การสร้างภาพลักษณ์ให้กับพรรคการเมืองหรือตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งผ่านสื่อทุกประเภทน่าจะเป็นการเพิ่มสีสัน และกระตุ้นให้สถานการณ์ธุรกิจโฆษณาไทยกระเตื้องขึ้นได้บ้างในครึ่งหลังปี 2550 ภายหลังจากที่เม็ดเงินหมุนเวียนของธุรกิจโฆษณาผ่านสื่อในช่วงครึ่งแรกปี 2550 อยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน อันเนื่องมาจากปัจจัยลบหลายประการรุมกระหน่ำต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและต้นทุนของผู้ประกอบการ ส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการหลายรายลดการใช้จ่ายงบโฆษณาลง ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินภาวะธุรกิจโฆษณาใน 2550 และวิเคราะห์แนวโน้มของธุรกิจโฆษณาในปี 2551 ดังต่อไปนี้
ภาพรวมธุรกิจโฆษณาปี 2550 : ครึ่งแรกชะลอตัว…ส่อแววกระเตื้องขึ้นในครึ่งหลัง
อัตราการขยายตัวของยอดการใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อในช่วง 9 เดือนแรกปี 2550 มีการปรับตัวในทิศทางที่ชะลอตัวลง จากรายงานของบริษัทนีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช (ประเทศไทย) พบว่าเม็ดเงินโฆษณาในช่วง 9 เดือนแรกปี 2550 มีค่าประมาณ 67,297 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน นับเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตกับช่วงเดียวกันในหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเป็นรายไตรมาสในรอบปี 2550 ก็พบว่าเม็ดเงินโฆษณาในไตรมาสสามมีมูลค่าสูงที่สุดด้วยเงินหมุนเวียน 23,663 ล้านบาท และยังมีอัตราการเติบโตที่สูงสุดด้วยในอัตราร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (ดังรายละเอียดในตารางที่ 1) ซึ่งสอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนโดยรวมของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่กระเตื้องขึ้นในไตรมาสสามปี 2550 โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในไตรมาสสามปี 2550 ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งก็ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1-2 ของปี 2550
ในปี 2550 สื่อที่นับเป็นตัวชูโรงของการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาโดยรวม ก็คือสื่อโรงภาพยนตร์และสื่อภายในห้างร้านค้าที่สามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีสวนกระแสภาพรวม โดยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2550 เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโรงภาพยนตร์มีอัตราการเติบโตร้อยละ 158.7 ขณะที่สื่อภายในห้างร้านค้าเติบโตร้อยละ 125.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ด้วยมูลค่าเม็ดเงินหมุนเวียนที่รวมกันแล้วมีเพียง 3,615 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.4 ของเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในช่วง 9 เดือนแรกปี 2550 เท่านั้น จึงทำให้ไม่สามารถผลักดันให้ยอดใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อโดยรวมในช่วงเวลาดังกล่าวขยายตัวเพิ่มขึ้นได้มากนัก ขณะที่สื่อหลัก เช่น สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อหนังสือพิมพ์ และสื่อนิตยสาร ซึ่งครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 89 ของเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในช่วงเวลาดังกล่าว ล้วนได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง เพราะเจ้าของสินค้าหลายรายต่างปรับตัวด้วยการลดต้นทุนและการใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อหลักข้างต้นที่มีราคาแพง ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่เข้มงวดมากขึ้นในส่วนของการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขนมขบเคี้ยวผ่านสื่อโทรทัศน์ ทำให้บรรดาเอเยนซี ผู้จัดรายการและเจ้าของสินค้าต่างต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อหลัก หรือบางรายก็หันไปใช้การจัดกิจกรรมการตลาด ณ จุดขาย หรือสื่อ Below the line เพิ่มมากขึ้นแทน รวมถึงช่องทางใหม่ๆอย่างอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในช่วงไตรมาสสามปี 2550 เติบโตเพิ่มขึ้นนั้น พบว่าเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การทำงานของเจ้าของสื่อประเภทต่างๆ โดยเฉพาะสื่อหลักเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงรูปแบบของรายการทางโทรทัศน์ รูปเล่มภายนอกของหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร เนื้อหาสาระของรายการที่นำเสนอหรือตีพิมพ์ รวมถึงการขยายช่องทางการสื่อสารไปยังสื่ออื่นๆเพิ่มขึ้นอย่างสื่อโรงภาพยนตร์ และสื่อในห้างร้านค้า นอกเหนือจากสื่อหลักอย่างโทรทัศน์และวิทยุ เป็นต้น ขณะเดียวกันในช่วงปลายไตรมาส3ต่อเนื่องถึงไตรมาส4ยังเป็นช่วงเวลาของการรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆภายหลังที่มีความชัดเจนจากรัฐบาลที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป(ส.ส.)ในช่วงปลายปี 2550 ที่คาดว่าน่าจะสร้างความคึกคักแก่วงการโฆษณาในปีนี้พอสมควร เพราะนอกจากจะมีระยะเวลาไม่มากนักในการหาเสียงที่แต่ละพรรคต้องเร่งทุ่มงบประมาณแล้ว พรรคการเมืองที่เกิดใหม่เป็นจำนวนมากในครั้งนี้ก็จำเป็นต้องเร่งสร้างชื่อ และประกาศนโยบายพรรคให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มประชาชนโดยเร็ว ส่วนพรรคเดิมก็ต้องเร่งสร้างความได้เปรียบและตอกย้ำให้เกิดการจดจำด้วยเช่นกัน ขณะที่ภาครัฐเองก็ต้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการรับรู้แก่ประชาชนผู้มีสิทธิ์ใช้เสียงเกี่ยวกับวันเลือกตั้งที่กำหนดเป็นวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และวิธีการลงคะแนนเลือกตั้งที่พบว่าครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่การเลือกตั้ง ส.ส.แบ่งเขต เคยเป็นแบบเขตเดียวเลือกได้เบอร์เดียว มาเป็นเขตเดียวเลือกได้ 3 คน ยกเว้นแต่เขตเลือกตั้งใดที่มี ส.ส.ได้ 2 คน แต่ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้น่าจะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในวงการโฆษณาผ่านสื่อประเภทต่างๆประมาณ 300- 400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3-0.4 ของเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในปี 2550 เท่านั้น เพราะส่วนหนึ่งพรรคการเมืองต่างๆถูกจำกัดวงเงินการใช้จ่ายและมีความเข้มงวดมากขึ้นในแง่ของหลักเกณฑ์ในการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งพรรคการเมืองหลายรายก็ได้มีการวางแผนรับมือไว้แล้ว โดยในช่วงก่อนกฎหมายการเลือกตั้งประกาศใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2550 หลายพรรคการเมืองได้มีการใช้งบผ่านสื่อโทรทัศน์และวิทยุ รวมถึงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างกันไปบ้างแล้ว ขณะที่ในช่วงเวลาที่เหลือหรือนับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2550 เป็นต้นมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้มีการวางหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อกลางแจ้งอย่างประกาศหรือ แผ่นป้าย คาดว่าสื่อที่น่าจะได้รับสนใจจากพรรคการเมืองได้แก่สื่อที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ อย่างสื่อหนังสือพิมพ์ รวมถึงสื่อสมัยใหม่อย่างอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ปัจจุบันสามารถทดแทนได้เกือบสมบูรณ์กับสื่อวิทยุ และโทรทัศน์ อีกทั้งยังสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ด้วย
สำหรับในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี นอกจากสื่อแต่ละประเภทจะได้รับอานิสงส์จากงบโฆษณาเลือกตั้งทั้งของหน่วยงานภาครัฐ และพรรคการเมืองเข้ามากระตุ้นการใช้จ่ายงบโฆษณาผ่านสื่อมากขึ้นแล้ว ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปียังเป็นช่วงเวลาของการเร่งกระตุ้นยอดขายสินค้าและบริการของผู้ประกอบการเพื่อให้บรรลุเป้าที่ตั้งไว้ด้วย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่าเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อที่เติบโตร้อยละ 1.2 ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2550 น่าจะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 2-5 เมื่อถึงสิ้นปี 2550
