— บริษัทมีรายได้รวม 2.38 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9% ตามที่รายงานก่อนหน้านี้
— รายได้จากการบริการทั่วโลกเพิ่มขึ้น 10% รายได้จากซอฟท์แวร์เพิ่มขึ้น 13%
— กำไรต่อหุ้นปรับลดอยู่ที่ 1.55 ดอลลาร์ ซึ่งรวมรายได้จากการขายแผนก Printing Systems Division กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.50 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15% หากไม่รวมรายได้ดังกล่าว
— ผลกำไรเบื้องต้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นไตรมาสที่ 12 ติดต่อกัน
บริษัทไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) ประกาศในวันนี้ว่า กำไรต่อหุ้นปรับลดจากการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสองของปี 2550 อยู่ที่ 1.55 ดอลลาร์ ซึ่งรวมกำไร 5 เซนต์ต่อหุ้นสำหรับรายได้ก่อนหักภาษีจำนวน 81 ล้านดอลลาร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขายแผนก Printing Systems Division (PSD) หรือเพิ่มขึ้น 19% ตามที่รายงานก่อนหน้านี้ โดยเทียบกับกำไรต่อหุ้นปรับลดที่ 1.30 ดอลลาร์ในไตรมาส 2/49 ทั้งนี้หากไม่รวมกำไร 5 เซนต์ต่อหุ้น จะทำให้กำไรต่อหุ้นปรับลดในไตรมาส 2/50 อยู่ที่ 1.50 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
รายรับในไตรมาสสองที่ได้จากการดำเนินงานต่อเนื่องอยู่ที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมรายรับจากการขาย PSD โดยเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ 2.0 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2/49 ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้จากการขาย PSD จะทำให้รายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่องจำนวน 2.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง เพิ่มขึ้น 167 ล้านดอลลาร์ หรือ 8% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน รายได้รวมของไตรมาส 2/50 อยู่ที่ 2.38 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 9% (6% เมื่อปรับตามค่าเงิน) จากไตรมาส 2/49
ซามูเอล เจ. พาลมิซาโน ประธานกรรมการ ประธาน และซีอีโอของบริษัทไอบีเอ็มกล่าวว่า “การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้ในไตรมาสนี้ ซึ่งดีที่สุดนับแต่ปี 2544 เน้นย้ำให้เห็นถึงความสามารถระดับโลกของไอบีเอ็ม รวมถึงการที่ลูกค้าให้การยอมรับในผลิตภัณฑ์ประเภทซอฟท์แวร์และบริการต่างๆที่เรานำเสนอมากขึ้น”
“นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผลการดำเนินงานโดยรวมของเราได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและความสามารถของเราในการบรรลุผลกำไรและการสร้างเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อช่วงต้นปี เราได้อธิบายให้นักลงทุนของเราทราบถึงเป้าหมายระยะยาวของไอบีเอ็มในการสร้างอัตราเติบโตของกำไรต่อหุ้นจนถึงปี 2553 ผลประกอบการครึ่งปีแรกของเราสะท้อนกระบวนการที่แข็งแกร่งของปัจจัยต่างๆในแผนการนี้ ได้แก่ การเติบโตของกำไร การเพิ่มมาร์จิ้น และการเติบโตของรายได้ในสาขาหลักๆ”
เมื่อพิจารณาตามภูมิภาค ธุรกิจในทวีปอเมริกาในช่วงไตรมาสสองมีรายได้ 10.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% ตามรายงาน (5% เมื่อปรับค่าเงิน) จากปี 2549 ส่วนรายได้จากยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกาอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% (6% เมื่อปรับค่าเงิน) ขณะที่เอเชีย-แปซิฟิคมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% (10% เมื่อปรับค่าเงิน) แตะ 4.6 พันล้านดอลลาร์ และรายได้จากกลุ่ม OEM อยู่ที่ 852 ล้านดอลลาร์ ลดลง 9%จากไตรมาสสองปี 2549
รายได้รวมจากการให้บริการทั่วโลก (Global Services) ขยายตัว 10% (7% เมื่อปรับค่าเงิน) นำโดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รายได้จากกลุ่ม Global Business Services เพิ่มขึ้น 10% (8% เมื่อปรับค่าเงิน) แตะระดับ 4.3 พันล้านดอลลาร์ และรายได้ในกลุ่ม Global Technology Services เพิ่มขึ้น 10% (7% เมื่อปรับค่าเงิน) แตะระดับ 8.8 พันล้านดอลลาร์ ไอบีเอ็มได้ลงนามสัญญาด้านการบริการมูลค่ารวม 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบเป็นรายปี และปิดท้ายไตรมาสสองด้วยการบริการจำนวนมาก ซึ่งรวมถึง Strategic Outsourcing, Business Transformation Outsourcing, Integrated Technology Services, Global Business Services and Maintenance คิดเป็นมูลค่า 1.16 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
