พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย มีกำหนดเดินทางเข้าร่วมการประชุมผู้นำระหว่างประเทศอาเซียนกับจีน (ASEAN-China Commemorative Summit) ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2549 ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและจีนครบรอบ 15 ปี นับว่าเป็นการเดินทางเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย
ในความสัมพันธ์ 15 ปี ระหว่างอาเซียนกับจีนที่ผ่านมา นอกจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจแล้ว อาเซียนและจีนมีความร่วมมือด้านสังคมและการเมืองด้วย เช่น ความร่วมมือด้านภาคเกษตร เทคโนโลยี-สารสนเทศ การขนส่ง พลังงาน สุขภาพ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การพัฒนาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งส่งเสริมการเจรจา 6 ฝ่ายในประเด็นเรื่องนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี การต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากร ข้ามชาติ การป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก
ด้านเศรษฐกิจ จีนถือเป็นคู่ค้าสำคัญของอาเซียน และเป็นประเทศแรกที่อาเซียน ลงนามจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ด้วย แม้ว่าในขณะนี้ความตกลง FTA ฉบับนี้ครอบคลุมเฉพาะการค้าสินค้า แต่อาเซียนและจีนตั้งเป้าหมายให้ขยายไปสู่การเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนในอนาคต คาดว่าการเจรจาเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนจะได้ข้อสรุปและเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน-จีนในเดือนธันวาคม ศกนี้ ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ จะส่งผลให้อาเซียนและจีนเป็นเขตการค้าเสรีที่ครอบคลุมทุกๆ ด้านภายในปี 2553 ประชากรของอาเซียนและจีนรวมกันราว 1,800 ล้านคน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกันมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย GDP ของจีนมากกว่า GDP ของอาเซียนกว่าเท่าตัว นับว่าเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ASEAN-China FTA) เป็นกลุ่มความร่วมมือภูมิภาค (Regional Trading Arrangement : RTA) ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากสหภาพยุโรปและเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ตามลำดับ
จีนเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของอาเซียนในปัจจุบันและมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทต่ออาเซียนเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2550 ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องด้วยตัวเลข 2 หลัก ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ในเดือนกันยายน 2549 ว่า เศรษฐกิจจีนในปี 2549-2550 จะเติบโตปีละ 10% จากการเติบโตในอัตรา 10.1% ในปี 2547 และ 10.2% ในปี 2548 นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองต่างประเทศมากเป็นอันดับ 1 ของโลก จากการส่งออกสินค้าของจีนที่เติบโตเฉลี่ยถึง 30% ต่อปีในระหว่างปี 2545-2548 ทำให้ดุลการค้าเกินดุลติดต่อกันหลายปี เป็นผลจากการที่จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในเดือนธันวาคม 2544 จีนได้เปิดตลาดภายในประเทศ และปรับระบบการค้าให้มีความเป็นสากลมากขึ้น ส่งผลเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง การค้าระหว่างประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นประเทศที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงในตลาดโลก
เปิดเสรีการค้า : ระวังไทยขาดดุลกับจีนพุ่ง
อาเซียนลงนามความตกลงเปิดเสรี (FTA) ด้านการค้าสินค้ากับจีนเป็นประเทศแรก ในบรรดาประเทศคู่เจรจาต่างๆ ของอาเซียนรวม 10 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย รัสเซีย ปากีสถาน และกลุ่มสหภาพยุโรป จากความคิดริเริ่มของนายกรัฐมนตรีจูหรงจีของจีน ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน-จีน เดือนพฤศจิกายน 2543 ให้จัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับจีน โดยความตกลงนี้ได้เริ่มมีผลบังคับใช้โดยการลดภาษีสินค้าระหว่าง 2 ฝ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 ซึ่ง ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้อาเซียนและจีนเป็นเขตปลอดภาษีระหว่างกันภายในปี 2553
