เงินดอลลาร์…จับตาแนวโน้มดอกเบี้ย เงินเยนทรุด…เงินไหลออกญี่ปุ่น

เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าส่ายขึ้นลงอยู่ในช่วงแคบ 1.19-1.20 ดอลลาร์/ยูโร เป็นผลจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯและทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์มีค่าเข้มแข็งสูงสุดในรอบ 2 ปี เมื่อเทียบกับเงินเยน ซื้อขายอยู่ในอัตราเฉลี่ย 115 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ มีค่าอ่อนตัวในช่วงแรก ก่อนที่จะกระเตื้องดีขึ้น เมื่อรายงานยอดค้าปลีกแจ่มใส ช่วยลดกระแสการคาดคะเนเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยอังกฤษต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ เคลื่อนไหวตามอิทธิพลของค่าเงินดอลลาร์และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นสำคัญ โดยซื้อขายในช่วงเฉลี่ย 462-475 ดอลลาร์/ออนซ์

เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าอ่อนไหวในตอนต้นสัปดาห์ เป็นผลจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯหลายรายการชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วไปอาจไม่แข็งแรงดังที่คาดกันไว้ อาทิ ยอดค้าปลีกสหรัฐฯเดือนกันยายนเพิ่มเพียง 0.2% เนื่องจากยอดซื้อรถยนต์ซบเซา การผลิตภาคอุตสาหกรรมก็ลดลงมากกว่าที่เก็งไว้ถึง 1.3% รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มเล็กน้อย 0.1% เป็นต้น รายงานดังกล่าวส่งผลให้ตลาดเงินลังเลว่าทางการสหรัฐฯจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในรอบต่อไปอีกหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์มีค่าขยับสูงขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนกันยายนกลับพุ่งขึ้น 1.9% จากเดือนสิงหาคม สูงกว่าที่คาดไว้ประมาณ 1.1% ดังนั้น บรรดาผู้ค้าเงินจึงกลับมามั่นใจว่าธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะยังคงใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อไป หลังจากที่ดำเนินมาตรการดังกล่าวมาแล้ว 15 เดือน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 3.75% นอกจากนี้ รายงานยอดเงินไหลเข้าสหรัฐฯเดือนสิงหาคมมูลค่า 91.3 พันล้านดอลลาร์ ก็มีส่วนช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ด้วย เพราะสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนต่างประเทศยังเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเข้ามาลงทุนซื้อหลักทรัพย์อเมริกันกันอย่างต่อเนื่องต่อไป บรรเทาความกังวลเกี่ยวกับยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลงด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่า นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นกลุ่มหนึ่งที่นิยมเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในระยะนี้ ซึ่งเพิ่งปิดงวดบัญชีครึ่งปีงบประมาณของญี่ปุ่น (สิ้นเดือนกันยายน) จึงส่งผลให้ค่าเงินเยนลดลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

ในช่วงปลายสัปดาห์ เงินดอลลาร์มีค่าลดลงเล็กน้อย แม้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯหลายคนได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และสนับสนุนให้มีการป้องกันด้วยมาตรการทางการเงินเข้มงวด แต่ดูเหมือนว่าตลาดเงินไม่ค่อยสนใจในปัจจัยดังกล่าวมากนัก รวมถึงรายงานการสำรวจภาวะธุรกิจของธนาคารสหรัฐฯของรัฐฟิลาเดลเฟีย ซึ่งดัชนีเดือนตุลาคมพุ่งขึ้นถึง 17.3 จากระดับ 2.2 ในช่วงพายุเฮอริเคน แต่ก็ไม่ได้ช่วยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์แต่ประการใด

เงินปอนด์อังกฤษ มีค่าอ่อนแอในตอนต้นสัปดาห์ เนื่องจากตลาดเงินคาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของอังกฤษไม่ค่อยมั่นคง อีกทั้ง ดัชนีราคาผู้บริโภคก็ต่ำกว่าที่คาดไว้ รวมถึงรายงานการสำรวจราคาบ้านพักอาศัยก็ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน จึงอาจทำให้ธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกครั้ง หลังจากปรับลดลงไปแล้วเมื่อต้นเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 4.50% เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี แต่อย่างไรก็ตาม เงินปอนด์มีค่ากระเตื้องขึ้นในเวลาต่อมา เป็นผลจากตัวเลขยอดค้าปลีกสดใสกว่าที่คาดคิด ทำให้นักลงทุนบางส่วนเห็นว่าอังกฤษอาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน

ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วงแรกของสัปดาห์ โดยซื้อขายอยู่ในราคาเฉลี่ยราว 475 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับพายุเฮอริเคน Wilma ที่คาดว่าอาจพัดเข้าบริเวณอ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญ ส่งผลให้มีการซื้อทองคำจากกองทุนต่างๆอย่างหนาแน่น แต่อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำได้ลดลงเป็นลำดับในเวลาต่อมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยราว 462 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากมีรายงานสต็อกน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯลดลง มีส่วนช่วยให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอ่อนตัวลง และมีผลกดดันราคาทองคำเช่นกัน

อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินตราสำคัญสกุลต่างๆ ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2548 เทียบกับวันที่ 20 ตุลาคม 2548 (ตัวเลขในวงเล็บ) มีดังนี้

เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าเท่ากับ 1.2028 ดอลลาร์/ยูโร (1.2020 ดอลลาร์/ยูโร) 114.93 เยน (115.37 เยน) และ 1.7537 ดอลลาร์/ปอนด์ (1.7747 ดอลลาร์/ปอนด์)

ราคาทองคำในตลาดลอนดอน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2548 เท่ากับ 475.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เทียบกับราคา 462.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548