ฮอนด้าตอกย้ำความมุ่งมั่นระยะยาวต่อประเทศไทย เปิดโรงงานแห่งที่สองมูลค่า 6,200 ล้านบาท

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งอันดับสองของประเทศ แถลงเมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) ว่า บริษัทฯ ได้เริ่มเดินเครื่องการผลิตโรงงานแห่งใหม่แล้ว โดยโรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานระดับโลกแห่งที่สอง ในประเทศไทยและเป็นส่วนต่อขยายกับโรงงานแห่งแรกที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ. พระนครศรีอยุธยา

ฮอนด้าได้ลงทุนไปกว่า 6,200 ล้านบาทในโรงงานแห่งที่สองในประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 120 ไร่ โรงงานแห่งใหม่นี้จะสร้างงานใหม่อีกกว่า 2,200 ตำแหน่งและมีกำลังการผลิตรถยนต์ 120,000 คันต่อปี ส่งผลให้กำลังผลิตโดยรวมของบริษัทฯ เพิ่มเป็น 240,000 คัน ต่อปี

มร.ฟูมิฮิโกะ อิเกะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตของฮอนด้าในประเทศไทยไม่ได้หมายถึงการเติบโตของโรงงาน
เพียงอย่างเดียว ตลอดเวลาหลายปีที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย กุญแจสู่ความสำเร็จของเราได้แก่การเติบโตและความก้าวหน้าของพนักงานของเราซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ฮอนด้าออกสู่ตลาด ความพยายามของพวกเขาทำให้เรามีวันนี้”

“หลังจากการเปิดโรงงานแห่งที่สองนี้แล้ว ธุรกิจของเราในประเทศไทยจะก้าวสู่ขั้นต่อไป เราไม่เพียงแต่จะต้องผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสู่ตลาดโลก แต่ยังมีความรับผิดชอบในฐานะ โรงงานแม่ในเอเชียซึ่งต้องให้การสนับสนุนด้านเทคนิคแก่โรงงานอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย .. การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั่วโลกทำให้การดำเนินงานของเราในเอเชียมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น”

โรงงานแห่งใหม่ของฮอนด้าที่ จ. พระนครศรีอยุธยาจะผลิตรถยนต์รุ่นยอดนิยมของฮอนด้า ในปัจจจุบันคือ แอคคอร์ด ซีวิค ซีอาร์-วี แจ๊ซและซิตี้ โดยรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ดจะเป็นรุ่นแรก ที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้

การลงทุนครั้งล่าสุดของฮอนด้าในประเทศไทยครั้งนี้ทำให้ยอดเงินลงทุนรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 21,000 ล้านบาท ส่งผลให้ฮอนด้าเป็นผู้ลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับต้นๆ ในประเทศไทย ทั้งนี้ โรงงานแห่งแรกของบริษัทฯ เปิดดำเนินการผลิตในปี พ.ศ. 2539

การลงทุนในโรงงานแห่งใหม่มีปัจจัยขับเคลื่อนจากความต้องการรถยนต์ฮอนด้าที่เพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและในตลาดส่งออกหลักๆ ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย สำหรับปีนี้ใน ประเทศไทย รถยนต์ฮอนด้าจำหน่ายไปแล้วประมาณ 64,000 คัน (ณ กันยายน 2551) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 33 จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ส่วนแบ่งตลาดของฮอนด้าในช่วงเดือน มกราคม-กันยายน 2551 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13.9 จากร้อยละ 10.5 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีปัจจัยพื้นฐานมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยผลิตรถยนต์ปีละกว่า 1.8 ล้านคัน เป็นการผลิตเพื่อส่งออกกว่า 80,000 คันต่อปี ผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลกได้เข้ามาเปิดโรงงานผลิตในประเทศไทย ทั้งเพื่อป้อนตลาดภายในประเทศและเพื่อส่งเสริมการส่งออกจากประเทศไทย การมีซัพพลายเออร์คุณภาพชั้นนำ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและลอจิสติกส์ที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมได้อย่างดี รวมไปถึงบุคลากรที่มีทักษะสูงเป็นสิ่งยืนยันความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตรรถยนต์ระดับโลก ของไทย

มร. เคนจิ โอตะกะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดเดินเครื่องโรงงานแห่งใหม่นี้จะทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โรงงานนี้ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและสะอาดที่สุดเท่าที่มีการใช้ในปัจจุบัน ทำให้เป็นโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดแห่งหนึ่งในโลก”

โรงงานผลิตแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในโรงงานที่ก้าวหน้าที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลกของฮอนด้า โรงงานแห่งนี้จะยกมาตรฐานด้านความเป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมและการออกแบบสายการผลิตที่เหมาะสมกับการทำงานของพนักงาน ส่งเสริมความปลอดภัยของพนักงานขณะปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบรีไซเคิลน้ำสมบูรณ์แบบเพื่อนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ จึงลดปริมาณน้ำเสียจากกระบวนการผลิต

กระบวนการผลิตยังลดการใช้สารอินทรีย์ระเหยง่ายลงร้อยละ 50 ในขณะที่การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ฟิล์มบาง CIGS (ทองแดง อินเดียม แกลเลียมและเซเลเนียม) ที่พัฒนาโดยฮอนด้าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงประมาณร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับมาตรฐานปี 2551
นอกจากนั้น ฮอนด้ายังดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่า พนักงานจะปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าทำงานที่สุด

ในโรงงาน มีการติดตั้งระบบอัตโนมัติ ในขณะที่ สายการผลิตติดตั้งเครื่องมือที่มีน้ำหนักเบาล้ำสมัยมีระบบสายพานลำเลียงแบบทันสมัยซึ่งสามารถปรับตำแหน่งของรถยนต์บนสายการประกอบโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายสูงสุดแก่พนักงานทำให้ลดความเหนื่อยล้าในการทำงาน

โรงงานผลิตของฮอนด้าในประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับหกของโรงงานฮอนด้าทั่วโลก รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดาและสหราชอาณาจักร มีการว่าจ้างพนักงานประมาณ 4,200 คน และจะเพิ่มจำนวนเป็นกว่า 6,400 คน เพื่อรองรับการผลิตของโรงงานแห่งที่สอง