การค้าอาเซียน-จีน – อาเซียนมีมูลค่าการค้ากับจีนคิดเป็นสัดส่วน 10.9% ของการค้าทั้งหมดของอาเซียน ในปี 2548 จากปี 2543 ที่การค้าระหว่างอาเซียนกับจีนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 4.4% ของการค้าทั้งหมดของอาเซียน ในขณะที่จีนมีมูลค่าการค้ากับอาเซียนในปี 2548 คิดป็นสัดส่วน 9.2% ของการค้าทั้งหมดของจีน รองจากสหภาพยุโรป (สัดส่วน 15.3%) สหรัฐฯ (14.9%) ญี่ปุ่น (13%) และฮ่องกง (9.6%) โดยอาเซียนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 5 ของจีน (สัดส่วน 7.5% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน) และเป็นประเทศที่จีนนำเข้าเป็นอันดับที่ 4 (สัดส่วน 11.1%)
จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ของจีน ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2549 มูลค่าการค้าอาเซียน-จีนรวม 100,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้คาดว่ามูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับจีน (ส่งออก+นำเข้า) น่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือมีมูลค่ามากกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2553 เนื่องจากจีนและประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไนฯ จะต้องลดภาษีสินค้าส่วนใหญ่ราวกว่า 90% ให้เหลือในอัตรา 0-5% ภายในปี 2553 ส่วนประเทศจีนและประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม จะลดภาษีสินค้าส่วนใหญ่เหลือ 0-5% ในปี 2558 ทั้งนี้ในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน สิงคโปร์มีมูลค่าการค้ากับจีนมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
การค้าระหว่างไทย-จีน – แม้มูลค่าการส่งออกของไทยไปจีนเพิ่มขึ้น 55.5% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จาก 236,057 ล้านบาท ในปี 2546 เป็น 367,405 ล้านบาท ในปี 2548 แต่การนำเข้าของไทยจากจีนเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่า โดยมีอัตราขยายตัว 78% จาก 251,071 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 448,990 ล้านบาท ในปี 2548 ส่งผลให้ไทยยังคงขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง และยอดขาดดุลเพิ่มขึ้นรวดเร็ว โดยมูลค่าการ ขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นจาก 15,013 ล้านบาท ในปี 2546 เป็น 43,907 ล้านบาท ในปี 2547 และ 81,585 ล้านบาท ในปี 2548 สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้ากับจีน 67,570 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปี 2548 ที่มียอดขาดดุลการค้า 69,585 ล้านบาท เนื่องจากการชะลอตัวของการนำเข้าของไทยจากจีนที่เพิ่มขึ้น 16.7% เทียบกับปี 2548 ที่ขยายตัวถึง 36%
สาเหตุที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากการดำเนินการลดภาษีภายใต้ FTA อาเซียน-จีน เนื่องจากสินค้านำเข้าส่วนใหญ่ของไทยจากจีนเป็นสินค้าทุน (สัดส่วน 45% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากจีน) ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ส่วนสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป ไทยนำเข้าจากจีนคิดเป็นสัดส่วน 40% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย ที่สำคัญ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เหล็ก/เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ การนำเข้าสินค้าทั้งสองหมวด คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 85% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทยจากจีน โดยไทยนำเข้ามาเพื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปสำหรับส่งออก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาการลดภาษีศุลกากรของไทยที่ให้กับสินค้าทุนและวัตถุดิบนำเข้าจากจีน ภายใต้การจัดทำ FTA อาเซียนกับจีน ช่วยให้ต้นทุนวัตถุดิบและสินค้าทุนนำเข้าจากจีนที่ใช้ในการผลิตสินค้าลดต่ำลง ส่งผลให้สินค้าทุนและวัตถุดิบที่นำเข้าจากจีนมีราคาถูกกว่าสินค้าประเภทเดียวกันของประเทศอื่นๆ มีส่วน ทำให้ความต้องการสินค้าดังกล่าวจากจีนเพิ่มขึ้น
แม้ไทยได้รับผลดีจากการลดภาษีของไทยให้กับสินค้านำเข้าจากจีนที่ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบและสินค้าทุนต่ำลง แต่ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหลายประเภทได้รับผลกระทบจากการถูกสินค้าจีนตีตลาด เนื่องจากสินค้าจีนราคาถูกและได้รับการลด/ยกเว้นภาษีศุลกากรนำเข้ามาไทย ทำให้มีศักยภาพการแข่งขันด้านราคาในไทยมากขึ้น ที่สำคัญ เช่น
