บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่…โจทย์เฉพาะหน้ายังคงเป็นการมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า นายบารัค โอบามา ตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตได้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ ที่ได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา โดยนายโอบามาจะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับการเมืองสหรัฐฯ ในฐานะคนผิวสีคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ทั้งนี้ นายโอบามาจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 มกราคม 2552 อย่างไรก็ตาม ผู้นำคนใหม่ของทำเนียบขาวอาจต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งถูกประเมินว่า อาจมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบเกือบ 80 ปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรวบรวมประเด็นแวดล้อมและประเมินสถานการณ์หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนี้

ผู้นำคนใหม่ของทำเนียบขาว กับ ความหวังหลังการเลือกตั้ง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า
นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงขึ้นท่ามกลางความจำเป็นเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหาทางการเงินและเศรษฐกิจซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงของการถดถอยที่อาจมีความร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยตลาดการเงินและนักวิเคราะห์อาจคาดหวังถึงการสานต่อของมาตรการแก้ไขปัญหาในภาคการเงิน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ควรจะถูกเร่งผลักดันออกมาโดยด่วนหลังจากพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากเป็นประวัติการณ์ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งพรรคเดโมแครตเคยครองเสียงข้างมากอยู่ก่อนแล้ว) และวุฒิสภา (ซึ่งพรรคเดโมแครตพลิกกลับมาครองเสียงข้างมากจากที่มีคะแนนเสียงใกล้เคียงกันในช่วงก่อนหน้า) ในคองเกรส และยังเป็นผู้ครองอำนาจในทำเนียบขาวอีกด้วย

ความต่อเนื่องของนโยบายในการประคับประคองเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ และสภาคองเกรสจะเข้าใจถึงโจทย์เฉพาะหน้าทางเศรษฐกิจและการเงินที่ต้องการความต่อเนื่องของมาตรการจากทางการสหรัฐฯ หลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ นำโดยรัฐมนตรีคลังคนปัจจุบันนายเฮนรี่ พอลสัน และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นำโดยนายเบน เบอร์นันเก้ ได้เร่งผลักดันหลากหลายมาตรการอย่างต่อเนื่องออกมาเพื่อประคับประคองระบบการเงิน (ทั้งสถาบันการเงิน และตลาดการเงิน) และเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมา โดยมาตรการการอัดฉีดเงินทุน 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา (ซึ่งเป็นส่วนแรกของแผนฟื้นฟูภาคการเงิน 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ได้ผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรสไปเมื่อเดือนตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา) ตลอดจนการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และมาตรการด้านสภาพคล่องของเฟด ได้เริ่มทยอยปรากฏผลขึ้นแล้วในขณะนี้ ซึ่งสามารถสะท้อนโดยการปรับตัวลงของอัตราดอกเบี้ย Libor สำหรับการกู้ยืมสกุลเงินดอลลาร์ฯ ระยะ 3 เดือน ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่สำคัญสำหรับภาคธนาคาร จากระดับร้อยละ 4.81875 ในวันที่ 10 ตุลาคม 2551 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.70625 ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ อาจสร้างความต่อเนื่องให้กับมาตรการแก้ไขภาคการเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงที่เป็นมิตรต่อตลาดการเงินและเอื้อต่อการฟื้นคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพื่อช่วยให้ระบบการเงินของสหรัฐฯ ที่กำลังประสบกับภาวะชะงักงันกลับมาทำงานได้เป็นปกติให้เร็วที่สุด ซึ่งนั่นก็จะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยจะต้องจับตารายละเอียดของมาตรการต่างๆ ภายใต้การผลักดันของพรรคเดโมแครต ที่จะใช้วงเงินที่เหลือของแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 4.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า มาตรการดังกล่าวจะถูกทยอยประกาศออกมาในปี 2552

นโยบายกีดกันทางการค้าอาจมีความสำคัญในลำดับรองลงไปจากประเด็นเศรษฐกิจ
แม้จะมีความกังวลจากบรรดาประเทศผู้ส่งออกในทวีปเอเชียว่า นายโอบามาอาจจะหยิบยกนโยบายกีดกันการค้าขึ้นมาใช้หลังการเข้ารับตำแหน่ง แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ คงจะคำนึงถึงสถานการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบันเป็นลำดับแรกก่อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังไถลลงสู่ภาวะถดถอยซึ่งอาจเริ่มต้นขึ้นแล้วในไตรมาส 3/2551 และลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2552 หรืออาจจะนานกว่านั้น ดังนั้น มาตรการในระยะสั้น ของนายโอบามาคงจะมุ่งเน้นไปที่การดูแลภาคเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานและภาวะการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ โดยคาดว่า มาตรการที่เอื้อประโยชน์ทางภาษีต่อประชาชนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ (คิดเป็นร้อยละ 95 ของผู้มีรายได้ทั้งหมด) จะถูกเร่งผลักดันออกมาเป็นลำดับต้นๆ ก่อน ในขณะที่ การเขียนกติกาใหม่ให้กับระบบการเงิน โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินให้มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้นั้น คงจะเป็นเป้าหมายถัดไปหลังจากที่ปัญหาในตลาดการเงินเริ่มคลี่คลายลงแล้ว

