จากผลการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเสียงข้างมาก 235 เสียง ต่อ 198 เสียงที่เลือก พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก และอีก 3 เสียงที่งดออกเสียง ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในภาวะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอันหนักหน่วง ที่อาจนำไปสู่ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลังวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เป็นต้นมา การเข้ามารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนใหม่จึงอยู่บนความคาดหวังของประชาชนคนไทย ภาคธุรกิจไทย และนานาประเทศ ที่กำลังมุ่งหวังให้ประเทศไทยสามารถหลุดพ้นจากปมความวุ่นวายทางการเมือง กลับมาเดินหน้าแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยในระดับโลกที่มีแนวโน้มจะยิ่งรุนแรงขึ้นในระยะข้างหน้านี้
ประเด็นนับจากนี้ไป สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจอยู่ที่ประเด็นด้านความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของรัฐบาล รัฐบาลจะต้องสร้างความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งด้วยคะแนนเสียงที่มีอยู่นี้ก็น่าจะเพียงพอในระดับหนึ่งที่รัฐบาลจะสามารถบริหารประเทศให้เดินหน้าได้ ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคนี้สามารถยึดเหนี่ยวกันไว้ได้อย่างมั่นคงและมีเอกภาพในเชิงนโยบาย ประเด็นสำคัญที่จะตามมา คือ การจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะการวางทีมเศรษฐกิจที่จะเข้ามาแก้ปัญหาหนักที่รออยู่หลายด้าน ซึ่งปัญหาเฉพาะหน้าที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ อาจสรุปตามกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้ดังนี้
กระทรวงพาณิชย์ ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกของไทยในปี 2552 อาจมีโอกาสขยายตัวได้น้อยมาก หรือในกรณีเลวร้ายอาจหดตัวลงจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้วางเป้าหมายในเบื้องต้นที่จะผลักดันการเติบโตของการส่งออกของไทยในปี 2552 ให้ขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 5 ซึ่งนับเป็นความท้าทายภายใต้สภาวะที่เศรษฐกิจภูมิภาคหลักมีแนวโน้มที่อาจจะประสบภาวะถดถอยที่จมลึกและยาวนานกว่าที่คาดคิดไว้ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจและการค้าของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นความหวังที่จะช่วยทดแทนตลาดหลักที่กำลังมีปัญหา เช่น ประเทศจีน กลับดูจะไม่สดใสอย่างที่คาดกันไว้ โดยการนำเข้าของจีนหดตัวลงถึงร้อยละ 17.9 ในเดือนพฤศจิกายนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ดังนั้น นโยบายด้านการผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวเป็นบวกได้ในปีหน้าจึงเป็นโจทย์ที่ยากยิ่ง นอกจากนี้ ในด้านเสถียรภาพราคาในประเทศ ประเด็นที่น่ากังวลคือแนวโน้มที่อาจจะเกิดภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อในปี 2552 มีแนวโน้มที่จะเข้าหาศูนย์ หรือติดลบในบางเดือนของช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ถึงต้นไตรมาสที่ 3 ซึ่งภาวะที่ราคาสินค้าปรับตัวลดลงนั้น แม้ดูผิวเผินคล้ายกับจะเป็นผลบวกต่อการบริโภค แต่ถ้าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดอย่างแท้จริง ก็อาจส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนได้ จากการที่ธุรกิจขาดแรงจูงใจที่จะขยายการผลิตเนื่องจากไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ ขณะที่ตลาดแรงงานก็อาจไม่สามารถได้รับการปรับขึ้นค่าจ้าง และในที่สุดแล้วจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในภาพรวมให้ก้าวเดินเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
กระทรวงอุตสาหกรรม ปัญหาที่ตามมาจากวิกฤติการเงินโลกและภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกหลายประเภท และประเด็นที่กำลังถูกจับตามองจากทั่วโลกในขณะนี้ คือ วิกฤติในอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ซึ่งหากยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง Big Three ล้มลงไป จะไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ และอาจโยงใยไปกระทบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ค่ายยุโรปหรือญี่ปุ่นที่ใช้ซัพพลายเชนรวมกันกับ Big Three ด้วย ในขณะเดียวกัน สำหรับประเทศไทย การลงทุนของบริษัทรถยนต์สหรัฐฯ ในไทยนั้น นับว่ามีความสำคัญไม่น้อย แม้ผู้เล่นรายหลักจะเป็นค่ายรถจากญี่ปุ่นก็ตาม ซึ่งผลกระทบต่อไทยจากปัญหาของกลุ่มบริษัทรถยนต์สหรัฐฯ นั้น ในระยะสั้น คงเป็นผลกระทบต่อแผนการผลิตและการส่งออกรถยนต์ในประเทศไทยของบริษัทเหล่านั้น ขณะที่ในระยะปานกลางขึ้นไป อาจจะมีผลต่อเป้าหมายยุทธศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย นอกจากปัญหาในอุตสาหกรรมส่งออกแล้ว ประเด็นสำคัญเฉพาะหน้าอื่นๆ ยังได้แก่ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้หันเป้าหมายกลับเข้ามายังประเทศไทย และนโยบายในการช่วยเหลือสนับสนุนเอสเอ็มอี เป็นต้น
กระทรวงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวและการเกษตร ภาคการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มประสบปัญหาค่อนข้างหนักในปี 2552 โดยมีสาเหตุหลักจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์ประท้วงปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอกเมืองตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน จนกระทั่งเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 5 ธันวาคม เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลลบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในสายตาของนักท่องเที่ยว ทำให้มีการยกเลิกการจองห้องพักจำนวนมาก และถึงแม้ในกรณีที่ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายลงและนับจากนี้รัฐบาลชุดใหม่อาจจะมีเสถียรภาพในการบริหารประเทศได้ก็ตาม แต่การภาคท่องเที่ยวของไทยยังต้องใช้เวลานานอีกหลายเดือนกว่าที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดกิจกรรมหรือโครงการส่งเสริมการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยว ซึ่งอาจรวมไปถึงการจัดประชุมสัมมนาของหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ และการกิจกรรมที่จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นต้น สำหรับในภาคเกษตร ปัญหาที่สำคัญในช่วงปีหน้าคือภาวะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ลดลง รัฐบาลต้องมีนโยบายที่จะเข้ามาพยุงราคาสินค้าเกษตร ซึ่งรวมถึงการผลักดันยุทธศาสตร์การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตร เช่น การพัฒนาพลังงานทดแทน หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในการนำสินค้าเกษตรไปใช้แปรรูปสร้างมูลค่าที่สูงขึ้น
กระทรวงการคลัง สิ่งที่หลายฝ่ายฝากความหวังไว้ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2552 นั่นคือนโยบายกระตุ้นทางการคลัง ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้วได้พิจารณาอนุมัติการจัดทำงบประมาณกลางปีขาดดุลเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท และเริ่มมีการพูดกันถึงความจำเป็นที่อาจจะต้องเพิ่มวงเงินของงบประมาณกลางปีให้สูงขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม การอัดฉีดงบกระตุ้นทางการคลังก็อาจมีข้อจำกัดด้วยกรอบเพดานการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งตามเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 เดิม ตั้งเป้าหมายขาดดุลงบประมาณไว้ 249,500 ล้านบาท แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง คงจะส่งผลให้การจัดเก็บงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้า และกระทรวงการคลังเองก็ได้ออกมายอมรับว่าอาจจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าประมาณ 100,000 ล้านบาท ขณะที่หากเพิ่มงบกลางปีที่วงเงินเดิมคือ 100,000 ล้านบาทเข้าไป การขาดดุลงบประมาณในปี 2552 อาจสูงขึ้นไปที่ประมาณ 450,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 4.6 ของจีดีพี ซึ่งอาจจะเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มวงเงินขาดดุลให้สูงขึ้นไปกว่านี้ นอกจากนี้ ด้วยวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้เดิมก็เห็นได้ว่ามีปัญหาการเบิกจ่ายล่าช้า โดยเดือนตุลาคม 2551 มีการเบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 9.4 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากข้อติดขัดต่างๆ ในช่วงเดือนแรกของปีงบประมาณ แต่คาดว่าในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมก็อาจจะยังคงมีอัตราการเบิกจ่ายต่ำกว่าเป้าอยู่ เนื่องจากภาวะสูญญากาศทางการเมือง ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 การเบิกจ่ายก็อาจยังไม่เร่งตัวขึ้นมากนักเนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้น รัฐบาลใหม่จึงต้องเร่งการใช้จ่ายงบประมาณในเดือนที่เหลือของปี ให้กระจายลงไปสู่การแก้ปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ อย่างเต็มที่
