เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เติบโตชะลอลงเหลือร้อยละ 10.1 จากร้อยละ 10.6 ในไตรมาสแรก นับว่าเป็นอัตราขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548 สาเหตุสำคัญเนื่องจากการส่งออกของจีนที่ชะลอลงในเดือนมิถุนายน 2551 และมีสัญญาณว่าการส่งออกของจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้จะชะลอตัวลงต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญจากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากสินเชื่อคุณภาพต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ (sub-prime mortgage) ที่ยืดเยื้อและยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด และมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อไปยังเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ที่เป็นตลาดส่งออกหลักของจีน ได้แก่ สหภาพยุโรป และประเทศในเอเชีย ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าจากจีนอ่อนแรงลง
แม้การส่งออกของจีนโดยรวมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ยังคงเติบโตได้ร้อยละ 21.9 แต่หากพิจารณาเป็นรายเดือนพบว่าการส่งออกชะลอตัวลง โดยในเดือนมิถุนายน 2551 การส่งออกของจีนขยายตัวร้อยละ 17.6 (yoy) ชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ขยายตัวร้อยละ 28.1 (yoy) และเดือนมิถุนายน 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 27.1 (yoy) สาเหตุสำคัญเนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ชะลอตัวลง จากทั้งความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง และค่าเงินหยวนของจีนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของการแข่งขันด้านราคาของสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ
การนำเข้าของจีนในเดือนมิถุนายน 2551 ชะลอตัวลงเช่นกัน อัตราขยายตัวของการนำเข้าในเดือนมิถุนายนเหลือร้อยละ 31.1 (yoy) จากที่ขยายตัวร้อยละ 40 ในเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือนมิถุนายนมีมูลค่า 21.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 20.6 จากเดือนมิถุนายนปี 2550 แต่เพิ่มขึ้นจากมูลค่าเกินดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่อยู่ที่ 20.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การนำเข้าของจีนในเดือนมิถุนายนที่ชะลอลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับแข็งค่าขึ้นทำให้ราคาสินค้านำเข้ามีราคาถูกลง
สำหรับภาคเศรษฐกิจภายในของจีนทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนยังคงเติบโตอย่างได้ดีต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีกของจีน (Nominal Retail Sales) เติบโตร้อยละ 23.0 ในเดือนมิถุนายน 2551 (yoy) สูงขึ้นจากที่ขยายตัวร้อยละ 21.6 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) เติบโตในอัตราเร่งขึ้นเป็นร้อยละ 29.5 (yoy) จากร้อยละ 25.4 ในเดือนพฤษภาคม 2551
ยอดค้าปลีกของจีนที่เติบโตสูงขึ้น เนื่องจากสัญญาณเงินเฟ้อวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ชะลอลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 7.7 (yoy) ลดลงเหลือร้อยละ 7.1 ในเดือนมิถุนายน 2551 (yoy) จากร้อยละ 8.5 ในเดือนเมษายน (yoy) หลังจากทางการจีนดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio : IRR) อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นปีนี้จากอัตราร้อยละ 15 จนปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 17.5 อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมิถุนายนชะลอลง แต่เงินเฟ้อด้านอุปทานยังคงปรับตัวสูงขึ้นในเดือนเดียวกัน โดยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.8 (yoy) ในเดือนมิถุนายน 2551 จากร้อยละ 8.2 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าหมวดอาหารปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน ธัญพืช และสินค้าหมวดอาหารอื่นๆ รวมถึงค่าไฟฟ้าที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนในภาคการผลิตสูงขึ้น และอาจส่งผ่านไปสู่ราคาสินค้า ทำให้เงินเฟ้อที่วัดโดย CPI ของจีนยังคงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
กล่าวโดยสรุป การขยายตัวของการส่งออกของจีนซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญต้องประสบภาวะชะลอตัวลงในเดือนมิถุนายน 2551 ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่กดดันให้อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ชะลอลงเหลือร้อยละ 10.1 จากที่ขยายตัวร้อยละ 10.6 ในไตรมาสแรกของปีนี้ และมีแนวโน้มว่าการส่งออกของจีนจะชะลอลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากปัญหาของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อไปยังสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศเอเชียที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของจีน ประกอบกับค่าเงินหยวนที่อยู่ในระดับแข็งค่าต่อเนื่องทำให้สินค้าส่งออกของจีนแข่งขันด้านราคาได้น้อยลง
ภาวะเงินเฟ้อของจีนยังคงมีแรงกดดันให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูง แม้ว่าเงินเฟ้อที่วัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 8.5 (yoy) ในเดือนเมษายน เป็นร้อยละ 7.7 และร้อยละ 7.1 ในเดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน 2551 ตามลำดับ แต่เงินเฟ้อด้านอุปทานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงขึ้นจากร้อยละ 8.1 ในเดือนเมษายน เป็นร้อยละ 8.2 และร้อยละ 8.8 ในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน 2551 ตามลำดับ ทำให้คาดว่าเงินเฟ้อด้านอุปทานที่กดดันต้นทุนการผลิตในจีนให้สูงขึ้นอาจส่งต่อราคาไปยังอัตราเงินเฟ้อของจีน (CPI) ให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อของจีนในปี 2551 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.5-7.0 สูงขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในปี 2550
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าแม้ว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2551 ต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีปัญหายืดเยื้อและยังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งส่งผลต่อไปยังเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของจีน ทำให้ภาคส่งออกจีนมีแนวโน้มชะลอลง ประกอบกับปัญหาเงินเฟ้อของจีนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตในจีน และการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของทางการจีนเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อและลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2551 จะชะลอตัวลงจากที่เติบโตถึงร้อยละ 11.9 ในปี 2550 แต่เศรษฐกิจภายในจีนทั้งภาคการบริโภคและภาคการลงทุนที่ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีกสินค้าและบริการ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และเงินลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (FDI) ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจจีน ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปีนี้ยังคงขยายตัวได้ราวร้อยละ 9.9
สำหรับการส่งออกของไทยไปจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 จากที่ขยายตัวร้อยละ 28.8 ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ และร้อยละ 26.5 ทั้งปี 2550 เนื่องจากภาคเศรษฐกิจภายในของจีนที่ยังคงเติบโตได้ดี ประกอบกับทางการจีนมีนโยบายใช้จ่ายสำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อการบริโภคในประเทศที่ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง
ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตร (กสิกรรม ปศุสัตว์ และประมง) ของไทยไปจีนน่าจะขยายตัวต่อเนื่อง จากในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ที่มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปจีนขยายตัวอัตราเร่งขึ้นเป็นร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 16.9 และเทียบกับทั้งปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 8 เนื่องจากในปี 2551 นี้ จีนประสบภัยธรรมชาติหลายครั้ง ทำให้อุปทานสินค้าเกษตรและสินค้าหมวดอาหารลดลง ส่งผลให้ทางการจีนปรับลดภาษีนำเข้าสุกรจากร้อยละ 12 เหลือร้อยละ 6 รวมทั้งปรับลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 2 และน้ำมันมะพร้าว/น้ำมันมะกอกจากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 5 เพื่อเพิ่มปริมาณอาหารและสุกรภายในประเทศ คาดว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อสินค้าเกษตรและอาหารส่งออกของไทยไปจีนที่มีโอกาสขยายตัวได้ดีในตลาดจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปจีนโดยรวมในปีนี้มีแนวโน้มยังคงเติบโตต่อเนื่อง


