การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 8 ชาติหรือ จี-8 ประจำปี 2008 ที่เมืองโทยาโกะ เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2551 โดย 2 วันแรกเป็นการประชุมเฉพาะผู้นำจากกลุ่มจี-8 คือญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ รัสเซียรวมถึงประธานสหภาพยุโรป ส่วนวันที่ 9 กรกฎาคม 2551 ผู้นำจากประเทศนอกกลุ่มอีก 15 ชาติจะเข้าร่วมประชุมในวาระโลกร้อนและปัญหาความยากจนได้แก่ จีน บราซิล ออสเตรเลีย เม็กซิโก อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และผู้นำจากทวีปแอฟริกาอีก 8 ประเทศเช่น แอฟริกาใต้ คองโก เป็นต้น
วาระการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเช่น ปัญหาการเมืองซิมบับเว ปัญหานิวเคลียร์อิหร่านและเกาหลีเหนือ ปัญหาการก่อการร้าย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกจากภาวะสินเชื่อตึงตัว ปัญหาราคาพลังงานและอาหารแพง การพัฒนาและให้ความช่วยเหลือทวีปแอฟริการวมถึงการเจรจาการค้ารอบโดฮาใน WTO การประชุมจี-8 ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังคุกคามโลกอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้คาดการณ์กันว่า การประชุมจะสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกได้โดยเฉพาะปัญหาราคาอาหารแพง ส่วนการลดภาวะโลกร้อนอาจจะไม่มีความคืบหน้ามากนัก ทั้งนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดซึ่งล้วนมีนัยสำคัญต่อการประชุมทั้งสิ้น
ปัญหาเศรษฐกิจโลก ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีคลังจี-8 มีความเห็นร่วมกันว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีสาเหตุจากราคาน้ำมันและอาหารพุ่งสูง ในระยะสั้นนั้นภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพของประเทศทั่วโลกและอาจทำให้ประชาชนยากจนลง นอกจากนี้ราคาน้ำมันและอาหารแพงจากความต้องการที่ไม่สอดคล้องกับการผลิตอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงานในระยะยาว ที่ผ่านมามีข้อเสนอจากผู้นำประเทศต่างๆดังนี้
o ตั้งคณะทำงานด้านวิกฤตอาหาร มีภารกิจหลักคือ การหาแนวทางหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกที่กำลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและอาหารที่พุ่งสูง เรียกร้องให้หลายประเทศยกเลิกมาตรการจำกัดการส่งออกอาหาร การเปิดโอกาสให้ประเทศที่ขาดแคลนอาหารสามารถเข้าถึงอาหารจากประเทศร่ำรวยที่มีปริมาณอาหารล้นเกิน รวมถึงการสำรองอาหารระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนที่ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารแพง
o การจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะทวีปแอฟริกา ประธานสหภาพยุโรปเสนอให้นำเงินจากการอุดหนุนภาคเกษตรของประเทศสมาชิกประมาณ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เข้าร่วมสมทบ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นวาระการประชุมที่สำคัญของการประชุมวันสุดท้าย ขณะนี้การเจรจาปัญหาโลกร้อนอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับบทบาทของจี-8 ต่อการแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม ผู้นำทั้งในและนอกประเทศกลุ่มจี-8 ต่างมีท่าทีหลากหลายต่อประเด็นดังกล่าว อาทิ
o ท่าทีของญี่ปุ่นที่จะผลักดันให้ประเทศสมาชิกจี-8 ดำเนินนโยบายชุมชนคาร์บอนต่ำ(low carbon society) ในระยะสั้น กลางและยาว โดยระยะสั้น ผลักดันให้ผู้นำจี-8 แสดงจุดยืนบนเวทีนี้ต่อการเป็นผู้นำที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทศวรรษหน้า ตลอดจนร่วมกำหนดนโยบายและแนวทางแก้ไขปัญหาโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติโดยเฉพาะหลังจากพิธีสารเกียวโต(Kyoto Protocol) หมดอายุลงในปี 2555 ระยะกลาง เรียกร้องให้ประเทศทั่วโลกมีบทบาทสำคัญและมีส่วนร่วมในการร่างกรอบนโยบายและกระจายความรับผิดชอบไปสู่ประเทศก่อมลพิษเช่น จีน อินเดีย บราซิล เพื่อรองรับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอีก 10 ถึง 20 ปีข้างหน้า ซึ่งญี่ปุ่นเห็นว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วควรจะแบกรับภาระความรับผิดชอบสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ควรจะบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซได้ภายในปี 2563 ส่วนระยะยาว กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทันทีหลังจากพิธีสารเกียวโตหมดอายุลง โดยญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปเสนอให้มีการจำกัดการปล่อยก๊าซลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2593 ทั้งนี้ญี่ปุ่นมีแผนที่จะลดปริมาณคาร์บอนลง 60-80% จากระดับปัจจุบันภายในปี 2593 เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่นทั่วโลก
o ญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม(Sectoral approach) แทนการกำหนดนโยบายแบบครอบคลุม เพื่อรับมือกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะร่วมหารือถึงแนวทางการปรับใช้มาตรการซื้อขายคาร์บอน(carbon emission trading scheme) หรือการแสดงฉลากการปล่อยคาร์บอนบนตัวผลิตภัณฑ์(carbon footprint labeling) ที่สหภาพยุโรปมีการบังคับใช้
o การสนับสนุนด้านการเงินเพื่อจัดตั้งกองทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี โดยประเทศพัฒนาจะจัดสรรงบประมาณประเทศละ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสมทบเข้ากองทุนสำหรับช่วยเหลือประเทศเกิดใหม่ในการลดมลพิษ ส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีคาดกันว่าที่ประชุมจะทุ่มงบกว่าปีละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นภัยคุกคามที่สำคัญของโลก เช่นการวิจัยการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ใต้พื้นดิน
o ท่าทีต่อต้านอย่างหนักของสหรัฐอเมริกาทำให้คาดหมายกันว่า ความพยายามของญี่ปุ่นไม่สามารถคืบหน้าได้มากเท่าที่ควร ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาเห็นว่าการแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จและเวทีจี-8 อาจไม่เหมาะสมกับการตัดสินใจในประเด็นนี้ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่จำเป็นต้องมีประเทศเศรษฐกิจโตเร็วเข้าร่วมด้วย ประกอบกับท่าทีบนเวทีเจรจาของรัฐบาลประธานาธิบดีบุชที่ผ่านมามักหลีกเลี่ยงการลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมปริมาณการใช้พลังงานในระยะสั้นที่สหรัฐอเมริกามีการใช้อย่างมหาศาล ขณะเดียวกันกลับเรียกร้องให้ประเทศเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดียเข้าร่วมแผนควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศในระยะยาวเช่นเดียวกับประเทศในกลุ่มจี-8
o สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันอาจชะลอความพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะการกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประเทศเกิดใหม่เช่น จีน อินเดีย บราซิล(และจะส่งผลกระทบต่อไปยังประเทศจี-8) และเพิ่มแรงกดดันให้กับประเทศพัฒนาที่เผชิญปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจรอบด้านอยู่แล้ว
ปัญหาคะแนนความนิยมตกต่ำหรืออยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนทางการเมืองของผู้นำจี-8 ถึง 6 ประเทศคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนีและแคนาดา อิทธิพลทางการเมืองที่เริ่มลดลงจะทำให้ผู้นำแต่ละประเทศมีท่าทีระมัดระวังต่อการประกาศมาตรการที่อาจกระทบกับคะแนนเสียงในประเทศของตน ดังนั้นเชื่อว่า มาตรการเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเพิ่มภาระหรือกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาจะยังไม่ได้ข้อยุติ อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมาอิทธิพลดังกล่าวอาจจะไม่มีผลมากนักต่อการตัดสินใจของผู้นำ เห็นได้จากปี 2522 ซึ่งเป็นช่วงที่อำนาจของประธานาธิบดีคาร์เตอร์เริ่มลดลง แต่ผู้นำจี-8 ก็สามารถกำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาวิกฤติน้ำมันได้
บทบาทของสมาชิกจี-8 ต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองโลกเริ่มอ่อนกำลังลง ขณะที่ประเทศเกิดใหม่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ภายหลังรัสเซียเข้าร่วมกลุ่มจี-8 ในปี 2541 กระแสโลกาภิวัตน์ที่ไหลบ่าอย่างรุนแรงส่งผลให้ประเทศเกิดใหม่เริ่มมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมาจี-8 เริ่มเชิญประเทศเหล่านี้เข้าร่วม โดยเฉพาะในปี 2548 ปัญหาโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจึงทำให้ผู้นำจากจีน อินเดีย บราซิล เม็กซิโกและแอฟริกาใต้ เข้าประชุมนอกรอบตั้งแต่นั้นมา การที่ประเทศเกิดใหม่เข้าร่วมประชุมสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มอิทธิพลและความมั่นคงของจี-8 ต่อการแก้ปัญหาหลักของโลกที่เริ่มอ่อนลง ประกอบกับท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่เรียกร้องให้ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้เข้าร่วมการแก้ไขปัญหาโลกร้อนเท่ากับเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของประเทศเกิดใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก มีการคาดการณ์กันว่า กลุ่มจี-8 อาจจะเปิดรับสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 15-20 ประเทศ อย่างไรก็ตามการขยายสมาชิกภาพยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะอันใกล้ เนื่องจากเสียงคัดค้านอย่างหนักของญี่ปุ่นและมีประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันระหว่างสมาชิกเดิมเกี่ยวกับการตัดสินใจบางเรื่องที่ต้องลงมติเป็นเอกฉันท์
แนวคิดและผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอาจส่งผลต่อมติของที่ประชุม ได้แก่ ท่าทีการปกป้องทางการค้าของประเทศเกิดใหม่ขนาดใหญ่บางประเทศเช่น บราซิล อินเดีย ส่งผลให้ความคืบหน้าการเจรจาการค้ารอบโดฮาเป็นไปด้วยความล่าช้า หรือรัสเซียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลกอาจทำให้การเจรจาความมั่นคงด้านพลังงานมีความยากลำบากมากขึ้น
โดยสรุป ปัญหาเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันเป็นหัวใจสำคัญของการประชุมสุดยอดผู้นำจี-8 ครั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่าที่ประชุมจะสามารถออกมาตรการที่เป็นรูปธรรมและย่อมจะมีผลกระทบต่อไทย เนื่องจากไทยเป็นส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจโลกและมีภาวะพึ่งพิงทางการค้ากับกลุ่มจี-8 สูง โดยปี 2550 ที่ผ่านมาไทยมีสัดส่วนการค้ากับประเทศกลุ่มจี-8 ถึง 31.6% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย
ความพยายามในการแก้ปัญหาวิกฤตอาหารของจี-8 ได้สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลของประเทศพัฒนาเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าถึงอาหารและความมั่นคงอาหารในอนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศยากจน ไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายสำคัญของโลกอาจได้ประโยชน์จากความพยามที่จะลดอุปสรรคทางการค้าของสินค้าอาหารและเกษตรที่จะเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรรวมถึงการให้เงินอุดหนุนประเทศกำลังพัฒนายกระดับการผลิตจะทำให้ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากแนวทางดังกล่าวเพื่อต่อยอดการวิจัยและพัฒนาสินค้าอาหารและเกษตรของไทยให้ได้ผลผลิตและมีคุณภาพเพิ่มขึ้น
สำหรับมาตรการเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปพยายามผลักดันมาโดยตลอดและได้มีการออกมาตรการเหล่านี้เพิ่มขึ้นครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตและตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทางหนึ่งอาจเป็นข้อบังคับให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเข้าไปในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปต้องปฏิบัติตามซึ่งอาจเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการไทยที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าว แต่อีกด้านหนึ่งหากผู้ประกอบการรายใดสามารถผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามกระแสความนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้เท่ากับเพิ่มมูลค่าสินค้าและทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้มากขึ้น
ประเด็นที่น่าจับตาคือ แนวคิดการเพิ่มจำนวนประเทศสมาชิกของกลุ่มจี-8 เนื่องจากสมาชิกเดิมได้เห็นถึงอิทธิพลของประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วเช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้ เริ่มเข้ามามีบทบาทและความสำคัญกับสังคมโลกมากขึ้น แนวโน้มที่ประเทศพัฒนาจากเอเชียอย่างจีน อินเดียหรืออินโดนีเซีย ซึ่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ามานานและมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากความร่วมมือทางการค้าการลงทุน ตลอดจนการพัฒนาในกรอบความร่วมมือระดับต่างๆ การเปิดรับสมาชิกใหม่ที่มีประเทศจากเอเชียเข้าไปเพิ่มขึ้นประกอบกับความพยายามของจีนที่จะแผ่อิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้อาจมีความเป็นไปได้ว่า การตัดสินใจของจีนรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาจากเอเชียจะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเดียวได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
ท่าทีต่างของผู้นำในเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำจี-8 ที่ญี่ปุ่นครั้งนี้จึงมีนัยสำคัญหลายประการที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจโลกและย่อมมีผลต่อประเทศไทย ดังนั้นภาครัฐและเอกชนไทยควรจับตามองอย่างใกล้ชิด