ขณะที่ นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งน่าที่จะมีความเร่งด่วนน้อยกว่า อาจถูกผลักดันออกมาหลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นก่อน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ทางการสหรัฐฯ คงจะตระหนักดีว่า การดำเนินนโยบายในเชิงกีดกันการค้าระหว่างประเทศ (โดยเฉพาะท่าทีคัดค้านการเปิดเสรีอย่างชัดเจนของนายโอบามากับประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ใช้ความได้เปรียบด้านแรงงาน) เพื่อที่จะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศท่ามกลางภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลก อาจไม่เป็นผลดีนักต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่ในการระดมเงินทุนที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขภาคการเงินในปีงบประมาณ 2552 ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในขณะนี้ เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาเหล่านั้น โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย ล้วนเป็นประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล และเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ในอันดับต้นๆ ของการออกพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีฐานะเป็นผู้กู้ และกำลังเผชิญกับแนวโน้มการขาดดุลการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น อาจมีอำนาจในการต่อรองในการเจรจานโยบายการค้าระหว่างประเทศที่จำกัด โดยอาจจำต้องดำเนินนโยบายด้านการค้าในเชิงประคับประคองความสัมพันธ์มากขึ้นในระยะถัดไป ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในระยะอันใกล้นี้ ภาคส่งออกของไทยและเอเชียอาจจะยังไม่เผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในระดับที่รุนแรงมากนัก เนื่องจากสหรัฐฯ ตระหนักดีว่า จำต้องพึ่งประเทศในเอเชียมากขึ้นในการระดมเงินเพื่อรองรับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลที่อาจจะสูงเกิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีหน้า

โดยสรุปแล้ว แม้ว่า โดยเนื้อหาของนโยบายเศรษฐกิจของพรรเดโมแครตอาจจะนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งยังอาจนำไปสู่ข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศเนื่องจากการที่พรรคเดโมแครตมีท่าทีต้องการให้ทบทวนข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ที่สหรัฐฯ ได้ทำไว้ ซึ่งในยามปกติทั้งสองประเด็นดังกล่าวย่อมนำมาสู่แรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ แต่จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในยามนี้ต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งเยียวยา โดยเฉพาะในภาคการเงิน รวมทั้งสหรัฐฯ เองก็ต้องพึ่งเงินกู้ยืมจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทั้งทำเนียบขาวของนายโอบามา และสภาคองเกรสที่คุมเสียงข้างมากโดยพรรคเดโมแครต คงจะเร่งดำเนินการมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวก่อน ทำให้ทางการสหรัฐฯ คงจะยังไม่สามารถออกมากดดันประเทศอื่นๆ ในเรื่องประเด็นด้านการค้าระหว่างประเทศในขณะนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ ตระหนักดีว่า หลายๆ ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล ล้วนเป็นผู้ลงทุนลำดับต้นๆ ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้นคาดว่า ในระยะอันใกล้นี้ ค่าเงินดอลลาร์ฯ จะยังคงปรับตัวไปตามความเชื่อมั่นของตลาดต่อโอกาสการฟื้นตัวของภาคการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตลาดเงิน-ตลาดทุนจะยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดคือ การดำเนินการตามแผน 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เคยกล่าวว่า จะปรึกษาหารือกับทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้งว่า จะยังคงเป็นไปในทิศทางเดิม หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญหรือไม่ และประการที่สองคือ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของทำเนียบขาวและสภาคองเกรสที่จะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือชิ้นแรกของนายโอบามาในการเข้ามามีส่วนตัดสินใจเยียวยาปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้ ซึ่งหากการดำเนินการในประเด็นทั้งสอง สามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ตลาดต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ ก็คาดว่า เงินดอลลาร์ฯ อาจจะยังคงได้รับแรงหนุนต่อไป