อัตราดอกเบี้ย Fed Funds : คาดว่าจะขยับขึ้นมาที่ 4.75%

ในวันที่ 27-28 มีนาคม 2549 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะมีการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ขึ้นเป็นรอบที่ 2 ของปี 2549 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีก 0.25% จาก 4.50% มาที่ 4.75% หลังจากที่เฟดได้ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยเข้มงวดมากขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันมาเป็นเวลาประมาณ 21 เดือนแล้ว ในขณะที่ ตลาดการเงินทั่วโลกคงจะจับตาแถลงการณ์หลังการประชุมวันที่ 28 มีนาคม ซึ่งจะบ่งชี้ถึงมุมมองของเฟดที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยที่ ณ ปัจจุบัน ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อหลังการประชุมรอบวันที่ 27-28 มีนาคมนี้อีกหรือไม่ ดังนั้น เฟดอาจจะมีการเลือกใช้ถ้อยคำในแถลงการณ์ด้วยความรอบคอบระมัดระวังมากขึ้นอีก สำหรับเหตุผลที่สนับสนุนการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% ของเฟดในการประชุมรอบวันที่ 27-28 มีนาคม 2549 สามารถสรุปได้ดังนี้ :-

เครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯโดยรวมยังคงให้ภาพในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ แม้ทิศทางการปรับตัวจะยังไม่ชัดเจนนัก
จากการประกาศเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลในช่วงต้นปี 2549 จะได้ว่า เครื่องชี้ส่วนใหญ่ให้สัญญาณการขยายตัวของเศรษฐกิจในเชิงบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาส 4/2548 ที่สหรัฐฯต้องเผชิญกับเหตุการณ์ภัยธรรมชาติจากพายุ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจมีการขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นเหนือระดับศักยภาพในช่วง 3.0-3.5% ได้ โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ ได้แก่

? จีดีพี ไตรมาส 4/2548 (Preliminary หรือทบทวนเป็นครั้งที่สอง) ขยายตัว 1.6% (q-o-q annualized) โดยแม้จะเป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงอย่างมากจากไตรมาส 3/2548 ที่ 4.1% แต่ก็เพิ่มขึ้นจากอัตราการขยายตัวที่ 1.1% ตามการประกาศในครั้งแรก (Advance) อีกทั้ง เมื่อคิดอัตราการขยายตัวทั้งปี 2548 เทียบต่อปีแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯก็เติบโตถึง 3.6% ซึ่งเป็นขอบบนของระดับศักยภาพ และนับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง

? การจ้างงานนอกภาคการเกษตร เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยเพิ่มขึ้น 2.43 แสนตำแหน่ง ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2549 เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.065 แสนตำแหน่งต่อเดือน (การจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.70 แสนตำแหน่ง) สะท้อนภาพการเติบโตของตลาดแรงงานที่ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ขนาดการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานเฉลี่ยดังกล่าวยังมากกว่า 1.50 แสนตำแหน่งต่อเดือนซึ่งเป็นระดับการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานที่มีความเหมาะสมกับการขยายตัวของประชากรแรงงานด้วย

? ดัชนีภาคการผลิตและภาคการบริการของสถาบันจัดการด้านอุปทาน ISM (Institute for Supply Management) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ดัชนี ISM ทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการมีระดับที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว โดยดัชนีภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 56.7 ในเดือนกุมภาพันธ์ ขยับขึ้นจาก 54.8 ในเดือนมกราคม ส่วนดัชนีภาคการบริการอยู่ที่ระดับ 60.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นจาก 56.8 ในเดือนมกราคม

? การผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนกุมภาพันธ์ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวจากเดือนก่อน 0.7% เทียบกับที่หดตัวลง 0.3% ในเดือนมกราคม ขณะที่ อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 81.2% จาก 80.8% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นสัญญาณในเชิงบวกต่อแนวโน้มการลงทุนในระยะข้างหน้า

? ยอดค้าปลีก ในเดือนกุมภาพันธ์ หดตัวลงจากเดือนก่อน 1.3% เทียบกับที่ขยายตัว 2.9% ในเดือนมกราคม โดยได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นมากขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อเทียบกับในเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการขยายตัวของยอดค้าปลีกในช่วง 2 เดือนแรกของปี ยังนับว่ามีระดับที่น่าพอใจอยู่ ทั้งนี้ จากการที่การปรับตัวของยอดค้าปลีก ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องชี้การใช้จ่ายผู้บริโภค มักจะมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางด้านฤดูกาล ทั้งช่วงเทศกาลต่างๆ และสภาพภูมิอากาศ ทำให้การพิจารณาตัวแปรนี้จำเป็นต้องมีความระมัดระวังพอสมควร

