คาดการณ์จีดีพีไตรมาสที่ 3 ขยายตัว 4.3% … แนวโน้มไตรมาสสุดท้าย อาจลงไปต่ำกว่า 4% จากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น

จากเครื่องชี้เศรษฐกิจรายเดือนที่หน่วยงานต่างๆ ได้มีการรายงานล่าสุด ตัวเลขเศรษฐกิจหลายด้านของเดือนกันยายน 2551 สะท้อนว่าผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศและเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/2551 มีทิศทางชะลอตัวลงค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มที่การชะลอตัวจะยังคงต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/2551 … ขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี
 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในไตรมาสที่ 3/2551 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศในวันที่ 24 พฤศจิกายน จะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (Year-on-Year) ชะลอลงอย่างมาก จากอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.3 ในไตรมาสที่ 2/2551
ขณะเดียวกัน ถ้าหากพิจารณาถึงอัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Seasonally Adjusted Q-o-Q) คาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 0.2 จากร้อยละ 0.7 ในไตรมาสที่ 2/2551 ซึ่งเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี

 สาเหตุที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง ที่สำคัญเป็นผลมาจากการชะลอตัวของการลงทุน และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงขึ้น โดยดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 2.46 พันล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นจากที่ขาดดุล 1.02 พันล้านดอลลาร์ฯ ในไตรมาสที่ 2/2551 และเป็นการขาดดุลในรูปดอลลาร์ฯ สูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส (หรือในรอบ 9 ไตรมาส ตามมูลค่าในรูปเงินบาท) ตามการชะลอตัวของการส่งออก และการหดตัวในภาคการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง สำหรับการบริโภคของภาคเอกชนอาจยังไม่ดีขึ้นมากนัก เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สูงแม้ว่าจะลดลงจากในไตรมาสที่ 2/2551 จากการดำเนินการ “6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน” ของรัฐบาล โดยอัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 3/2551 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.3 ชะลอลงจากร้อยละ 7.5 ในไตรมาสที่ 2/2551 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบประมาณ 10 ปี

 ในด้านการผลิต จากเครื่องชี้เศรษฐกิจรายเดือน คาดว่าภาคเกษตรกรรมมีอัตราการขยายตัวชะลอลง โดยเป็นผลจากด้านปริมาณเป็นสำคัญ ขณะที่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมก็มีทิศทางชะลอตัว ส่วนภาคการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคารคาดว่าจะหดตัวลงตามปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

แนวโน้มไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องถึงปี 2552 … วิกฤติการเงินโลกกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว
 ความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าคือ ปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ ที่ขยายผลลุกลามกลายเป็นวิกฤติการเงินในระดับโลก ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
โดยวิกฤตการณ์การเงินในครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี นับจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (The Great Depression) ที่เริ่มต้นในปี 1928 ปัญหาการชะลอตัวรุนแรงหรืออาจถึงขั้นถดถอยของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก ซึ่งอัตราการขยายตัวของการส่งออกในไตรมาสที่ 4/2551 มีแนวโน้มชะลอลง จากผลกระทบการชะลอตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคต่างๆ โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่นอาจเผชิญภาวะถดถอย ส่วนเศรษฐกิจกลุ่มประเทศเกิดใหม่ต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลก และเครื่องชี้เศรษฐกิจเริ่มสะท้อนการชะลอตัวเช่นเดียวกัน โดยในขณะนี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมส่งออกหลายประเภทของไทยเริ่มออกมาระบุว่าคำสั่งซื้อใหม่ที่จะส่งมอบในปีหน้าหายไปถึงร้อยละ 20-30

ความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือสถานการณ์ทางการเมือง ภาพเหตุการณ์การประท้วงของกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ขยายวงกว้างในช่วงต้นเดือนกันยายน และตามมาด้วยเหตุการณ์สลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาที่นำไปสู่ความรุนแรงอีกครั้งเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในสายตาของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ โดยการท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบจากการยกเลิกแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาในประเทศไทย แต่สถานการณ์อาจดีขึ้นกว่าช่วงเดือนกันยายน เนื่องจากการชุมนุมจำกัดวงอยู่เพียงในกรุงเทพฯ โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมุ่งสู่จังหวัดท่องเที่ยวโดยตรงจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่จะมีบ้างในส่วนของนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจที่มองสถานการณ์ในประเทศไทยผ่านข่าวสารที่ออกไปในสื่อต่างประเทศ ที่อาจกังวลในด้านความปลอดภัย สำหรับแนวโน้มการลงทุน สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อย ยังคงชะลอแผนการลงทุนเอาไว้ก่อน จุดสำคัญที่หลายฝ่ายจับตามองคือคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคการเมือง 3 พรรค คือพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอีกครั้งหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองดังกล่าว นอกจากนี้ เมื่อเกิดวิกฤติการเงินอันส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกตึงตัว รวมทั้งมีผลต่อผลประกอบการของธุรกิจ ขณะที่การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินมีความยากลำบากขึ้น สภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่ไม่เอื้ออำนวยนี้จะเป็นอุปสรรคอีกประการหนึ่งต่อแนวโน้มการลงทุนในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่อาจส่งผลดีต่อการบริโภคของภาคเอกชนคือ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก แม้ว่ากลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก หรือ โอเปค จะประกาศลดกำลังการผลิตลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วันแล้วก็ตาม โดยราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ลดลงเกือบร้อยละ 60 จากช่วงสูงสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าโอเปคอาจจะพิจารณาลดการผลิตลงอีก อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะอุปสงค์ที่อ่อนแออาจเป็นผลให้ราคาน้ำมันคงปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนักในระยะสั้น ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉลี่ยลดลงมากว่าร้อยละ 40 จากช่วงสูงสุดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าถ้าราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสสุดท้ายน่าจะต่ำลงมาได้มาก โดยอาจมีค่าเฉลี่ยลงไปอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ในไตรมาสที่ 4/2551 จากร้อยละ 7.3 ในไตรมาสที่ 3/2551

ในด้านการใช้จ่ายของรัฐบาล คาดว่ารัฐบาลคงจะพยายามเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ โดยวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 อยู่ที่ 1,835,000 ล้านบาท เป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลมูลค่า 249,500 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.4 ของจีดีพี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางที่จะจัดทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติมอีกจำนวน 100,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งงบประมาณที่เพิ่มเข้ามานี้จะทำให้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.4 ของจีดีพี (และจะเป็นอัตราการขาดดุลสูงสุดในรอบ 6 ปี นับจากปี 2545 ที่มีการจัดทำงบประมาณขาดดุลร้อยละ 3.6 ของจีดีพี) แต่ยังไม่น่าจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลังตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ต้องการรักษาระดับหนี้สาธารณะไว้ไม่เกินร้อยละ 50 ของจีดีพี และรักษาระดับภาระหนี้ของรัฐบาลต่อวงเงินงบประมาณรายจ่ายไว้ไม่เกินร้อยละ 15

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4/2551 มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวมากขึ้น โดยอาจขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเฉลี่ยของทั้งปี 2551 อาจอยู่ระหว่างร้อยละ 4.7-5.0 เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับร้อยละ 4.8 ในปี 2550 ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยอาจจะยิ่งชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2552

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/2551 จะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 4.3 ชะลอลงอย่างมากจากร้อยละ 5.3 ในไตรมาสที่ 2/2551 โดยสาเหตุสำคัญเนื่องจากการชะลอตัวของการลงทุน การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของการส่งออกและการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ขณะที่การบริโภคอาจยังไม่ดีขึ้นมากนัก เนื่องจากแรงกดดันราคาสินค้ายังคงเป็นระดับที่สูง โดยอัตราเงินเฟ้อลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 7.3 จากร้อยละ 7.5 ในไตรมาสที่ 2/2551 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบประมาณ 10 ปี สำหรับกิจกรรมในภาคการผลิตส่วนใหญ่อ่อนแรงลง ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ส่วนภาคการก่อสร้าง และการท่องเที่ยวและภัตตาคารอาจหดตัวลง

สำหรับแนวโน้มไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่องถึงปี 2552 ความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจภายนอกประเทศสูงขึ้นกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ จากการที่ปัญหาวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ ส่งผลลุกลามรุนแรงกลายเป็นวิกฤติการเงินในระดับโลก ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งคงจะเริ่มเห็นการชะลอตัวของการส่งออกในไตรมาสที่ 4/2551 และผลกระทบคงจะปรากฏชัดยิ่งขึ้นในปี 2552 และขณะนี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมส่งออกหลายประเภทของไทยเริ่มออกมาระบุว่าคำสั่งซื้อใหม่ที่จะส่งมอบในปีหน้าลดลงอย่างน่าเป็นห่วง

