ภาคบริการ ของไทยมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยก่อให้เกิดการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ ดึงดูดเงินทุนไหลเข้าประเทศจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในสาขาบริการต่างๆ นอกจากนี้ภาคบริการยังเชื่อมโยงกับการผลิตในหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ เช่น บริการด้านการสื่อสาร การขนส่ง การกระจายสินค้า และบริการทางการเงิน
ปัจจุบันภาคบริการในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สาขาบริการที่สำคัญของไทย ได้แก่ การค้าปลีก/ค้าส่ง การขนส่ง ก่อสร้างและการท่องเที่ยว โดยการจ้างงานในภาคบริการของไทยคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ และ การลงทุนโดยตรงเข้ามาในภาคบริการไทยในหลายสาขา เช่น ภาคการเงิน และค้าปลีก/ค้าส่ง คาดว่าสัดส่วนของภาคบริการต่อ GDP มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนภาคการค้าบริการระหว่างประเทศ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ไทยเกินดุลการค้าภาคบริการเฉลี่ยปีละราว 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 3.25% ต่อ GDP ในปี 2547 ส่วนใหญ่เป็นรายรับด้านการท่องเที่ยวและ การขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ
รายงานขององค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development : OECD) ระบุว่า แม้แต่ภาคบริการของประเทศที่มีรายได้ต่ำที่สุด (lowest-income countries) มีสัดส่วนกว่า 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ส่วนประเทศรายได้ปานกลาง (middle-income countries) ภาคบริการมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ GDP ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว ภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนถึงกว่า 70% ของ GDP เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น กล่าวได้ว่า ภาคบริการมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้นตามระดับการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ในด้านการค้าระหว่างประเทศ การค้าภาคบริการมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จากรายงานของ WTO ระบุว่า การค้าภาคบริการของโลกได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนการค้าภาคบริการต่อการค้ารวมของโลกในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจาก 15% เป็นราว 20%
สัดส่วนของภาคการผลิตไทยต่อ GDP
(%) 2542 2543 2544 2545 2546 2547
ภาคเกษตร 9.4 8.9 9.0 9.1 10.2 10.0
นอกภาคเกษตร 90.6 91.1 91.0 90.9 89.7 89.9
เหมืองแร่ 1.9 2.4 2.46 2.47 2.60 2.69
การผลิตภาคอุตสาหกรรม 32.7 33.6 33.4 33.8 34.7 34.5
ภาคบริการ 56.1 55.3 55.3 54.6 52.4 52.7
ก่อสร้าง 3.6 3.1 3.0 3.0 2.9 3.0
ไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และน้ำ 2.8 3.0 3.3 3.2 3.2 3.2
ค้าปลีก/ค้าส่ง 17.3 17.3 16.8 16.3 15.2 15.1
ขนส่งและสื่อสาร 8.1 8.1 8.4 8.4 7.7 7.6
บริการอื่นๆ 24.3 23.8 23.8 23.7 23.4 23.8
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) (ล้านบาท) 4,637,079 4,916,505 5,123,418 5,433,287 5,929,000 6,503,488
ที่มา : สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทย
กฎระเบียบ & ข้อกำหนดภาคบริการไทย
ภาคบริการของไทยยังไม่ได้เปิดเสรีเต็มที่ โดยมีกฎระเบียบ/ข้อกำหนดการเข้ามาประกอบธุรกิจ/ให้บริการของต่างชาติ เช่น ข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติในการประกอบธุรกิจแต่ละสาขาในไทย การประกอบธุรกิจบางประเภทต้องขออนุญาตจากภาครัฐ เนื่องจากต้องการให้ธุรกิจบริการในประเทศมีความพร้อมต่อการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติก่อนเปิดเสรีอย่างเต็มที่ การเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทยของคนต่างชาติอยู่ภายใต้ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่กำหนดเงื่อนไขการเข้ามาจัดตั้งธุรกิจของคนต่างชาติในประเทศไทย นอกจากนี้ สาขาบริการหลายสาขามีกฎหมายเฉพาะกำหนดเงื่อนไขการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ เช่น ภาคการเงิน ประกันภัย การขนส่ง และโทรคมนาคม เป็นต้น
นอกจากการกำหนดเงื่อนไขของนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในไทยแล้ว ไทยมีกฎหมายห้ามคนต่างด้าวทำงานให้บริการในอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทย 39 อาชีพ ตาม พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ.2522 เช่น งานกรรมกร (ยกเว้นบนเรือประมง) งานกสิกรรม เลี้ยงสัตว์ งานก่ออิฐ/ช่างไม้/แกะสลักไม้ งานตัดผม/ดัดผม/เสริมสวย งานเจียระไนพลอย งานทอผ้าด้วยมือ/ทอเสื่อ งานนายหน้าในธุรกิจระหว่างประเทศ วิศวกรรมโยธา สถาปัตยกรรม งานมัคคุเทศก์หรือจัดนำเที่ยว และงานบริการทางกฎหมาย เป็นต้น
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำแนกธุรกิจเป็น
