัดส่วนเงินทุนไหลออกต่อเงินทุนไหลเข้าปัจจุบันที่ประมาณร้อยละ 90 นับว่าเป็นอัตราที่สูงกว่าแนวโน้มระยะยาวมาก
• เงินกู้คงค้างที่ยังไม่ชำระคืนมีมูลค่าลดลง ถ้าพิจารณาจากเงินทุนไหลเข้าในรูปเงินกู้ ซึ่งเป็นส่วนที่น่าจะต้องมีเงินทุนไหลออกในมูลค่าที่เท่ากัน เมื่อมีการชำระคืนเงินกู้จนหมด จะพบว่าเงินกู้คงค้างที่ยังไม่ได้ชำระคืน (Stock of Inflow – Stock of Outflow) มีมูลค่าลดลงในปี 2547 อยู่ที่ระดับ 6,033 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 6,522 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2546 และคาดว่าจะลดลงอีกในปี 2548 จากการที่เงินทุนโดยตรงไหลออกยังคงดำเนินไปในอัตราเร่ง ขณะเดียวกันสัดส่วนเงินกู้ที่ยังไม่ได้ชำระคืน เทียบต่อมูลค่าการลงทุนโดยตรงสุทธิสะสม (Stock of Net Flows of FDI) ก็ลดลงหลังจากที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2544
• เงินทุนโดยตรงไหลเข้าในรูปเงินกู้เริ่มลดลง โดยมูลค่าลดลงอย่างต่อเนื่องจากที่เคยมีมูลค่าสูงสุด 5,597 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2544 ลงมามีมูลค่า 4,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2547 ขณะเดียวกัน สัดส่วนเงินทุนไหลเข้าในรูปเงินกู้ต่อเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าทั้งหมดก็ลดลงเช่นเดียวกัน โดยมีสัดส่วนร้อยละ 60 ในปี 2547 ลดลงจากที่เคยสูงสุดร้อยละ 74 ในปี 2545
จากแนวโน้มเงินลงทุนไหลออกที่คาดว่าจะมีทิศทางที่ลดลง น่าจะช่วยให้สถานะการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศในไทยปรับตัวดีขึ้นนับจากปี 2549 เป็นต้นไป โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การลงทุนโดยตรงไหลเข้าน่าจะมีมูลค่าที่สูงขึ้นในปี 2549 ภายใต้เงื่อนไขที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากปี 2548 ทำให้ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนปรับตัวดีขึ้น และหากการลงทุนโดยตรงไหลออกเป็นไปในทิศทางที่ลดลงตามสมมติฐานที่สรุปจากเหตุผลดังที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่าจะทำให้สถานการณ์การลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากที่คาดว่าจะยังคงมีมูลค่าต่ำกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2548 โดยอาจจะมีมูลค่าสูงขึ้นไปที่ระดับประมาณ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2549
โดยสรุป สืบเนื่องจากภาวะการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศมีทิศทางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2547 มีมูลค่า 835 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากที่เคยมีมูลค่าโดยเฉลี่ยประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วง 5 ปีก่อนหน้า ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 มีมูลค่า 207 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงลดลงร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และถ้าพิจารณาเปรียบเทียบกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies) ในเอเชีย ไทยอยู่ในอันดับที่รั้งท้ายประเทศอื่นๆ โดยจีนมีมูลค่า 29,502 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 2,568 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟิลิปปินส์ 495 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอินเดียและมาเลเซีย ยังเป็นตัวเลขไตรมาสแรก แต่ก็มีมูลค่าสูงกว่าไทย โดยอยู่ที่ 1,296 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 811 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ จากตัวเลขที่แตกต่างกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนี้เอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้วิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปัจจุบัน รวมทั้งแนวโน้มการลงทุนในระยะข้างหน้า
ภาวะการลงทุนโดยตรงสุทธิที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา มีสาเหตุสำคัญคือ