– – รองเท้าและเครื่องหนัง ตลาดภายในประเทศถูกสินค้ารองเท้าและเครื่องหนังราคาถูกจากจีนตีตลาด เนื่องจากต้นทุนการผลิต/ค่าแรงงานของจีนถูกกว่า ประกอบกับไทยได้ลดภาษีสินค้าเครื่องหนังนำเข้าจากจีนเหลืออัตราภาษี 20% ตั้งแต่ 20 กรกฎาคม 2548 เทียบกับอัตราเดิม 30-40% และจะทยอยลดภาษีลงเหลือ 0% ในปี 2553 ตามข้อตกลง FTA อาเซียน-จีน จึงมีแนวโน้มว่าสินค้าเครื่องหนังของจีนจะขยายตลาดในไทยได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป จากปัจจุบันที่จีนเป็นประเทศที่ไทยนำเข้ารองเท้าเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของรองเท้าที่นำเข้าทั้งหมดของไทย โดยไทยนำเข้ารองเท้าจากจีนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 24% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2546-2548) คาดว่า ไทยยังคงนำเข้ารองเท้าจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ไทยนำเข้ารองเท้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 66% ด้วยมูลค่า 1,557 ล้านบาท จาก 935 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2548
– – สิ่งทอ – ไทยต้องลดภาษีสิ่งทอและเสื้อผ้าให้จีนจากเฉลี่ย 21.5% ก่อนเริ่มจัดทำ FTA เป็น 16.9% ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 และจะเหลือ 10% ในวันที่ 1 มกราคม 2550 และ 0% ในปี 2553 ทำให้ สิ่งทอและเสื้อผ้าจากจีนไหลเข้ามาไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันไทยนำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากจีนมากเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 43.6% ของการนำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าทั้งหมดของไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ไทยนำเข้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากจีนมูลค่า 2,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.8% จาก 1,948 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2548 และที่สำคัญจีนยังใช้ช่องทางส่งออกจากอาเซียนไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หลังจากที่จีนถูกสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปใช้มาตรการปกป้องพิเศษ (Safeguard Measure) จำกัดการนำเข้าสิ่งทอและเสื้อผ้าจากจีน เมื่อโควตาสิ่งทอภายใต้ WTO ถูกยกเลิกไปในวันที่ 1 มกราคม 2548 ส่งผลให้จีนส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอไปทั่วโลกได้มากขึ้น ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2549 การส่งออกสิ่งทอของจีนไปโลกยังคงขยายตัว 24.7%
เมื่อพิจารณาด้านการส่งออกของไทยไปจีนปรากฏว่า มูลค่าสินค้าส่งออกของไทยไปจีน 1 ใน 5 เป็นการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่สำคัญอันดับ 2 ของไทย รองจากสหรัฐฯ แต่การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปจีนหดตัว 8.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปจีนขยายตัวถึง 62% คู่แข่งส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบจากประเทศอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ส่วนสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีนอื่นๆ ได้แก่ ยางพารา เคมีภัณฑ์ และพลาสติก น้ำมันดิบ และแผงวงจรไฟฟ้า เป็นที่น่าสังเกตว่า สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าขั้นต้นและสินค้าขั้นกลางที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ เช่น ยางพารา เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก ซึ่งจีนต้องการนำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าสำเร็จรูป
นอกจากนี้ สินค้าส่งออกที่มีศักยภาพของไทย ได้แก่ ข้าวและยางพารา ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหวสูงของจีน ภายใต้ FTA อาเซียน-จีน ทำให้ไทยยังไม่ได้รับประโยชน์ด้านภาษีสำหรับการส่งออกสินค้าทั้งสองรายการ โดยจีนยังคงภาษียางพาราในอัตราเดิมที่ 20% และข้าวในอัตราเดิมที่ 40-65% จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2558 ยิ่งไปกว่านั้นสินค้าส่งออกของไทยไปจีนยังต้องเผชิญกับ การแข่งขันกับสินค้าส่งออกของประเทศอาเซียนด้วยกันเอง ได้แก่ สินค้าคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ยางพาราจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย และข้าวจากเวียดนาม ทำให้ผู้ประกอบการไทยจะต้องพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ พัฒนากระบวนการผลิต เพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนโลจีสติกส์ เพื่อให้สินค้าไทยมีความสามารถทางการแข่งขันมากขึ้น