บัญชี 1 ธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการด้วยเหตุผลพิเศษ เช่น การทำกิจการหนังสือพิมพ์ การทำกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ การทำนา ทำไร่หรือทำสวน การเลี้ยงสัตว์ การทำป่าไม้และการแปรรูปไม้จากป่าธรรมชาติ การทำประมงเฉพาะการจับสัตว์น้ำในน่านน้ำไทยและในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย และการค้าที่ดิน เป็นต้น
บัญชี 2 ธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศหรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี หัตถกรรมพื้นบ้าน หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของทุนของคนต่างด้าวที่เป็นนิติบุคคลนั้น เว้นแต่มีเหตุสมควร รัฐมนตรีโดยการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีอาจผ่อนผันสัดส่วนดังกล่าวให้น้อยลง แต่ต้องไม่น้อยกว่า 25% และต้องมีกรรมการที่เป็นคนไทยไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด เช่น ธุรกิจขนส่งทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศในประเทศ รวมถึงกิจการการบินในประเทศ การทำเหมือง รวมทั้งการระเบิดหรือย่อยหิน การผลิตน้ำตาลจากอ้อย และการแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย เป็นต้น
บัญชี 3 ธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว จะถูกห้ามไม่ให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เช่น การสีข้าว และการผลิตแป้งจากข้าวและพืชไร่ การทำการประมง เฉพาะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำกิจการบริการทางบัญชี/กฎหมาย/สถาปัตยกรรม/วิศวกรรม เป็นต้น
ตัวอย่างข้อกำหนดของไทยในการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจ
สาขาบริการ ตัวอย่างข้อกำหนดของสาขาบริการที่มีกฎหมายเฉพาะ
บริการวิชาชีพ
– การทำบัญชี ผู้ทำบัญชีต้องลงทะเบียนและกำหนดคุณสมบติผู้ทำบัญชี เช่น มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
– ผู้ทำงานเป็นทนายความต้องมาขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตจากสภาทนายความและต้องมีสัญชาติไทย
บริการการขนส่ง
– การขนส่งทางบก
– ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง การขนส่งไม่ประจำทาง และการขนส่งโดยรถขนาดเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 4,000 กิโลกรัม) ต้องมีสัญชาติไทย กรณีเป็นนิติบุคคล ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายไทย และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในไทย กรณีเป็นห้างหุ้นส่วน ต้องมีหุ้นส่วนผู้จัดการมีสัญชาติไทย และทุนไม่น้อยกว่า 51% เป็นของบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย กรณีเป็นบริษัทจำกัด ต้องมีกรรมการบริษัทไม่น้อยกว่า 50% มีสัญชาติไทย และทุนไม่น้อยกว่า 51% ต้องเป็นของบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย
– การขนส่งทางน้ำและการขนส่งทางอากาศภายในประเทศ
– กำหนดให้คนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 70% บริการทางการเงิน
– การประกันชีวิตและประกันวินาศภัย กำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกิน 25% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติเป็น 49% ของทุนจดทะเบียน
– อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ไทยไม่เกิน 25% ของทุนจดทะเบียน และผู้บริหาร 3 ใน 4 ต้องเป็นคนไทย
– อนุญาตให้ธนาคารต่างชาติที่มีสาขาในไทยอยู่ก่อนเดือนกรกฎาคม 2538 เปิดสาขาเพิ่มเติมได้ไม่เกิน 2 สาขา
บริการด้านโทรคมนาคม
– กำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกิน 49% สำหรับบริการด้านโทรคมนาคมภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 (ขยายสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติในวันที่ 20 มกราคม 2549 จากเดิมกำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกิน 25% ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ทั้งนี้ ไทยผูกพันเปิดตลาดเพิ่มเติมสำหรับบริการด้านโทรคมนาคมภายใต้ WTO ปี 2549 รวมถึงการขยายเพดานสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติเป็น 49% ภายใต้เงื่อนไขว่ากฎหมายด้านโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องต้องมีผลใช้บังคับแล้ว)
– คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. จัดตั้งขึ้นในปี 2547 เพื่อเป็นหน่วยงานองค์กรอิสระในการกำกับดูแลการให้บริการโทรคมนาคมในไทย โดยกำหนดกฎเกณฑ์การแข่งขัน และการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทต่างๆ
แนวโน้มการเปิดเสรีธุรกิจบริการของไทย