? การลงทุนโดยตรงสุทธิที่ลดลงเป็นผลจากการไหลออกของเงินลงทุนมูลค่าสูง แม้ว่าการลงทุนโดยตรงไหลเข้ายังมีระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2547 การลงทุนไหลออกมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 6,748 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนเงินลงทุนไหลออกต่อเงินลงทุนไหลเข้าสูงถึงร้อยละ 89 ในปี 2547 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 93 ในช่วงครึ่งแรกปี 2548
? เงินทุนไหลออกส่วนใหญ่เกิดจากธุรกิจนอกภาคอุตสาหกรรม โดยในปี 2547 สัดส่วนเงินทุนไหลออกต่อเงินทุนไหลเข้าของธุรกิจนอกภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับสูงถึงร้อยละ 94 ส่วนภาคอุตสาหกรรมมีการไหลออกในอัตราร้อยละ 76
? เงินทุนไหลออกส่วนใหญ่เป็นการชำระคืนเงินกู้ให้แก่บริษัทแม่ในต่างประเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 75 ของเงินทุนไหลออกทั้งหมด
? การลงทุนในระยะหลัง เข้ามาในรูปเงินกู้ยืมจากบริษัทแม่มากขึ้น ทำให้มีการทยอยชำระคืนเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการกู้ยืม ปัจจุบัน การลงทุนโดยตรงในรูปเงินกู้ยืมมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าเงินทุนไหลเข้าทั้งหมด เทียบกับที่เคยต่ำกว่าร้อยละ 30 ในช่วงทศวรรษ 1990
ผลจากการวิเคราะห์ พบว่าแม้ว่ามูลค่าการลงทุนโดยตรงสุทธิของไทยลดลงอย่างมาก แต่การไหลออกของเงินทุนเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเงินทุนที่บริษัทต่างชาติใช้เพื่อขยายการลงทุนในประเทศไทย ประกอบกับเงินลงทุนโดยตรงที่ไหลเข้ามายังประเทศไทยยังมีระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยที่สนับสนุนว่าสถานะของไทยในด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่เลวร้ายอย่างที่แสดงออกมาผ่านตัวเลข นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศไทย โดยแท้จริงแล้วอาจดีกว่าที่เห็นจากตัวเลข FDI Flows อยู่มาก เนื่องจากประเทศไทยไม่มีการนับรวมตัวเลขการนำผลกำไรกลับมาลงทุนเข้าไว้เป็น FDI แม้ว่าการลงทุนของบริษัทลูกของต่างชาติที่ขยายการลงทุนในไทยจำนวนมาก ได้ใช้แหล่งเงินทุนจากผลกำไรสะสมของบริษัทลูกในประเทศ
สำหรับแนวโน้มการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการลงทุนโดยตรงไหลออกน่าที่จะปรับตัวลดลง โดยมีเหตุผลดังนี้
• การวิเคราะห์แนวโน้มในระยะยาวพบว่า สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลออกต่อเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าปัจจุบันที่อยู่ที่ร้อยละ 89 ในปี 2547 และ ร้อยละ 93 ในช่วงครึ่งแรก ปี 2548 เป็นอัตราที่สูงกว่าแนวโน้มระยะยาวซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 43-57 มาก
• ถ้าพิจารณาจากเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าในรูปเงินกู้ ซึ่งเป็นส่วนที่น่าจะต้องมีเงินทุนไหลออกในมูลค่าที่เท่ากัน เมื่อมีการชำระคืนเงินกู้จนหมด จะพบว่าเงินกู้คงค้างที่ยังไม่ได้ชำระคืนมีมูลค่าลดลงในปี 2547 อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2546 และคาดว่าจะลดลงอีกในปี 2548 จากเงินลงทุนโดยตรงไหลออกที่ยังคงดำเนินไปในอัตราเร่ง
• เงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าในรูปเงินกู้ลดลงอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่า 4,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2547 จากที่เคยมีมูลค่าสูงสุด 5,597 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2544 ขณะที่สัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าในรูปเงินกู้ต่อเงินลงทุนโดยตรงไหลเข้าทั้งหมดก็ลดมาอยู่ที่ร้อยละ 60 ในปี 2547 จากที่เคยสูงสุดร้อยละ 74 ในปี 2545
แนวโน้มการลงทุนโดยตรงไหลออกที่คาดว่าจะมีทิศทางที่ลดลง ประกอบกับการลงทุนโดยตรงไหลเข้าก็น่าจะมีมูลค่าที่สูงขึ้นในปีข้างหน้า ภายใต้เงื่อนไขที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากปี 2548 ทำให้ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนปรับตัวดีขึ้น ทำให้โดยรวมแล้วน่าจะช่วยให้สถานะการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศในไทยปรับตัวดีขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการลงทุนโดยตรงสุทธิจากต่างประเทศอาจจะมีมูลค่าสูงขึ้นไปที่ระดับประมาณ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 จากที่คาดว่าจะมีมูลค่าต่ำกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2548
