1 เดือนหลังโอบามาเข้ารับตำแหน่ง … เงินดอลลาร์ฯ ยังแกร่ง ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือน

ในระหว่างชั่วโมงการซื้อ-ขายตลาดเอเชีย วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552 เงินบาทร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนที่ระดับประมาณ 35.56 บาทต่อดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินบาทดังกล่าวยังคงเป็นไปในอัตราที่น้อยกว่าสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ที่ล้วนต้องเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจและภาคส่งออกที่ทรุดตัว ตลอดจนกระแสการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ ที่ได้รับแรงหนุนในฐานะที่เป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยพร้อมๆ กับสัญญาณที่เปราะบางของภาคการเงิน

หากพิจารณาการเคลื่อนไหวในภาพรวมของเงินดอลลาร์ฯ จากดัชนีค่าเงินดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักแล้วจะพบว่า ในขณะนี้ (ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552) เงินดอลลาร์ฯ ทะยานแข็งค่าขึ้นมากกว่าร้อยละ 8.0 เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นปี 2551 ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯ ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงกระแสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนที่ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงเวลา 1 เดือนหลังการเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 44 ของนายบารัค โอบามาในวันที่ 20 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา ทีมเศรษฐกิจและฝ่ายบริหารของทำเนียบขาวซึ่งถูกฝากความหวังในการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินในรอบนี้ ได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการผลักดันหลากหลายมาตรการ อาทิ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อเข้าจัดการกับแนวโน้มถดถอยที่รุนแรงมากขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาตรการช่วยเหลือภาคการเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขสินทรัพย์/ตราสารด้อยค่าของสถาบันการเงิน และกระตุ้นกลไกการปล่อยสินเชื่อสู่ภาคเอกชน และล่าสุดแผนการยับยั้งการบังคับจำนองที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ก็ตาม

อย่างไรก็ดี พัฒนาการของวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลกยังคงเลวร้ายลงไปอย่างต่อเนื่อง สัญญาณความอ่อนแอทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่ ความเสี่ยง/ความเปราะบางของสถาบันการเงินได้ส่อเค้าลางว่า ระลอกของข่าวร้ายในภาคการเงินยังไม่ยุติ และอาจมีความรุนแรงมากขึ้นเป็นปรากฏการณ์โดมิโน่ (Domino Effect) หากปัญหาลุกลามเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขอย่างทันท่วงทีจากทางการสหรัฐฯ

ประเมินผลงาน 1 เดือนของทีมเศรษฐกิจสหรัฐฯ … มุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า
ในบรรดามาตรการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินภายใต้การนำทีมโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามานั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ เป็นมาตรการที่เป็นรูปธรรม มีความชัดเจนในรายละเอียด และสามารถคาดหวังประสิทธิผลได้จริง ในขณะที่ ความสัมฤทธิ์ผลของมาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน และแผนการยับยั้งการบังคับจำนองนั้น ยังคงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์

แม้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.87 แสนล้านดอลลาร์ฯ ชุดนี้จะถูกมองว่า ไม่สามารถช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขึ้นจากแนวโน้มถดถอย แต่มาตรการดังกล่าวก็อาจจะช่วยบรรเทาให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงจากภาวะของการจมดิ่งลงอย่างรุนแรงได้ ทั้งนี้ แม้ว่ามูลค่าของเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะทยอยถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง (จากตัวเลขเบื้องต้นที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 9.37 แสนล้านดอลลาร์ฯ) ในระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจของสภาคองเกรสมาอยู่ที่ 7.87 แสนล้านดอลลาร์ฯ และเพิ่งจะได้รับการลงนามจากประธานาธิบดีโอบามา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา แต่มาตรการการคลังของสหรัฐฯ ในชุดนี้ นับว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 5.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

ในขณะที่ มาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน แม้จะมีการระบุถึงวงเงินมูลค่าสูงถึง 2.0 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในการแก้ไขสินทรัพย์/ตราสารด้อยค่าของสถาบันการเงิน และกระตุ้นกลไกการปล่อยสินเชื่อสู่ภาคเอกชน แต่ความคลุมเครือของรายละเอียดของแผนช่วยเหลือภาคการเงิน และความซับซ้อนของปัญหาในภาคการเงินสหรัฐฯ ทำให้ยังคงไม่สามารถเชื่อมั่นในประสิทธิผลในการเข้าจัดการกับแนวโน้มปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐฯ ที่เรื้อรังมานาน พร้อมๆ กับขนาดของความสูญเสียที่คาดว่าจะยังคงเพิ่มมากขึ้นไปอีกหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ช่วงเวลาของการฟื้นตัวได้

นอกจากนี้ แผนการยับยั้งการบังคับจำนอง 2.75 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่เพิ่งจะประกาศออกมาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 แม้ว่าในรายละเอียดจะมุ่งประเด็นไปที่การให้ความช่วยเหลือเจ้าของบ้านที่อาจกำลังเผชิญกับกระบวนการบังคับจำนอง และ/หรือมีปัญหาในการรีไฟแนนซ์หนี้ก้อนใหม่จำนวนมากถึง 7-9 ล้านครัวเรือน แต่แผนการนี้อาจสามารถช่วยเพียงแค่บรรเทาภาระการชำระหนี้รายเดือนของเจ้าของบ้านลงเท่านั้น แต่หากมีการคาดการณ์ว่า เสถียรภาพของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ และราคาบ้านจะต้องปรับลดลงไปอีกอย่างต่อเนื่องแล้ว มูลหนี้จำนองที่เจ้าของบ้านต้องแบกรับภาระอยู่นั้นก็จะยังคงมีขนาดที่มากกว่ามูลค่าของที่อยู่อาศัย (Negative Equity) ซึ่งก็อาจทำให้แผนการฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัยชุดนี้ สามารถให้ผลเพียงแค่ช่วยชะลอการพุ่งขึ้นของยอดการยึดทรัพย์จำนองเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นในกรณีเลวร้าย หากกระแสการปลดคนงานยังคงแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานอาจจะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่บั่นทอนเสถียรภาพของตลาดสินเชื่อจำนอง และลากยาวปัญหาที่เรื้อรังออกไป ซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนของการจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินในรอบนี้ถูกปรับเพิ่มขึ้นไปอีกในที่สุด

