เศรษฐกิจจีนในปี 2550 เติบโตถึงร้อยละ 11.4 ซึ่งเกินกว่าระดับที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ และถือเป็นอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 นี้เศรษฐกิจจีนต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากปัจจัยจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในปี 2551 จะชะลอลงเหลือร้อยละ 9.4 (ปรับตัวลดลงร้อยละ 2 จากปี 2550) หลังจากเติบโตเกินร้อยละ 10 ต่อปี ติดต่อกันมา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ปัจจัยหลักสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในปีนี้มาจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดการคาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2551 เหลือร้อยละ 0.5 จากเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวร้อยละ 1.5 อันเป็นผลจากปัญหาสินเชื่อตึงตัวในภาคการเงินที่เกิดจากปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ (ซับไพร์ม) ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายรายเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ขณะที่ประธานธนาคารกลางของสหรัฐฯ ส่งสัญญาณยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำมากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
แม้ว่าเศรษฐกิจจีนอาจมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามสหรัฐฯ แต่การส่งออกของไทยไปยังจีนในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมานั้นยังคงขยายตัวได้ดี โดยมีอัตราขยายตัวเกือบร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปี 2550 ซึ่งถือว่าสูงกว่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในช่วงเดียวกันที่ขยายตัวในอัตราร้อยละ 24.5 และสูงกว่าการส่งออกของไทยไปจีนทั้งปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 26.5 ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากเหตุการณ์พายุหิมะถล่มจีนในช่วงต้นปีนี้ส่งผลให้ปริมาณอาหารของจีนลดลง ทำให้จีนต้องนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศต่างๆ และไทยมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยจากระดับราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่สูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปี 2550 เทียบกับทั้งปี 2550 ที่การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปจีนขยายตัวร้อยละ 8
การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ & ภาวะเงินเฟ้อของจีน : ปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจจีนปี 2551
เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่พึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ รวมทั้งประเทศจีนด้วย เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 1 ของจีน คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 31 ของการส่งออกทั้งหมดของจีน
(1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอ/แนวโน้มถดถอย : กระทบส่งออกจีน
การส่งออกทั้งหมดของจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2551 ชะลอตัวลงโดยขยายตัวในอัตราร้อยละ 16.8 ถือว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2545 ที่อัตราการขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 20 โดยมีสาเหตุสำคัญจากการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 1 ของจีนที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ขณะที่การนำเข้าของจีนจากสหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนของปี 2551 ขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น (ร้อยละ 30.9) ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 64 จาก 39.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีก่อนหน้า เป็น 28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของจีนไปยังตลาดหลักอื่นๆ ยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาเซียน (ขยายตัวร้อยละ 21.9) สหภาพยุโรป (ร้อยละ 26) ญี่ปุ่น(ร้อยละ 20.8) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 66.9) ฮ่องกง (ร้อยละ 23.9) และเกาหลีใต้ (ร้อยละ 14.2)
ภาคการส่งออกถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน การส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อม (จีนส่งออกสินค้าไปประเทศที่สามเพื่อใช้ผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ) ของจีนไปสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.2 ของการส่งออกทั้งหมดของจีน นับว่าการพึ่งพิงการส่งออกของจีน (ทางตรงและทางอ้อม) ไปสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ไต้หวัน อินเดีย เกาหลีใต้ ไทย และสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ของจีน มีความสำคัญต่อ GDP ของจีน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.7 ซึ่งนับว่าไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับประเทศเอเชียอื่นๆ อย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ นอกจากนี้ การส่งออกโดยรวมของจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 37 ของ GDP ถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับไทยที่การส่งออกของไทยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 62 ของ GDP ขณะที่ภาคการลงทุนของจีนคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 42 ของ GDP และภาคการบริโภคของจีนคิดเป็นสัดส่วนถึงราวร้อยละ 50 ของ GDP
จากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าแม้การชะลอตัวของการส่งออกของจีนอันเป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2551 จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง แต่ภาคเศรษฐกิจภายในประเทศจีนซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ได้แก่ ภาคการลงทุนและการบริโภคยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับปัญหาท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในช่วงต้นปีจากเหตุการณ์พายุหิมะ แต่คาดว่าภาวะเงินเฟ้อทั้งปีจะสูงขึ้นจากปี 2550 ไม่มากนัก ขณะที่ภาคการลงทุนและการบริโภคของจีนที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องแม้ว่าจะมีอัตราชะลอตัวลงในปีนี้ จะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
(2) ภาวะเงินเฟ้อ : ท้าทายเศรษฐกิจจีน