รายได้จากกลุ่ม Systems and Technology (S&TG) มีมูลค่ารวม 5.1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 2% (ทรงตัวเมื่อปรับค่าเงิน) โดยรายได้ของกลุ่ม S&TG จากผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ System p UNIX เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากเซิร์ฟเวอร์ System x เพิ่มขึ้น 16% รายได้จาก System z โตขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการส่งมอบเครื่องประมวลผล System z ซึ่งมีหน่วยเป็น MIPS (ล้านคำสั่งต่อวินาที) เพิ่มขึ้น 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ขณะที่รายได้จากเซิร์ฟเวอร์ System i ลดลง 15% รายได้จาก System Storage เพิ่มขึ้น 6% และรายได้จาก Microelectronics ลดลง 9%
รายได้จากธุรกิจซอฟท์แวร์อยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% (9% เมื่อปรับค่าเงิน) เทียบกับช่วงไตรมาสสองของปีก่อน รายได้จากผลิตภัณฑ์จากผลิตภัณฑ์มิดเดิลแวร์ของไอบีเอ็ม ซึ่งในเบื้องต้นรวมถึง WebSphere, Information Management, Tivoli, Lotus และ Rational อยู่ที่ 3.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสสองของปีก่อน รายได้จากระบบปฏิบัติการอยู่ที่ 568 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์ในตระกูล WebSphere ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถของลูกค้าในการจัดการความหลากหลายของกระบวนการทางธุรกิจโดยใช้มาตรฐานแบบเปิดเพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ ข้อมูล และระบบปฏิบัติการนั้น มีรายได้เพิ่มขึ้น 28% ขณะที่รายได้สำหรับซอฟท์แวร์ Information Management ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลได้ตามต้องการนั้น เพิ่มขึ้น 21% รายได้จากซอฟท์แวร์ Tivoli ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์พื้นฐานที่ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารเครือข่าย ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยและความจุของพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเป็นส่วนกลางนั้น เพิ่มขึ้น 33% และรายได้สำหรับซอฟท์แวร์ Lotus ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถทำงานร่วมกันและส่งข้อความในการจัดการการสื่อสารและความรู้แบบเรียลไทม์นั้น เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนรายได้จากซอฟท์แวร์ Rational ซึ่งเป็นเครื่องมือครบวงจรที่ใช้ปรับปรุงขั้นตอนการพัฒนาซอฟท์แวร์นั้น เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
กลุ่ม Global Financing มีรายได้เพิ่มขึ้น 4% (1% เมื่อปรับค่าเงิน) แตะ 597 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสสองของปีนี้
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นทั้งหมด 41.8% ในไตรมาสสองปี 2550 เทียบกับ 41.2% ในช่วงเดียวกันของปี 2549 โดยนับเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นไตรมาสที่ 12 ติดต่อกันเมื่อเทียบเป็นรายปี
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดและรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น 11% แตะ 6.8 พันล้านดอลลาร์เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 12% ถ้าไม่นับรวมรายได้จากการขายกลุ่ม PSD ขณะที่ค่าใช้จ่ายในกลุ่ม SG&A เพิ่มขึ้น 15% แตะ 5.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนค่าใช้จ่ายในกลุ่ม RD&E เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มขึ้นแตะ 246 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 188 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ส่วน (รายได้) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่รายได้ 253 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสองปีนี้ ซึ่งรวมรายได้จากการขายกลุ่ม PSD เทียบกับรายได้ 196 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสองของปีก่อน และถ้าไม่รวมรายได้ดังกล่าว จะเท่ากับ 172 ล้านดอลลาร์
อัตราภาษีที่ใช้ในการคำนวณของไอบีเอ็มในไตรมาสสองปี 2550 อยู่ที่ 28.0% เทียบกับ 30.0% ในไตรมาสสองปีก่อน ถ้าไม่รวมรายได้จากการขาย PAD อัตราภาษีในไตรมาสสองจะอยู่ที่ 28.5% เทียบกับ 30.0% ในปีที่แล้ว
การซื้อหุ้นคืนในไตรมาสสองมีมูลค่าประมาณ 1.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นมูลค่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ผ่านการทำข้อตกลงการซื้อหุ้นคืนในเดือนพ.ค. การซื้อหุ้นคืนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการซื้อหุ้นคืนที่ได้รับการอนุมัติโดยบอร์ดบริหารของไอบีเอ็มเมื่อวันที่ 24 เม.ย.