เปิดเสรีภาคบริการ/การลงทุน : โอกาสธุรกิจบริการไทยในจีน
นอกจากการเปิดเสรีการค้าสินค้าแล้ว อาเซียนและจีนตั้งเป้าหมายขยายการเปิดเสรีไปสู่ภาคบริการและการลงทุนในอนาคต คาดว่าการเจรจาเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนจะได้ข้อสรุปและเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน-จีนในเดือนธันวาคม ศกนี้ ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ หากพิจารณาภาคบริการของจีน ยังไม่มีความสามารถทางการแข่งขันมากนัก เนื่องจากยังถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบและข้อกำหนดต่างๆ ทั้งนี้ ภาคบริการของจีนมีความสำคัญ คิดเป็นสัดส่วนราว 41% ของ GDP ในขณะที่ภาคบริการของไทยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของ GDP สาขาที่สำคัญของภาคบริการจีน ได้แก่ ค้าปลีก ค้าส่ง การท่องเที่ยว และการขนส่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จีนจะเกินดุลการค้าสินค้าอย่างมหาศาล แต่จีนกลับ ขาดดุลการค้าภาคบริการมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม การขาดดุลการค้าภาคบริการของจีนมีมูลค่าน้อยกว่าการเกินดุลการค้าสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาลส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนเกินดุลอย่างต่อเนื่อง
จีนเป็นประเทศที่ส่งออกและนำเข้าภาคบริการมีมูลค่ามากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยส่งออกภาคบริการมูลค่า 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 คิดเป็นสัดส่วน 3.3% ของการส่งออกภาคบริการทั่วโลกที่มีมูลค่า 2,415 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 และการนำเข้าภาคบริการของจีนมีมูลค่า 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 คิดเป็นสัดส่วน 3.6% ของการนำเข้าภาคบริการของโลกที่มีมูลค่า 2,361 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 โดยมีสหรัฐฯ เป็นประเทศผู้ส่งออกและนำเข้าภาคบริการอันดับ 1 ของโลก
จีนพยายามพัฒนาปรับปรุงกฎระเบียบภาคบริการและการลงทุน โดยปฏิรูปกฎหมายภายในให้มีความเป็นสากลมากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เช่น ปรับปรุงกฎหมายล้มละลายให้มีมาตรฐานระหว่างประเทศโดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเจ้าหนี้เป็นอันดับแรก ถือเป็นกฎหมายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจแบบตลาด และเป็นก้าวสำคัญของการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบตลาดของจีน จากเดิมที่กฎหมายล้มละลายของจีนกำหนดให้บริษัทที่ล้มละลายต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้กับพนักงานก่อนที่จะจ่ายให้กับกลุ่มเจ้าหนี้ นอกจากนี้ จีนต้องเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนเพิ่มเติมตามข้อผูกพันที่จีนให้ไว้กับ WTO เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกของ WTO ในสาขาต่างๆ รวมถึงสาขาการเงินที่จีนจะต้องเปิดเสรีเพิ่มเติมภายในเดือนธันวาคม 2549 ในกิจกรรมบริการหลายๆ ด้าน เช่น การยกเลิกข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ (geographic restrictions) สำหรับการให้บริการเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งเดิมจีนอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างชาติทำธุรกิจบริการเงินสกุลท้องถิ่นได้จำกัดเฉพาะบางเมืองเท่านั้น นอกจากนี้ จีนยังจะต้องอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างชาติให้บริการเงินสกุลท้องถิ่นกับลูกค้าคนจีนทุกประเภท รวมทั้งยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของ (ownership) การดำเนินงาน และรูปแบบของนิติบุคคลของสถาบันการเงินต่างประเทศ รวมถึงการจัดตั้งสาขา และการให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เห็นว่า จากแนวโน้มที่จีนจะต้องเปิดประเทศรับ นักลงทุนต่างประเทศในธุรกิจภาคบริการมากขึ้นตามกฎระเบียบของ WTO รวมทั้งการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีนที่อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่สำคัญในเดือนธันวาคม 2549 นี้ ส่งผลให้กฎระเบียบของจีนที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าไปลงทุนจัดตั้งธุรกิจแขนงบริการในจีนของนักลงทุนอาเซียนรวมทั้งไทยมีแนวโน้มผ่อนคลายลง เปิดโอกาสให้นักลงทุนจากอาเซียนรวมทั้งไทยเข้าไปจัดตั้งธุรกิจในจีนได้สะดวกยิ่งขึ้น