อัตราเงินเฟ้อของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2550 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2539 และเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 7.1 ในเดือนมกราคม 2551 และร้อยละ 6.5 ในเดือนธันวาคม 2550 ปัจจัยสำคัญเนื่องจากราคาอาหารที่สูงขึ้นจากสภาพอากาศที่เลวร้ายที่ถล่มพื้นที่ตอนใต้ของจีน ส่งผลให้ปริมาณอาหารลดลง รวมทั้งกระทบต่อระบบขนส่งและทำให้กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวขาดแคลนด้วย ซึ่งส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อที่ราคาอาหารและราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน โดยการขยายตัวของยอดค้าปลีกปรับตัวลดลงเป็นร้อยละ 19 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 จากในช่วง 2 เดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 20 ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นของจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจของจีนซึ่งกดดันให้ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลให้กำไรของธุรกิจลดลง กระทบต่อความสามารถทางการเงินในการลงทุนขยายธุรกิจ ซึ่งการลงทุนในภาคธุรกิจและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนเริ่มมีสัญญาณที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลง
การลงทุนภาคสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24.3 ในเดือนกุมภาพันธ์ จากร้อยละ 24 ในเดือนมกราคม 2551 แต่เมื่อพิจารณาการลงทุนที่แท้จริง (Real Investment) ที่ปรับด้วยเงินเฟ้อแล้วพบว่า การลงทุนแท้จริงชะลอตัวลงตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 และมีแนวโน้มว่าดัชนีการลงทุนของจีนอาจปรับตัวลดลงในระยะต่อไป เนื่องจากราคาในภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวลดลง และทางการจีนออกมาตรการจำกัดการให้สินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนโดยเฉพาะกองทุนเก็งกำไรต่างประเทศ รวมทั้งต้องการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน
สัญญาณเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลงพร้อมๆ กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น กดดันทางการจีนที่ยังไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่อาจต้องดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวนานขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะมีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากเงินเฟ้อของจีนที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงเนื่องจากอุปทานสินค้าในหมวดอาหารมีเสถียรภาพมากขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่คาดการณ์ว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว รวมถึงมาตรการฉุกเฉินของสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย นอกจากนี้ หากพิจารณาพื้นฐานเศรษฐกิจจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐสำหรับโครงการขยายการลงทุนก่อสร้างถนน สนามบินและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจีสติกส์ต่างๆ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนน่าที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ว่าอาจชะลอตัวลงจากปี 2550 ที่ผ่านมาก็ตาม โดยคาดว่าอาจขยายตัวร้อยละ 9.0-10.0 เทียบกับร้อยละ 11.4 ในปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ ทางการจีนยังมีนโยบายให้ความยืดหยุ่นกับค่าเงินหยวนมากขึ้น โดยมีแนวโน้มว่าในปีนี้ทางการจีนจะปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากขึ้นเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ และจากแรงกดดันที่ลดลงของทางการจีนเนื่องจากดุลการค้าของจีนที่มีแนวโน้มเกินดุลลดลงในปีนี้ รวมทั้งเงินทุนไหลเข้าในตลาดหลักทรัพย์จีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ปรับลดลงร้อยละ 46 จากระดับสูงสุดในเดือนตุลาคม 2550) จึงทำให้คาดว่าภาวะเงินเฟ้อของจีนน่าที่จะปรับตัวลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน : กระทบการส่งออกของไทยไปจีน
จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย โดยการส่งออกของไทยไปจีนมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 รองจากตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ตามลำดับ การส่งออกของไทยไปจีนในปี 2550 ที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย หากพิจารณาสินค้าส่งออกของไทยไปจีนทั้งหมดในปี 2550 พบว่าเป็นการส่งออกของไทยไปจีนเพื่อใช้บริโภคภายในจีน (domestic demand) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.8 ขณะที่อีกร้อยละ 47.2 เป็นการส่งออกไปจีนเพื่อผลิตและส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม (re-export demand) ซึ่งสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของจีน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21 ของการส่งออกทั้งหมดของจีน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า แม้เศรษฐกิจจีนในปี 2551 มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่าผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปจีนน่าจะอยู่ในกรอบที่จำกัด เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของไทยไปจีนเป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อป้อนตลาดภายในประเทศซึ่งยังคงขยายตัว ในขณะที่ทางการจีนมีนโยบายใช้จ่ายสำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทดแทนการส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้ จึงคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมในปีนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องใกล้เคียงกับในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การส่งออกของไทยไปยังจีนเพื่อผลิตสำหรับการบริโภคภายในจีนนั้น มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปจีน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าส่งออกของไทยไปจีนซึ่งเป็นสินค้าขั้นกลางใช้สำหรับผลิตและส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบทั้งจาก (1) ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวหรืออาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ รวมทั้งจีนชะลอตัวลงด้วย และ (2) จากค่าเงินหยวนของจีนที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นของจีนและดุลการค้าของจีนที่มีแนวโน้มเกินดุลลดลงในปีนี้ ทำให้ทางการจีนอาจดำเนินนโยบายปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนที่ทางการจีนต้องการชะลอการเติบโตที่ร้อนแรงของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