ถึงแม้ว่าในปีนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์การใช้สื่อเข้มงวดมากขึ้น( จากเดิมที่เคยคุมเข้มเฉพาะการใช้สื่อวิทยุ และโทรทัศน์ของพรรคการเมือง แต่ในปีนี้ได้ครอบคลุมถึงสื่อป้ายโฆษณาด้วย) และแนวทางการรณรงค์หาเสียงเพื่อสัมผัสกับประชาชนโดยตรงจะยังคงเน้นรูปแบบของการจัดเวทีปราศรัย และการจัดขบวนรถปราศรัย แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการหาเสียงผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ ก็น่าจะเป็นอีกแนวทางที่ทวีบทบาทเพิ่มมากขึ้นตามลำดับในเวทีการเมืองของไทยในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อข้อมูลข่าวสารมากขึ้น โดยนับจากวันนี้เป็นต้นไปประชาชนทั่วประเทศคงจะต้องเตรียมรับข้อมูลจากทั้งภาครัฐ และแต่ละพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของผู้สมัคร หลักการหรือนโยบายของพรรคผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายในระยะ 7-8 วันก่อนการเลือกตั้ง และมีความเป็นไปได้ว่าสงครามโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งในปี 2550 น่าจะดุเดือดเข้มข้นอย่างแน่นอน ซึ่งผู้ตัดสินในเกมการแข่งขันของการโฆษณาผ่านสื่อและการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิใช้เสียงเลือกตั้งนั่นเอง
สถานการณ์และแนวโน้มธุรกิจโฆษณาในปี 2551
สำหรับแนวโน้มธุรกิจโฆษณาในปี 2551 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการที่ประเทศไทยมีการจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยมาบริหารประเทศนั้น น่าจะส่งผลบวกต่อบรรยากาศโดยรวมของเศรษฐกิจประเทศไทยในระดับหนึ่ง ทั้งในด้านการบริโภค และการลงทุน เพราะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในเชิงรุกมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็น่าจะกระตุ้นให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการกลับตัวฟื้นสูงขึ้น และนำไปสู่การขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนมากขึ้นได้ในปี 2551 ส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการเจ้าของสินค้าเกิดความมั่นใจและกล้าตัดสินใจใช้จ่ายงบโฆษณามากขึ้นและเร็วขึ้นตามมา ในขณะเดียวกันบรรดาสื่อโฆษณาต่างๆโดยเฉพาะสื่อหลักเองก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของสื่อ ทั้งในส่วนของเนื้อหาและรูปแบบ รวมถึงบุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดให้ผู้ซื้อสื่อหันไปใช้บริการเพิ่มขึ้น เพราะหากสื่อประเภทใดหรือเจ้าของสื่อประเภทต่างๆรายใดสามารถครองใจผู้บริโภคได้มากกว่าก็ย่อมได้รับความสนใจจากผู้ซื้อสื่อหรือเจ้าของสินค้าเพิ่มขึ้นตามมา โดยมีความเป็นไปได้สูงว่าการแข่งขันของธุรกิจโฆษณาในปี 2551 น่าจะมาในรูปของโฆษณาแฝง(Product Placement) มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประกอบฉากในรายการประเภทข่าว ละคร เกมโชว์ หรือทอล์กโชว์ในสื่อโทรทัศน์ หรือการเข้าไปเป็นผู้ให้การสนับสนุนในการจัดกิจกรรมนอกสถานที่หรือท่องเที่ยวในสื่อวิทยุสถานีต่างๆ เป็นต้น ตลอดจนการมีมหกรรมฟุตบอลยูโร และการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า ก็น่าจะส่งผลให้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมทางการตลาดคึกคักพอสมควรในปี 2551
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งในปลายปี 2550 แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองอยู่ โดยเฉพาะหน้าตาของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ อีกทั้งการที่ได้รัฐบาลใหม่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้โดยอัตโนมัติ เพราะยังมีอีกหลายๆปัญหาที่รอการแก้ไข และอาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตดีขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา โดยมีความเป็นไปได้ว่าในระยะแรกเริ่มของปี 2551 เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ระดับราคาสินค้าจำเป็นต่อการยังชีพที่มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากแรงกดดันของระดับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในปี 2551 มากกว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า และอัตราดอกเบี้ยที่ยังผันผวน รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่ยังคงมีความเข้มงวดทั้งในส่วนของการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขนมขบเคี้ยวผ่านสื่อโทรทัศน์ หรือแม้แต่การที่เศรษฐกิจสหรัฐซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยชะลอตัวก็คาดว่าจะมีผลไม่น้อยต่อรายได้ของกลุ่มผู้ส่งออกสินค้าประเภทต่างๆของไทย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวล้วนมีผลให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจยากขึ้นในปีหน้า และน่าจะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของธุรกิจโฆษณาในปี 2551 ตามมาด้วย ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าในระยะสั้นการวางแผนรุกตลาดในปี 2551 ของบรรดาผู้ประกอบการหรือเจ้าของสินค้าน่าจะเป็นไปในลักษณะที่มีการเพิ่มความระมัดระวังการใช้งบโฆษณาผ่านสื่อพอสมควรเพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนในระยะยาวนั้นความคุ้มค่าและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงผ่านสื่อหรือการจัดกิจกรรม ณ จุดขายที่โดนใจกลุ่มลูกค้ายังคงเป็นสิ่งที่เจ้าของสินค้าและบริการต่างคาดหวังจากสื่อประเภทต่างๆ รวมถึงผลงานการสร้างสรรค์ของบรรดาเอเยนซีด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การที่เม็ดเงินโฆษณาในปี 2551 จะเติบโตเป็นเลขสองหลักเหมือนดังเช่นในอดีตก่อนปี 2548 นั้นไม่น่าจะง่ายนัก แต่โอกาสที่จะกระเตื้องขึ้นจากปี 2550 ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงกว่า หรือในระดับที่เกินกว่าร้อยละ 4 ยังพอมีความเป็นไปได้
บทสรุป
เมื่อถึงเทศกาลเลือกตั้ง สนามเลือกตั้งเปรียบเสมือนเป็นสมรภูมิรบ ที่ผู้ลงชิงชัยแต่ละรายต่างมุ่งหวังจะช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสนามต่อสู้ทางการเมือง และยิ่งในยุคดิจิตอลเช่นปัจจุบันพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งเกือบทุกพรรคต่างจำเป็นต้องหันมาชิงไหวชิงพริบกันโดยอาศัยสื่อทุกประเภทเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรณรงค์หาเสียง นอกเหนือจากการหาเสียงด้วยวิธีเคาะประตูบ้าน หรือการจัดเวทีปราศรัย ซึ่งจะมีการกำหนดตำแหน่งหรือจุดยืนของพรรคโดยอาศัยจุดแข็งของพรรคเป็นแกน ผสมผสานกับภาพหรือประโยคกินใจที่ออกมาในรูปของป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และการโฆษณาทางโทรทัศน์และวิทยุ รวมถึงโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆเพื่อให้ประชาชนเกิดความประทับใจ และเลือกกากบาทให้พรรคหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละราย ด้วยเหตุนี้การสร้างภาพลักษณ์ให้กับพรรคการเมืองหรือตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งผ่านสื่อทุกประเภทจึงกลายมาเป็นหัวใจของการนำเสนอนโยบายที่ได้ผลมากที่สุดอีกวิธีหนึ่งในปัจจุบัน และนับเป็นปัจจัยบวกที่ไม่สามารถมองข้ามได้ที่น่าจะกระตุ้นให้สถานการณ์ธุรกิจโฆษณาไทยในปี 2550 กระเตื้องขึ้นได้บ้างภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายปัจจัยด้วยกันตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมือง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ที่มีส่วนกดดันให้เจ้าของสินค้าและบริการหลายรายปรับลดต้นทุนเพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งการปรับลดงบโฆษณาในสื่อหลักที่มีต้นทุนสูง หรือการหันมาใช้สื่อที่มีต้นทุนต่ำลงแทนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มักจะได้รับการพิจารณาเป็นระดับต้นๆในการตัดสินใจของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2550 เม็ดเงินโฆษณาจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 92,000-94,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2-5 ขณะที่ในปี 2551 มีแนวโน้มจะกระเตื้องขึ้นได้ด้วยอัตราการเติบโตที่น่าจะสูงกว่าปี 2550 หรือในระดับที่เกินกว่าร้อยละ 4 โดยอาศัยปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่มีแนวโน้มฟื้นกลับมา แต่การที่เม็ดเงินโฆษณาในปี 2551 จะเติบโตเป็นเลขสองหลักเหมือนดังเช่นในอดีตก่อนปี 2548 นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ต้องพึงระวังอีกหลายปัจจัยด้วยเช่นกัน