ธุรกิจที่มีแนวโน้มสดในในตลาดจีน ได้แก่ ธุรกิจด้านท่องเที่ยวและสุขภาพ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม สปา นวดแผนไทย และบริษัทนำเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในจีนปี 2548 ราว120 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2548 สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศราว 29,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2548 รวมทั้ง นักธุรกิจต่างชาติจำนวนมากที่เดินทางเข้าไปจีนเพื่อติดต่อทางธุรกิจการค้า แสวงหาลู่ทางการลงทุน ส่งผลให้ธุรกิจบริการแขนงต่างๆ มีแนวโน้มขยายตัวตามไปด้วย เพื่อรองรับความต้องการของชาวต่างชาติในจีน เช่น ร้านอาหาร โรงแรม สปา และนวดแผนไทย ฯลฯ นอกจากนี้ รายได้ที่สูงขึ้นของคนจีนส่งผลให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น อำนาจซื้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการบริการต่างๆ ขยายตัวเช่นกัน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ธุรกิจให้บริการนำเที่ยวมีแนวโน้มสดใสในจีน เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในปัจจุบันมีจำนวนปีละราว 31 ล้านคน นับว่านักท่องเที่ยวชาวจีนมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมด้านท่องเที่ยวของโลก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอย่างรวดเร็ว คาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านคนในปี 2020 การดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยมากขึ้นจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของไทยและสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ขณะนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศอาเซียนในแต่ละปีมีจำนวนราว 3 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 5.8% ของนักท่องเที่ยวในอาเซียนทั้งหมด ถือว่านักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมายังอาเซียนมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจาก ญี่ปุ่น ที่มีจำนวน 3.65 ล้านคน ในปี 2548 ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้มีจำนวนราว 2.6 ล้านคน ในปี 2548 สิงคโปร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวจีนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุดในอาเซียน รองลงมา ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ตามลำดับ
นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทยในปี 2548 มีจำนวนราว 780,000 คน และในช่วง 3 เดือนแรกปี 2549 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นถึง 130% จากจำนวน 121,000 คนในช่วงเดียวกันปี 2548 เป็นจำนวน 278,343 คน นับว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยมีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในช่วง 3 เดือนแรกปี 2549 เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศทั้งหมดในช่วง 3 เดือนแรกปี 2549 มีจำนวน 775,520 คน เพิ่มขึ้น 12% จากจำนวน 692,522 คน ในช่วงเดียวกันปี 2548 การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น นอกจากปัจจัยสำคัญจากเศรษฐกิจจีนที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้รายได้และความเป็นอยู่ของชาวจีนเพิ่มขึ้น ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนในต่างประเทศจึงเพิ่มขึ้น ไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทั้งด้านธรรมชาติและแหล่งชอปปิ้งที่มีชื่อเสียง จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทยมากขึ้น