การปล่อยให้ค่าเงินหยวนแข็งค่ามากขึ้นอาจกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าส่งออกจีนที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปจีนเพื่อใช้ผลิตส่งออกไปประเทศที่สามตามมาด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางการจีนจะดำเนินนโยบายทยอยปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็กของจีน นอกจากนี้ แม้ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ ทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำลง แต่จีนยังคงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตรวมถึงค่าแรงงานที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ จึงทำให้สินค้าส่งออกของจีนไม่น่าจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากการทยอยแข็งค่าของเงินหยวน
กล่าวโดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนซึ่งจีนใช้เป็นวัตถุดิบ/สินค้าขั้นกลางเพื่อผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสินค้าที่จีนนำเข้าจากไทยในกลุ่มดังกล่าวที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ได้แก่ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และเม็ดพลาสติก อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบโดยรวมจากการชะลอตัวดังกล่าวอาจมีไม่มากนัก เนื่องจากการส่งออกของไทยไปจีนเพื่อการบริโภคภายในจีนยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคภายในจีนที่ยังคงขยายตัวได้ ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมน่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าอาจขยายตัวร้อยละ 25.0 ใกล้เคียงกับร้อยละ 26.5 ในปี 2550 ที่ผ่านมา
บทสรุป
ปัจจัยท้าทายสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจจีนในปี 2551 ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงจนมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยและภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยตัวเลขเศรษฐกิจจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กุมภาพันธ์) ส่งสัญญาณชะลอตัวทั้งดัชนีภายนอกประเทศและดัชนีภายในประเทศ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าแม้การชะลอตัวของการส่งออกของจีนอันเป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2551 จะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง แต่ภาคเศรษฐกิจภายในประเทศจีนซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ได้แก่ ภาคการลงทุนและการบริโภคยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับปัญหาท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในช่วงต้นปีที่ส่งผลต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงต้นปีก็ตาม
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของจีนในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2550 ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2539 เนื่องจากราคาอาหารที่สูงขึ้นจากสภาพอากาศที่เลวร้ายที่ถล่มพื้นที่ตอนใต้ของจีน ส่งผลให้ปริมาณอาหารลดลง รวมทั้งกระทบต่อระบบขนส่งและความเพียงพอของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าวด้วย ส่งผลให้อัตราขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีนใน 2 เดือนแรกของปี 2551 ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะมีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากเงินเฟ้อของจีนที่คาดว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปทานสินค้าในหมวดอาหารที่น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่คาดการณ์ว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย นอกจากนี้ หากพิจารณาพื้นฐานเศรษฐกิจจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐสำหรับโครงการขยายการลงทุนก่อสร้างถนน สนามบินและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจีสติกส์ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศด้วย ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะยังคงขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 9.0-10.0 ในปี 2551 นี้ ชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ 11.4 ในปี 2550 ที่ผ่านมา
ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนต่อการส่งออกของไทยไปจีน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า แม้เศรษฐกิจจีนในปี 2551 มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่าผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปจีนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของไทยไปจีนเป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อการบริโภคในประเทศที่ยังคงขยายตัวได้ ประกอบกับทางการจีนมีนโยบายใช้จ่ายสำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทดแทนการส่งออกของจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้ จึงคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมในปีนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ การส่งออกของไทยไปยังจีนเพื่อผลิตสำหรับการบริโภคภายในจีนที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปจีนนั้น เป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าส่งออกของไทยไปจีนซึ่งเป็นสินค้าขั้นกลางใช้สำหรับผลิตและส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ที่สำคัญ เช่น คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และเม็ดพลาสติก อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวหรืออาจเข้าสู่ภาวะถดถอย นอกจากนี้ ปัจจัยท้าทายจากค่าเงินหยวนของจีนที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ อาจกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าส่งออกจีนที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปจีนเพื่อใช้ผลิตส่งออกไปประเทศที่สามตามมาด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางการจีนจะดำเนินนโยบายทยอยปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็กของจีน นอกจากนี้ แม้ค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปีนี้ แต่จีนยังคงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตรวมถึงค่าแรงงานที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ
กล่าวโดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนซึ่งจีนใช้เป็นวัตถุดิบ/สินค้าขั้นกลางเพื่อผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินค้าส่งออกของไทยที่มุ่งเน้นตลาดการบริโภคภายในประเทศของจีนน่าที่จะมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคภายในจีน ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมน่าจะยังคงเติบโตได้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกของไทยไปจีนในปี 2551 น่าจะขยายตัวได้ราวร้อยละ 25 ใกล้เคียงกับการส่งออกของไทยไปจีนในปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 26.5