สำหรับแผนกอบกู้อุตสาหกรรมรถยนต์นั้น ในเบื้องต้นยังไม่มีประเด็นที่สำคัญถูกเปิดเผยออกมามากนัก มีแค่เพียงแนวคิดการจัดตั้งคณะทำงานพิเศษว่าด้วยอุตสาหกรรมรถยนต์ชุดใหม่ ซึ่งล้มล้างแนวคิดการแต่งตั้งบุคคลเพียงคนเดียว (Car Czar) ในการดูแลอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากแผนการให้ความช่วยเหลือทางด้านเงินกู้แก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในช่วงปลายปี 2551 นั้น เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปัญหาสภาพคล่องของบริษัทรถยนต์สหรัฐฯ เป็นแค่เพียงปัญหาเฉพาะหน้า แต่ปมปัญหาใหญ่ของบริษัทรถยนต์สหรัฐฯ อยู่ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันมาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจต้องได้รับเยียวยาด้วยการปรับโครงสร้างขนานใหญ่

ผลกระทบต่อไทย และบทสรุป
การเข้าจัดการกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานานท่ามกลางปัญหาของภาคการเงินที่อาจจะยังไม่ผ่านพ้นจุดต่ำสุด นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมากของทางการสหรัฐฯ ซึ่งการประกาศเจตนารมณ์ในการเข้าจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจและการเงินของประธานาธิบดีบารัค โอบามาในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 นั้น ได้ทำให้ความคาดหวังที่นักลงทุนทั่วโลกมีต่อทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบันของสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

และเป็นไปตามที่คาด ภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งทีมบริหารทำเนียบขาวเพียง 1 เดือน ก็มีความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ ทยอยเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่องถึง 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.87 แสนล้านดอลลาร์ฯ มาตรการช่วยเหลือภาคการเงินซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 2.0 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และล่าสุดแผนการยับยั้งการบังคับจำนอง 2.75 แสนล้านดอลลาร์ฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในบรรดามาตรการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินภายใต้การนำทีมโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามานั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7.87 แสนล้านดอลลาร์ฯ เป็นมาตรการที่เป็นรูปธรรม มีความชัดเจนในรายละเอียด และสามารถคาดหวังประสิทธิผลได้จริง ในขณะที่ ความสัมฤทธิ์ผลของมาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน และแผนการยับยั้งการบังคับจำนองนั้น ยังคงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการแก้ไขภาคการเงิน (แม้จะยังไม่มีความชัดเจนมากนัก) ออกมา แต่แนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงไม่สามารถบ่งชี้ถึงสัญญาณของการฟื้นตัว แต่กลับสะท้อนสัญญาณที่ชัดเจนของความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงมากขึ้นแทนนั้น อาจทำให้ความสัมฤทธิ์ผลของมาตรการไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และอาจทำให้ทางการสหรัฐฯ ต้องเข้าจัดการกับวิกฤตในรอบนี้ด้วยต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ก็ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เลวร้ายลงเช่นกัน อาทิ เศรษฐกิจที่ถดถอยลงพร้อมๆ กับความเปราะบางของภาคการเงินในยุโรป เสถียรภาพทางการเมืองและการทรุดตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในญี่ปุ่น ตลอดจนความอ่อนแอของเศรษฐกิจและภาคส่งออกทั่วเอเชียรวมทั้งประเทศไทย

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินที่ถดถอยลงมากกว่าที่คาด และได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องมากดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดเงิน-ตลาดทุนทั่วโลกนั้น จะยังคงทำให้กระแสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของนักลงทุนด้วยการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ฯ และทองคำ (ซึ่งถูกประเมินว่ามีความปลอดภัยในยามวิกฤต) จะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า ค่าเงินบาทอาจจะยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลงไปอย่างน้อยก็ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 นี้ โดยมีความเป็นไปได้ว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าไปทดสอบระดับ 35.90-36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระยะสั้น ท่ามกลางกระแสการอ่อนค่าของสกุลเงินในภูมิภาค ตลอดจนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและภาคส่งออกที่อ่อนแอของไทยที่อาจเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจำต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในระยะถัดไป

อย่างไรก็ตาม หากตลาดเริ่มกลับมามองว่า วิกฤตในรอบนี้ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว ตลาดเงิน-ตลาดทุนก็อาจเริ่มทยอยถอยออกจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะในกรณีของเงินดอลลาร์ฯ ที่อาจถูกมองว่าเริ่มมีมูลค่าสูงเกินปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ นักลงทุนก็อาจใช้เหตุผลดังกล่าว รวมไปถึงประเด็นเรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลการคลังในระดับสูงของสหรัฐฯ มาเป็นปัจจัยในการปรับลดพอร์ตการลงทุนที่อิงกับสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นต้องประสบกับภาวะที่ผันผวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป 