บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด แนะผู้ประกอบการรับสร้างบ้านเร่งพัฒนาธุรกิจ เตรียมรับสถานการณ์แข่งเดือดปีหน้า คาดผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างรายใหญ่หลายรายลงชิงแชร์ธุรกิจรับสร้างบ้าน ล่าสุด พีดี เฮ้าส์ เปิดตัว “บ้านล้อมสวน” บ้านใหญ่สไตล์โมเดิร์นที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของตัวบ้าน หรือพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัย พร้อมกันนี้ได้นำระบบโครงสร้างสำเร็จรูปแบบ Multi-joint Lock System มาใช้เพื่อควบคุมมาตรฐานการก่อสร้างแถมประหยัดพลังงาน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดี เฮ้าส์ เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับธุรกิจรับสร้างบ้านในปีหน้าว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ๆ จะขยายธุรกิจเข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกันผู้ประกอบการรายเดิมๆ ที่มีขนาดเล็ก อาจไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้และจำเป็นต้องออกจากธุรกิจนี้ไปในที่สุด ฉะนั้นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กต้องเร่งปรับตัวในการพัฒนาธุรกิจให้เท่าทันกับสภาวะการแข่งขัน
“ในการดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กหรือรายใหญ่ ควรจะคำนึงถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การหาลูกค้าในเชิงรุกโดยใช้การสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต (E-Commerce) การให้ผู้บริโภคตื่นตัวกับกระแสการรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยให้มาเชื่อมโยงกับตราสินค้า โลโก้ หรือโฆษณาขององค์กร (Green Logo) การเน้นบริหารการจัดการเพื่อเพิ่มคุณค่าให้สินค้าและบริการ (Value for Management) การให้ความสำคัญในด้านดีไซน์ ความทันสมัย หรือการก้าวล้ำคู่แข่งขัน (Design-Innovation) และการจับคู่ธุรกิจเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตร (Matching Partner) ให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ตามแม้ พีดี เฮ้าส์ จะแข็งแกร่งและมีศักยภาพโดดเด่นในอุตสาหกรรมรับสร้างบ้าน แต่บริษัทก็ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับสภาวะการแข่งขัน โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้สร้างสรรค์ผลงานล่าสุด “บ้านล้อมสวน” ที่มีแนวคิดในการออกแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของตัวบ้าน หรือพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัย หรือตามขนาดของที่ดิน หรือตามงบประมาณ ด้วยการโยกย้าย เพิ่ม หรือลดขนาดพื้นที่ใช้สอย โดยไม่ทำให้แนวคิดในการออกแบบบ้านที่วางไว้เปลี่ยนไป
“บริษัทได้นำระบบโครงสร้างสำเร็จรูปแบบ Multi-joint Lock System เข้ามาใช้ในการก่อสร้าง “บ้านล้อมสวน” ในระบบงาน เสา คาน และพื้น ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้เป็นงานที่หล่อมาจากโรงงาน ควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานที่วิศวกรกำหนด ก่อนที่จะทำการขนย้ายมาติดตั้ง ณ สถานที่ก่อสร้าง ซึ่งจะแตกต่างกับระบบหล่อ คาน เสา พื้น ณ สถานที่ก่อสร้าง ที่มีความผิดพลาดค่อนข้างสูงและควบคุมคุณภาพได้ยาก ระบบโครงสร้างสำเร็จรูปแบบ Multi-joint Lock System จะช่วยลดเวลาการทำงาน ณ สถานที่ก่อสร้างลงได้ประมาณ 2 เท่า และมั่นใจได้ว่ามีความแข็งแรงและปลอดภัยสูง “บ้านล้อมสวน” จัดว่าเป็นบ้านประหยัดพลังงาน ทั้งพลังงานคนและเวลาในการก่อสร้าง อีกทั้งการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมช่วยลดการใช้พลังงานภายในบ้าน ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้อยู่อาศัย”
บริษัทเชื่อมั่นว่า “บ้านล้อมสวน” จะได้รับการยอมรับและชื่นชมจากลูกค้าในกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่มีสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์แตกต่างเฉพาะตัวและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ รูปแบบของ “บ้านล้อมสวน” ซึ่งใช้งบในการสร้างบ้านรุ่นนี้ประมาณ 8 ล้านบาท ไปจนถึงราคา 12 ล้านบาท
นายสิทธิพรกล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับความคืบหน้าในธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดี เฮ้าส์ ที่ทางบริษัทเปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก พีดี เฮ้าส์ เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และเป็นโมเดลใหม่ที่บริษัทนำมาต่อยอดธุรกิจ เพื่อการขยายโอกาสและสนับสนุนธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ โดยตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 50 สาขาภายใน 5 ปี (2556) ในปีนี้บริษัทวางแผนไว้ว่าจะเปิดให้ครบ 4 สาขา ได้แก่ สระบุรี อุดรธานี เชียงใหม่ และพิษณุโลก ซึ่งศูนย์รับสร้างบ้านพีดี เฮ้าส์ สาขาสระบุรี และอุดรธานี เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย ส่วนสาขาเชียงใหม่ และพิษณุโลก อยู่ในระหว่างการดำเนินงาน และคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมหรืออย่างช้าไม่เกินเดือนมกราคมศกหน้า”
ธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านตามที่บริษัทได้จัดตั้งขึ้นมานั้น เป็นการนำเอาแนวความคิด Matching Partner หรือการสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพ มาใช้เป็นกลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการรายเล็กแบบรวมกลุ่มภายใต้แบรนด์ พีดี เฮ้าส์ ทั้งนี้เพื่อจะสามารถแข่งขันกับรายใหญ่และพัฒนาศักยภาพของบริษัทหรือเครือข่ายให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายที่จะสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่จะเข้าสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านให้มีมาตรฐานการบริการและมาตรฐานสินค้าเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพในการเติบโตสูง
บริษัทคาดการณ์ถึงผลประกอบการในปีนี้ว่า ยอดขายรวมน่าจะประมาณ 220-230 ล้านบาท น้อยกว่าปีที่ผ่านมา (2551) ที่มีผลประกอบการประมาณ 250 ล้านบาท หรือน้อยกว่า 8-10% ในขณะที่มูลค่ารวมของตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประเมินว่าน่าจะต่ำกว่าปีที่แล้วประมาณ 15-20% ทั้งนี้เนื่องมาจากผลพวงของภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของเศรษฐกิจในประเทศไทย ประกอบกับผลกระทบจากปัจจัยลบทางการเมืองที่ส่งผลต่อธุรกิจรับสร้างบ้านและในภาคธุรกิจอื่นๆ เช่นกัน นายสิทธิพรกล่าวในที่สุด