? ภาคอสังหาริมทรัพย์ การเติบโตอย่างมากของภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งได้รับผลบวกมาจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำในช่วงที่ผ่านมา นับว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่เกื้อหนุนการใช้จ่ายภาคเอกชนและสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อเนื่องมาเป็นเวลานานโดยเฉพาะในปี 2548 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์อาจมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงในปี 2549 จากการเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งเครื่องชี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายตัว อาทิ ยอดการจองซื้อบ้าน (Pending home sales) และดัชนีการยื่นขอจำนองบ้าน (MBA Mortgage applications survey) รวมทั้งล่าสุด ยอดขายบ้านใหม่ (New home sales) ในเดือนกุมภาพันธ์ที่หดตัวลงอย่างมากถึง 10.5% จากเดือนก่อนหน้า ก็สะท้อนสัญญาณการชะลอตัวลงของภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การประกาศข้อมูลยอดขายบ้านมือสองในเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวเกินคาดที่ 5.5% ได้ทำให้นักวิเคราะห์คาดหวังว่า การชะลอตัวลงของภาคอสังหาริมทรัพย์คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว ก็คาดว่าจะเป็นผลดีต่อการใช้จ่ายภาคเอกชนสหรัฐฯในระยะต่อไป

แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ยังคงมีอยู่ แต่อยู่ในกรอบที่เฟดควบคุมได้

จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯทั้งทางด้านผู้บริโภคและผู้ผลิตมีระดับที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ใกล้ขอบบนของกรอบที่เฟดไม่กังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ (1.5-2.0%) สะท้อนถึงแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ยังคงมีอยู่ แต่ก็ยังไม่น่าเป็นกังวลจนเกินไปนัก โดย

? อัตราเงินเฟ้อทางด้านผู้บริโภค ในเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI Inflation) อยู่ที่ระดับ 3.6% (y-o-y) ลดลงจาก 4.0% ในเดือนมกราคม ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI Inflation) อยู่ที่ระดับ 2.1% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน

? อัตราเงินเฟ้อทางด้านผู้ผลิต ในเดือนกุมภาพันธ์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline PPI Inflation) สำหรับสินค้าขั้นสุดท้าย (finished goods) อยู่ที่ระดับ 3.8% (y-o-y) ชะลอตัวลงจาก 5.7% ในเดือนมกราคม ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PPI Inflation) อยู่ที่ระดับ 1.7% เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในเดือนก่อน

ท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่าน แม้จะมีทิศทางที่ไม่ชัดเจน แต่โดยรวมก็ยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
จากแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 รวมถึงสุนทรพจน์ต่อสาธารณชนของเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ในโอกาสต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า เฟดยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่เฟดบางท่านที่แสดงความเป็นห่วงต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด เพราะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ย Fed Funds น่าจะเข้าใกล้ช่วงสูงของระดับที่มีความเป็นกลาง (neutral) แล้ว ก็ตาม ทั้งนี้ ตามแถลงการณ์ต่อสภาคองเกรสในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะยังคงเติบโตอยู่ในกรอบอัตราการขยายตัวที่มีศักยภาพต่อไปในปี 2549 และ 2550 ขณะที่ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้และไม่น่าเป็นกังวลจนเกินไปนัก

ประมาณการเครื่องชี้เศรษฐกิจตามแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสในเดือน ก.พ. ของเฟด

ตัวเลขจริง ปี 2548 คาดการณ์ ปี 2549 คาดการณ์ ปี 2550
Nominal GDP 6.2% 5.5-6.0% 5.0-5.75%
Real GDP 3.1% ประมาณ 3.5% 3.0-3.5%
Core CPE 1.9% ประมาณ 2.0% 1.75-2.0%
Jobless rate 5.0% 4.75-5.0% 4.75-5.0%

ที่มา: The Dismal Scientist

หมายเหตุ: ตัวเลขในตารางเป็นอัตราการขยายตัวในไตรมาส 4 ของปีนี้เทียบกับปีก่อนสำหรับเครื่องชี้ทุกตัว ยกเว้นอัตราการว่างงาน หรือ Jobless rate ที่เป็นค่าเฉลี่ยในไตรมาส 4 ของปี

ตลาดล่วงหน้าได้ปรับตัวรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ของเฟดในการประชุมวันที่ 27-28 มีนาคมนี้ ไปแล้วอย่างเต็มที่

อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ล่วงหน้า หรือ Fed Funds Futures ณ วันที่ 24 มีนาคม 2549 ได้บ่งชี้ว่า ตลาดได้มีการปรับตัวตอบรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีก 0.25% มาที่ 4.75% ของเฟดในการประชุมวันที่ 27-28 มีนาคมนี้ไปแล้วด้วยความเป็นไปได้ (probability) ที่ใกล้ 100% นอกจากนี้ แม้การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อของเฟด อาจจะขึ้นอยู่กับทิศทางการปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯในระยะข้างหน้าเป็นหลัก แต่ตลาดล่วงหน้าก็คาดว่าเฟดอาจจะมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% มาที่ 5.00% ในการประชุมรอบต่อไปวันที่ 10 พฤษภาคม ด้วยความเป็นไปได้ประมาณ 83%

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อและการคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด คงจะมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีก 0.25% จาก 4.50% มาที่ 4.75% ในการประชุมรอบที่ 2 ของปีวันที่ 27-28 มีนาคม ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อครั้งเป็นรอบที่ 15 ติดต่อกันนับตั้งแต่ที่เฟดได้เริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน 2547 ทั้งนี้ เหตุผลที่สนับสนุนการคาดการณ์ดังกล่าว ได้แก่ การปรับตัวของเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะมีทิศทางที่ไม่ชัดเจนนัก แต่โดยรวมก็ยังคงให้ภาพในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ

ประกอบกับ แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ยังคงมีอยู่ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เฟดดูแลได้ ตลอดจน ท่าทีหรือแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านที่ยังแสดงความมั่นใจต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะข้างหน้า สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อของเฟดในการประชุมรอบต่อๆ ไปนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า นอกเหนือจากแถลงการณ์หลังการประชุมซึ่งจะสะท้อนถึงมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจของเฟดแล้ว ตลาดการเงินทั่วโลกคงจะจับตาการประกาศข้อมูลเครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯในระยะข้างหน้าเพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ต่อไป โดยล่าสุด ณ วันที่ 24 มีนาคม 2549 การปรับตัวของตลาดล่วงหน้าได้บ่งชี้ว่า ตลาดคาดว่าเฟดอาจจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ต่ออีก 0.25% มาที่ 5.00% ในการประชุมรอบต่อไปวันที่ 10 พฤษภาคม ด้วยความเป็นไปได้ประมาณ 83% ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็มีความเห็นในทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยคาดว่าเฟดอาจจะขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 5.00% ภายในครึ่งแรกของปี 2549 ก่อนที่จะหยุดนโยบายขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยไว้ต่อจากนั้น และรอพิจารณาแนวโน้มการปรับตัวของเศรษฐกิจมหภาคโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ว่าจะชะลอตัวลงมากน้อยเพียงใด

ด้านผลกระทบจากการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาที่ 4.75% ในการประชุมวันที่ 27-28 มีนาคมนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกคงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะน่าจะเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ในขณะที่ ประเด็นที่มีความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจไทย คงจะได้แก่ (1) แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดยแม้ว่าค่าผลต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ อาจจะเปลี่ยนแปลงจาก 0% มาเป็นติดลบ 0.25% แต่ปัจจัยดังกล่าวก็คงจะไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในระยะใกล้ เพราะเท่าที่ผ่านมา แถลงการณ์หรือการแสดงความคิดเห็นของธปท.มักจะให้น้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นหลักมากกว่า นอกจากนี้ ทั้งเงินบาทและทุนสำรองทางการระหว่างประเทศในปัจจุบันก็ยังคงมีระดับที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับปลายปี 2548 ที่ผ่านมา และ (2) การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า แม้ว่าเงินบาทอาจจะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความยืดเยื้อของปัญหาทางการเมืองในประเทศ แต่เงินบาทก็น่าที่จะได้รับแรงหนุนเช่นเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาคส่วนใหญ่ อันเป็นผลจากการที่นักลงทุนเริ่มจะหันมาให้น้ำหนักมากขึ้นตามลำดับกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก ทั้งธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางยุโรป ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจมีแนวโน้มเข้าใกล้ระดับสูงสุดในไม่ช้านี้แล้ว ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (Consensus Forecasts) ในเดือนมีนาคมที่รวบรวมโดย Consensus Economic Inc. เงินบาทอาจมีระดับปิด ณ ปลายปี 2549 ที่ 38.99 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับ ณ ปลายปี 2548 ที่ 41.07 บาท/ดอลลาร์ฯ และ 39.14 ณ วันที่ 24 มีนาคม 2549