ไทยไม่สามารถปิดกั้นการเปิดเสรีภาคบริการได้ เนื่องจากไทยมีข้อผูกพันในการเปิดเสรีภาคบริการภายใต้ WTO ให้มีความก้าวหน้าเป็นลำดับ (progressive liberalization) ตามข้อตกลงด้านการค้าบริการ (General Agreement on Trade in Services : GATS) ภายใต้กฎระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) แต่การเจรจาเปิดเสรีภาคบริการใน WTO มีความคืบหน้าล่าช้า เนื่องจากประกอบด้วยสมาชิกที่มีระดับการพัฒนาต่างกัน ได้แก่ ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา และพัฒนาน้อยที่สุด (Least-Developed Country : LDC) ซึ่งต้องการให้แต่ละฝ่ายเปิดตลาดในสาขาที่ประเทศตนได้รับประโยชน์ ทำให้เกิดการเจรจาต่อรองการเปิดตลาดที่ได้ข้อยุติลำบาก อาทิ ประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดียและไทย ต้องการส่งออกแรงงานไปทำงานในต่างประเทศจึงเรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วอนุญาตให้คนต่างชาติเข้าไปทำงานในประเทศพัฒนาแล้วได้ ส่วนประเทศพัฒนาแล้วต้องการให้ประเทศกำลังพัฒนาเปิดเสรีภาคบริการสาขาการเงิน ขนส่งและโลจีสติกส์ และโทรคมนาคม ซึ่งสาขาเหล่านี้ประเทศกำลังพัฒนามีกฎระเบียบที่ยังไม่เปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาให้บริการอย่างเต็มที่ และยังไม่พร้อมต่อการแข่งขัน
นอกจากนี้ ไทยดำเนินยุทธศาสตร์จัดทำ FTA กับประเทศต่างๆ ซึ่งไทยได้ลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรี FTA ทวิภาคีกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว แต่การเปิดเสรีภาคบริการในความตกลงดังกล่าวไม่มีผลผูกพันมากกว่ากฎหมายของไทย อย่างไรก็ตาม ความตกลงฯ กับ 2 ประเทศข้างต้น กำหนดให้ไทยต้องเจรจาเปิดตลาดภาคบริการเพิ่มเติมในอีก 2 ปีข้างหน้า (2551) ประกอบกับไทยอยู่ระหว่างเจรจาจัดทำ FTA กับประเทศอื่นๆ ได้แก่ สหรัฐฯ เปรู บาร์เรน อินเดีย และจีน (อาเซียนกับจีนได้ลงนามความตกลง FTA ด้านการค้าสินค้าเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเจรจาเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุน) รวมถึงการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นซึ่งใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว และคาดว่าไทยกับญี่ปุ่นจะลงนามความตกลงฯ ในเดือนเมษายน 2549 นี้ รวมถึงการเปิดเสรีภาคบริการด้วย แต่ในการเจรจาจัดทำ FTA ที่ผ่านมา ยังไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากการเปิดตลาดภาคบริการไม่มีผลผูกพันมากกว่ากฎหมายไทยปัจจุบัน แต่สำหรับการเจรจาจัดทำ FTA กับสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ไทยถูกกดดันอย่างหนักให้เปิดเสรีภาคการเงิน ขนส่งและโทรคมนาคม อย่างเต็มที่ โดยต้องการเข้ามาถือหุ้นในสาขานี้ถึง 100% และยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ รวมทั้งต้องการให้ไทยผ่อนคลายข้อกำหนดอาชีพสงวนสำหรับคนไทย 39 อาชีพ เช่น นักบัญชี ทนายความ และสถาปนิก และที่สำคัญ สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเปิดเสรีการให้บริการข้ามพรมแดน (cross-border services) มากขึ้นในหลายสาขา เช่น การบริการทางการเงิน (e-banking) และการศึกษา (e-learning) ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐฯ เข้าถึงผู้บริโภคในไทยได้อย่างกว้างขวางด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของสหรัฐฯ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาจัดตั้งธุรกิจในไทย
? ไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือต่อการเปิดเสรีภาคบริการที่จะมาถึงในไม่ช้าทั้งในกรอบการค้าพหุภาคี (WTO) และการจัดทำเขตการค้าเสรี FTA 2 ฝ่าย โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มว่าไทยอาจจะต้องเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนให้สหรัฐฯ มากขึ้นในหลายสาขา โดยเฉพาะภาคการเงิน โทรคมนาคม และการขนส่ง ผู้ประกอบการไทยในธุรกิจสาขาต่างๆ ต้องปรับปรุงขีดความสามารถทางธุรกิจและการให้บริการ ขณะเดียวกันภาครัฐควรเร่งสร้างกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายแข่งขันทางการค้า ได้แก่ พระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการผูกขาด ลดหรือจำกัดการแข่งขัน และมุ่งส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยปรับปรุงกฎหมายนี้ให้มีการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ เช่น ความชัดเจนของหลักเกณฑ์การพิจารณา “อำนาจเหนือตลาดโดยมิชอบ” หรือ “การควบรวมกิจการ” เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดการให้บริการในประเทศไทยโดยบริษัทต่างชาติ หากเปิดเสรีภาคบริการอย่างเต็มที่ในอนาคต โดยมีเป้าหมายให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพในราคาต่ำจากการแข่งขันของผู้ประกอบการอย่างเสรีและเป็นธรรมภายใต้การเปิดเสรีอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ภาครัฐควรเร่งผลิตบุคลากรไทยให้เพียงพอต่อความต้องการในภาคธุรกิจบริการ รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษาให้บุคลากรไทยมีความรู้ ทักษะ และความชำนาญในสาขาธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพทางการแข่งขันเพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญต่อการแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติ รวมถึงการส่งออกแรงงานที่มีทักษะเพื่อนำรายได้เข้าประเทศด้วย