กระทรวงแรงงาน ปัญหาการว่างงานเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องเร่งหามาตรการรองรับการว่างงานในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะมีผู้ว่างงานสูงขึ้นไปกว่า 1 ล้านคนในช่วงปี 2552 มาตรการบรรเทาปัญหาจำเป็นต้องทำพร้อมกันไปหลายแนวทางโดยจัดสรรงบประมาณเข้ามาช่วย ประการแรก คือ การรักษาตำแหน่งงานเดิม โดยจูงใจให้มีการเลิกจ้างน้อยที่สุด ซึ่งอาจใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาช่วย เช่น ให้ธุรกิจสามารถลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการคงการจ้างงานในองค์กร หรือการให้ผ่อนผันการนำส่งเงินสบทบเข้ากองทุนประกันสังคม ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกค้า แต่แนวทางนี้อาจจะกระทบต่อฐานะของกองทุนประกันสังคม ซึ่งคงต้องมีการพิจารณาเงื่อนไขและผลกระทบอย่างรอบคอบ การสร้างตำแหน่งงานใหม่ โดยรัฐบาลต้องเร่งผลักดันโครงการใช้จ่ายด้านการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเมกะโปรเจกต์ แต่เป็นโครงการที่มีความสำคัญการการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ หรือการสร้างงานในชุมชนท้องถิ่นรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคอุตสาหกรรมหรือการบริการให้กลับสู่ท้องถิ่นและมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ การสร้างงานรองรับบัณฑิตจบใหม่ โดยรัฐบาลอาจจัดสรรงบประมาณพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนท้องถิ่น โดยจ้างบัณฑิตจบใหม่เข้าไปช่วยในการพัฒนาโครงการดังกล่าวอย่างครบวงจร และการสร้างหลักสูตรอบรมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อเตรียมแรงงานให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจใหม่ทดแทนอุตสาหกรรมที่ไทยเริ่มแข่งขันไม่ได้
โดยสรุป แม้ว่าในขณะนี้ปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลงมาในระดับหนึ่ง หลังจากรัฐสภาได้มีการเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ จะก้าวเข้ามาบริหารประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญความยากลำบาก จากวิกฤติเศรษฐกิจในต่างประเทศและผลกระทบที่ตามมาจากวิกฤติการเมืองภายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญนับจากนี้ รัฐบาลจะต้องสร้างความมั่นคงทางการเมืองและความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เพื่อเป็นพื้นฐานให้รัฐบาลสามารถเข้ามาแก้ปัญหาหนักที่รออยู่หลายด้านให้มีความคืบหน้า ซึ่งปัญหาเฉพาะหน้าที่รอคอยการแก้ไขจากรัฐบาลชุดใหม่ ที่สำคัญได้แก่ ปัญหาผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินโลกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมการส่งออกของไทยและธุรกิจเอสเอ็มอี ปัญหาการว่างงานที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น จากการลดกำลังการผลิตและหยุดกิจการในภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2552 นั้น หลายฝ่ายฝากความหวังไว้ที่นโยบายกระตุ้นทางการคลัง ซึ่งรัฐบาลใหม่จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันข้อเสนอการจัดทำงบประมาณกลางปีและการกำหนดวงเงินขาดดุลว่าจะให้อยู่ที่ 100,000 ล้านบาท หรือจะขยายวงเงินให้สูงขึ้น นอกจากนี้ บทบาทที่สำคัญยังอยู่ที่การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณและการกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ทั้งนี้ จากผลกระทบของเหตุการณ์ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการลงทุน ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ลง (จากประมาณการเดิมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551) โดยคาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2551 อาจมีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 1.0-2.0 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2551 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.0-4.3 (จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 4.5) ขณะที่ในปี 2552 อัตราการขยายตัวในช่วงครึ่งแรกอาจอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.5-1.0 ก่อนที่จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2552 ไว้อยู่ในกรอบระหว่างร้อยละ 2.5-3.5 โดย ณ ขณะนี้มีความโน้มเอียงเพิ่มขึ้นที่ตัวเลขอัตราการขยายตัวจะหันเข้าสู่กรอบล่างของประมาณการ ขณะที่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างรุนแรงกว่าที่คาด รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศที่รุมเร้า อาจมีความเป็นไปได้ที่การเติบโตของเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะต่ำลงกว่ากรอบประมาณการข้างต้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ว่าจะมีผลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากปัญหานานัปการที่เผชิญอยู่นี้ได้มากน้อยเพียงใด