สำหรับหุ้นสามัญที่ปรับลดคงเหลือจากการเฉลี่ยโดยวิธีถ่วงน้ำหนักในไตรมาสสองปีนี้ อยู่ที่ 1.46 พันล้านหุ้น เทียบกับ 1.56 พันล้านหุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2549 และ ณ วันที่ 30 มิ.ย.2550 หุ้นสามัญพื้นฐานคงเหลือมีจำนวน 1.36 พันล้านหุ้น
หนี้สิน ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Global Financing มีจำนวนทั้งสิ้น 3.47 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับ 2.27 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว จากมุมมองของฝ่ายบริหาร สัดส่วนหนี้สินต่อเงินทุนในภาค non-global financing อยู่ที่ 46.7% ณ วันที่ 30 มิ.ย.2550 ซึ่งเป็นผลมาจากข้อตกลงการซื้อหุ้นคืน ทั้งนี้หนี้สินของกลุ่ม Global Financing เพิ่มขึ้น 658 ล้านดอลลาร์จากสิ้นปี 2549 สู่ระดับ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 7.0 ต่อ 1
ผลประกอบปี 2550 ณ ปัจจุบัน
รายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่องในช่วงเวลา 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2550 อยู่ที่ 4.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรายได้จากการขายกลุ่ม PSD โดยเทียบกับ 3.7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน กำไรต่อหุ้นปรับลดจากการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง อยู่ที่ 2.75 ดอลลาร์ เทียบกับ 2.37 ดอลลาร์ในปี 2549 ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้จากการขายกลุ่ม PSD รายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2550 อยู่ที่ 4.0 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นปรับลดที่ 2.70 ดอลลาร์ สำหรับรายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกมีอยู่ทั้งสิ้น 4.58 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% (5% เมื่อปรับค่าเงิน) เทียบกับ 4.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2549
แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าและเชิงเตือน
นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตและคำพูดที่ปรากฏในที่นี้ ข้อความต่างๆที่อยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้อาจเป็นแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าตามความหมายของกฎหมายปฏิรูปการฟ้องร้องคดีหลักทรัพย์ส่วนบุคคล พ.ศ. 2538 (Private Securities Litigation Reform Act of 1995) ดังนั้น แถลงการณ์เหล่านี้จึงมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่นๆที่อาจทำให้ผลที่แท้จริงแตกต่างไปอย่างมาก ซึ่งรวมถึงความล้มเหลวของบริษัทในการพัฒนาและวางตลาดผลิตภัณฑ์และบริการที่มีการคิดค้นใหม่ๆ และการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความกดดันด้านการแข่งขัน ความล้มเหลวต่อการได้รับหรือปกป้องสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา ความผันผวนในแต่ละไตรมาสของรายรับและความผันผวนของราคาหุ้น ความสามารถของบริษัทที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสำคัญไว้ ผลกระทบที่ร้ายแรงจากประเด็นเรื่องภาษี ความผันผวนของค่าเงินและความเสี่ยงด้านการสนับสนุนทางการเงินของลูกค้า ความเสี่ยงด้านสินเชื่อของลูกค้าต่อบัญชีลูกหนี้การค้า ความล้มเหลวของบริษัทต่อการรักษาความเพียงพอของการควบคุมภายใน การใช้การคาดการณ์และการประมาณการณ์บางอย่างของบริษัท การพึ่งพาซัพพลายเออร์บางราย การเปลี่ยนแปลงของภาวะทางการเงินและธุรกิจของผู้แทนจัดจำหน่ายหรือผู้จำหน่ายต่อของบริษัท ความสามารถของบริษัทในการจัดการการซื้อกิจการและการรวมกลุ่มพันธมิตรอย่างประสบความสำเร็จ ความล้มเหลวที่จะมีการประกันที่เพียงพอ ภาวะทางกฎหมาย การเมือง สุขภาพและเศรษฐกิจ ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์ของไอบีเอ็ม รวมทั้งความเสี่ยง ความไม่แน่นอนและปัจจัยอื่นๆที่ได้มีการระบุไว้ในเอกสาร Form 10-Q, Form 10-K และเอกสารอื่นๆที่บริษัทได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) หรือในข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้เพื่อการอ้างอิง ทั้งนี้ บริษัทไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ
การนำเสนอข้อมูลในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้
เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทตามที่กำหนดโดยมาตรฐานบัญชีสากล (GAPP) บริษัทยังได้เปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับ GAPP ดังต่อไปนี้ ซึ่งฝ่ายบริหารเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ผลการดำเนินงานของไอบีเอ็ม
— ผลประกอบการปัจจุบันได้ถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคลอ้งกับรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการขายธุรกิจ Printing Systems
— มีการปรับตามค่าเงิน (ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่)
เหตุผลสำหรับการใช้เกณฑ์ที่ไม่ใช่ GAPP ของฝ่ายบริหารถูกบรรจุรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเสริมที่ถูกนำเสนอไว้ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ซึ่งรายงานดังกล่าวมีการเผยแพร่ไว้ในส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ของไอบีเอ็มที่เว็บไซท์ www.ibm.com/investor และจะถูกรวมไว้ในเอกสารแนบ Attachment II (ข้อมูลเสริมที่ไม่ใช่ GAAP) ในเอกสาร Form 8-K ที่มีข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้รวมอยู่ด้วย และจะถูกยื่นต่อ SEC ในวันนี้
การประชุมทางไกลและการถ่ายทอดการประชุมผ่านเว็บ
ไอบีเอ็มจะจัดการประชุมทางไกลแถลงผลประกอบการรายไตรมาส โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 16.30 น.ตามเวลาฝั่งตะวันออกในวันนี้ ซึ่งนักลงทุนอาจมีส่วนร่วมได้ด้วยการชมการประชุมผ่านเว็บ (Webcast) ที่ www.ibm.com/investor/1q07 โดยจะมีการนำเสนอผลประกอบการในรูปแผนภูมิทางเว็บไซท์ก่อนการถ่ายทอดการประชุมผ่านเว็บ