นอกจากการดำเนินการลดภาษีศุลกากรเพื่อเปิดเสรีการค้าสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีน การเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับจีนกำลังก้าวไปสู่ระดับที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น จากการเจรจาเพื่อเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน การเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนของอาเซียนและจีน โดยการลดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบและข้อกำหนดต่างๆ ในการเข้ามาลงทุนและให้บริการชาวต่างชาติ จะก่อให้เกิดการจัดตั้งธุรกิจ การจ้างงาน และการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างกันมากยิ่งขึ้น การเข้าร่วมประชุมผู้นำอาเซียน-จีน เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบ 15 ปี ของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีของไทย ในระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม ศกนี้ ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะประเทศสมาชิกหนึ่งของอาเซียน แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุน การรวมกลุ่มเศรษฐกิจทางภูมิภาคระหว่างอาเซียนและจีน ที่จะกระชับการดำเนินการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของอาเซียนและจีนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป
สรุป
แม้การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียนกับจีน ส่งผลดีต่อการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปของไทยจากจีน จากอัตราภาษีของไทยที่ลดลง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของไทยต่ำลง แต่ขณะเดียวกันการนำเข้าจากจีนที่ขยายตัวมากส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการลดภาษีศุลกากรของไทยให้กับจีนยังส่งผลให้สินค้านำเข้าสำเร็จรูปจากจีนหลายรายการไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น เช่น รองเท้า เครื่องหนัง เสื้อผ้า และสิ่งทอ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในธุรกิจเหล่านี้ที่ต้องปรับตัวแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากจีนอีกด้วย
ด้านการส่งออกของไทยไปจีน แม้การส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่สินค้าส่งออกไทยไปจีนส่วนใหญ่เป็นสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางซึ่งมีมูลค่าเพิ่มต่ำ ซึ่งจีนนำเข้าสินค้าเหล่านี้จากไทยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้า ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าส่งออกที่มีศักยภาพของไทย ได้แก่ ข้าวและยางพารา ยังไม่ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีของจีนภายใต้ FTA อาเซียน-จีน เนื่องจากสินค้าดังกล่าวอยู่ในกลุ่มสินค้าอ่อนไหวสูงของจีน จึงใช้เวลาลดภาษีนาน 7-10 ปี รวมทั้งต้องเผชิญกับการแข่งขันกับสินค้าชนิดเดียวกันของประเทศอาเซียนในตลาดจีน ได้แก่ ยางพาราจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย และข้าวจากเวียดนาม ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกของไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับสินค้าส่งออกจากประเทศอาเซียนเช่นกัน เช่น สินค้าคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ผู้ประกอบการส่งออกไทยไปจีนจึงต้องปรับตัวต่อการแข่งขันกับสินค้าส่งออกของประเทศอาเซียนในอาเซียนด้วยกันเองในตลาดจีน รวมทั้งแข่งขันกับสินค้าจากจีนในประเทศอื่นๆ ด้วย
ภาคบริการและการลงทุนของจีนที่มีแนวโน้มเปิดตลาดมากขึ้นภายใต้ข้อผูกพันของ WTO และการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีนภายใต้ FTA อาเซียน-จีน ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนธันวาคม 2549 ส่งผลให้ธุรกิจไทยมีโอกาสเข้าไปจัดตั้งธุรกิจให้บริการในจีนมากขึ้น จากการลดข้อจำกัดและกฎระเบียบด้านการลงทุนจัดตั้งธุรกิจของจีน จึงมีแนวโน้มที่ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพ เช่น บริการนำเที่ยว ทัวร์สุขภาพ (Health Tourism) ธุรกิจสปา ร้านอาหาร และโรงแรม เป็นต้น จะมีโอกาสสดใสในการเข้าไปจัดตั้งธุรกิจให้บริการดังกล่าวในจีนมากขึ้น เนื่องจากอำนาจซื้อของคนชั้นกลางจีนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งความต้องการใช้บริการด้านสุขภาพและความงาม สร้างโอกาสการทำกำไรจากการประกอบธุรกิจดังกล่าว และนำรายได้กลับเข้าประเทศเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของรายได้จากการส่งออกภาคบริการของไทย เพื่อชดเชยกับการขาดดุลการค้าสินค้าของไทยกับจีนที่มีมูลค่าขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