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทย จากการที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเปลี่ยนไปใช้รูปแบบเงินกู้จากบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือในต่างประเทศมากกว่าที่จะเข้ามาลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นนั้น สำหรับประเทศผู้รับการลงทุน (Host Country) ผลทางเศรษฐกิจต่อการสะสมทุนที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ ตลอดจนผลต่อเศรษฐกิจ มหภาคที่ปรากฎในภาคเศรษฐกิจจริงอาจไม่แตกต่างกัน ทั้งในด้านขนาดของทุนทางกายภาพ (Physical Capital) หรือขนาดของกำลังการผลิต และผลผลิต (Outputs) ที่เกิดขึ้นจากการลงทุน
ความแตกต่างน่าจะอยู่ที่โครงสร้างทุนในทางการเงิน (Financial Capital) และการเคลื่อนย้ายทุนของธุรกิจ กรณีของบริษัทลูกที่เน้นการลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity-Intensive Affiliate) จะมีฐานสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า และมีหนี้สินต่ำกว่า ทำให้รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ต่ำ ผลกำไรที่ได้รับจึงสามารถตกไปสู่ผู้ถือหุ้นในรูปการจ่ายผลตอบแทนการลงทุนหรือเงินปันผลในระดับที่สูงกว่าด้วย ในกรณีนี้ การไหลออกของผลตอบแทนการลงทุนจะบันทึกอยู่ในดุลบริการ รายได้และเงินโอน ภายใต้ดุลบัญชีเดินสะพัด ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทลูกที่เน้นการลงทุนในรูปเงินกู้ (Loan-Intensive Affiliate) สัดส่วนผู้ถือหุ้นจะเล็กกว่า แต่มีระดับหนี้สินที่สูงกว่า จึงมีรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้สูง ผลกำไรสุทธิที่สามารถนำมาจ่ายเงินปันผลก็ต่ำลง ในกรณีนี้ การไหลออกของผลตอบแทนการลงทุนจะเป็นในรูปการชำระคืนเงินต้น ซึ่งบันทึกในบัญชีทุน และดอกเบี้ยซึ่งบันทึกในดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ทั้งหมดนี้จะปรากฎในดุลการชำระเงิน (Balance of Payments) ผลสุทธิต่อดุลบัญชีระหว่างประเทศจึงอาจไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าต้นทุนอื่นๆไม่มีผลมากนัก
แต่เนื่องจากรัฐบาลของประเทศผู้รับการลงทุนและประเทศผู้ลงทุน มีการจัดเก็บภาษีในส่วนของภาษีธุรกิจและภาษีเงินได้จากเงินปันผล วิธีการลงทุนและการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่แตกต่างกันนี้จะมีผลต่อค่าใช้จ่ายด้านภาษีของผู้ลงทุน และมีผลต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐบาล ซึ่งกรณีการลงทุนในรูปเงินกู้ รัฐบาลของประเทศผู้รับการลงทุนจะจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่าการลงทุนในรูปการเข้ามาถือหุ้น เนื่องจากเงินกู้ที่ชำระคืนและดอกเบี้ยจะถูกหักออกไปก่อนการคิดภาษีธุรกิจนั่นเอง
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับข้อมูลตัวเลขการลงทุนโดยตรงที่ทางการน่าจะต้องพิจารณาและให้ความสำคัญคือ การจัดเก็บตัวเลขการลงทุนโดยตรงให้สอดคล้องกับนิยามสากลของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นั่นคือการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของการนำผลกำไรกลับมาลงทุนใหม่ (Reinvested Earnings) ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่แสดงอยู่ในปัจจุบันต่ำกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอยู่ไม่น้อย และมีผลทำให้ภาพของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในประเทศไทยในสายตาของต่างชาติ ถูกมองว่าอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว การลงทุนจากต่างประเทศในไทยยังมีภาวะที่ค่อนข้างดี มุมมองของนักลงทุนเป็นปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญด้วย แม้ว่าผลในทางเศรษฐกิจต่อการสะสมทุนที่แท้จริงอาจไม่แตกต่างไปจากเดิมก็ตาม