ท่ามกลางสภาวะที่โลกเผชิญวิกฤติอย่างหนักหน่วง สถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนจะยิ่งฉุดรั้งโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบต่อปัจจัยความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภค นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งการลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวของต่างชาติก็มีแนวโน้มถูกกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคประเทศต่างๆ รวมทั้งปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ตึงตัวอยู่แล้ว เมื่อสถานการณ์การเมืองของไทยยังมีความไม่สงบ ก็จะยิ่งส่งผลให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่ยังมีศักยภาพเลือกที่จะหันไปหาประเทศอื่นที่มีความสงบเรียบร้อยและมีปัจจัยดึงดูดมากกว่าประเทศไทย อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่คาดว่าอาจจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ คือการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ซึ่งทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อลดลงได้มาก นอกจากนี้ในภาวะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน คือ การส่งออก การบริโภคและการลงทุนของเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัว หลายฝ่ายจึงคาดหวังต่อบทบาทของภาครัฐในการดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลเองก็มีแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่าย รวมทั้งผลักดันโครงการลงทุนในเมกะโปรเจคต์ นอกจากนี้ยังมีแนวทางจัดทำงบกลางปีสำหรับปีงบประมาณ 2552 เพิ่มเติมอีก 100,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าสามารถดำเนินการให้เม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง จะมีส่วนช่วยให้จีดีพีเติบโตเพิ่มขึ้นและช่วยบรรเทาปัญหาการว่างงานได้ ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลงจะเปิดทางให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายได้มากขึ้นเพื่อประสานกับนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

จากความเสี่ยงเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4/2551 มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวมากขึ้น โดยอาจขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4.0 ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเฉลี่ยของทั้งปี 2551 อาจอยู่ระหว่างร้อยละ 4.7-5.0 และคาดว่าอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงนี้จะยังคงต่อเนื่องไปในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2552 สำหรับประเด็นความท้าทายในด้านนโยบายในระยะข้างหน้าประกอบด้วย

การบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว ในภาวะที่ตลาดส่งออกหลักคงมีการขยายตัวต่ำ และตลาดส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มชะลอตัว การขยายตลาดส่งออกไปสู่ตลาดใหม่คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ภาครัฐควรมีบทบาทในด้านการสนับสนุนข้อมูลตลาดในประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการแสวงหาตลาดที่มีกำลังซื้อ ขณะที่ผู้ประกอบการคงต้องมีการจัดการต้นทุนที่ดีเพื่อให้แข่งขันได้ รวมทั้งมีการปรับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด ที่ผู้บริโภคคงมุ่งเน้นความประหยัดมากขึ้น ขณะที่การแข่งขันด้านราคาอาจรุนแรงขึ้น การมีมาตรการชั่วคราว เช่น การลดภาษี หรือโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการก็อาจเป็นแนวทางที่จะช่วยลดผลกระทบได้บ้าง

นโยบายการคลัง แม้ว่ารัฐบาลมีแผนการใช้จ่ายวงเงินเป็นมูลค่าสูงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลที่จะมีต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริงนั้น ยังต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของรัฐ รวมถึงคุณภาพและประสิทธิผลของโครงการต่างๆ อุปสรรคที่สำคัญคือความต่อเนื่องของนโยบายที่อาจถูกกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และความล่าช้าในขั้นตอนการดำเนินโครงการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินงบประมาณที่ลงไปสู่เศรษฐกิจอย่างแท้จริงอาจไม่สูงดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ ปัญหาทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ก็อาจทำให้ประสิทธิผลทางนโยบายไม่สามารถสร้างผลทวีคูณให้เกิดการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนในเศรษฐกิจตามมาดังเช่นยามที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะปกติ

นโยบายด้านการเงิน ในสภาวะที่ตลาดการเงินของไทยอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก และปัญหาสภาพคล่องตึงตัว บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยไม่เพียงแต่ในด้านการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย แต่ยังต้องให้การดูแลสภาพคล่องในระบบการเงินให้เพียงพอ รวมทั้งการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท ซึ่งแม้ในขณะนี้มีทิศทางอ่อนค่า แต่แนวโน้มในระยะข้างหน้าค่าเงินบาทอาจจะมีแรงหนุนให้แข็งค่าขึ้น จากโอกาสการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ การขาดดุลการคลังที่สูงขึ้นอย่างมาก รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

การรักษาเสถียรภาพการจ้างงาน ในภาวะที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 60 ของจีดีพีมีแนวโน้มประสบปัญหา รัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมหาแนวทางรับมือ ซึ่งการเร่งรัดการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ การสร้างตำแหน่งงานคงต้องมีมาตรการรองรับการถ่ายโอนแรงงานจากธุรกิจที่มีปัญหา ไปสู่ธุรกิจที่มีความต้องการแรงงาน ซึ่งในส่วนนี้ควรต้องจัดให้มีโครงการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ประเทศไทยเผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีโครงการพัฒนาชุมชนชนบทให้สามารถสร้างรายได้และสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตในท้องถิ่น สนับสนุนระบบเศรษฐกิจพอเพียงให้ชุมชนพึ่งพาตัวเองได้ เพื่อรองรับแรงงานที่อาจไหลกลับจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