อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมกราคม 2553 เร่งตัวขึ้นมาที่ร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในปี 2552 แต่เมื่อมองไปข้างหน้า แนวโน้มค่าครองชีพมีโอกาสที่จะปรับสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันและราคาพืชผลทางการเกษตรที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน รายได้ของภาคครัวเรือน ที่พิจารณาจากอัตราการปรับขึ้นเงินเดือนในปี 2553 ที่ปรับผลของเงินเฟ้อแล้ว อาจเป็นระดับที่ต่ำกว่าในปี 2552 ที่เงินเฟ้อมีอัตราติดลบ ทิศทางดังกล่าวบ่งชี้ว่าภาวะการบริโภคในปี 2553 ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากอำนาจซื้อของผู้บริโภคที่อาจยังไม่ปรับตัวดีขึ้นมากนัก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ทิศทางเงินเฟ้อของไทย และผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในปี 2553 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนมกราคม 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 3.5 ในเดือนธันวาคม และเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 16 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 นับเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เพียง 4 เดือน ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคทั่วไปในเดือนมกราคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 (Month-on-Month) จากระดับ 105.7 ในเดือนธันวาคม มาอยู่ที่ระดับ 106.3 โดยสาเหตุที่สำคัญเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร และราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่ปรับขึ้นในเดือนมกราคม รวมทั้งการลดเงื่อนไขการอุดหนุนค่าน้ำประปาฟรี ภายใต้ 5 มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ส่งผลให้ประชาชนส่วนหนึ่งต้องกลับมาจ่ายค่าน้ำประปาตามอัตราปกติ ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมอาหารสดและพลังงาน ขยับขึ้นมาที่ร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากร้อยละ 0.2 ในเดือนธันวาคม กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0 เป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็เป็นผลมาจากการปรับมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพเช่นเดียวกัน
สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนถัดๆ ไปนั้น ในระยะสั้น คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังมีโอกาสที่จะหลุดออกจากกรอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. อีกได้ โดยในกรณีอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะมีผลของฐานเปรียบเทียบในปีก่อนหน้า ที่ฐานดัชนีราคาผู้บริโภคของปี 2552 เริ่มขยับสูงขึ้นนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเป็นช่วงที่รัฐบาลได้ปรับ 6 มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยยกเลิกมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 คงเหลือไว้เพียง 5 มาตรการที่ยังมีการใช้อยู่ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับฐานที่สูงขึ้น อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จึงมีทิศทางชะลอลงกว่าในเดือนมกราคม อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคงเป็นปรากฏการณ์ในระยะสั้น ซึ่งทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงระยะข้างหน้า จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 สำหรับในด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ก็มีปัจจัยเกี่ยวกับฐานเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกุมภาพันธ์ มีโอกาสที่จะลดลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 0.5 หรือต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. อีกครั้ง แต่คงเป็นเพียงระยะสั้น ก่อนที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะค่อยๆ มีระดับสูงขึ้นต่อเนื่องนับจากไตรมาสที่ 2/2553 ไปจนถึงสิ้นปี
ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อทิศทางเงินเฟ้อ ที่สำคัญได้แก่ ทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งอาจจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรก คือ สินค้าเกษตร ซึ่งราคาผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก จากปัจจัยหนุนด้านอุปทานที่ลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและเลวร้ายในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องไปจนถึงช่วงระยะข้างหน้า ในขณะที่ความต้องการในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำหรับสินค้ากลุ่มพลังงานและโลหะ มีแนวโน้มผันผวนสูงในปีนี้ ขึ้นอยู่กับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ คือ สหรัฐฯ และจีน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านค่าเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งแกว่งตัวค่อนข้างมากในระยะเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดวิตกกังวลต่อมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่ทางการจีนทยอยออกมาเป็นลำดับ โดยหวั่นเกรงว่าอาจจะกระทบกระเทือนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังมีความกังวลต่อปัญหาหนี้ในบางประเทศของยุโรป เช่น กรีซและสเปน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนหันกลับมาถือครองสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ฯ ที่นักลงทุนมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย ทำให้ในขณะนี้ทั้งราคาน้ำมันและโลหะประเภทต่างๆ ล้วนดิ่งลงอย่างรุนแรง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวลดลงถึง 10 ดอลลาร์ฯ มาที่ประมาณ 70.2 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จากที่ขึ้นไปเหนือ 80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงต้นเดือนมกราคม แต่แนวโน้มในระยะข้างหน้า ราคาน้ำมันและโลหะต่างๆ ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ หากเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องติดตาม คือ มาตรการในการบรรเทาผลกระทบด้านราคาสินค้าของรัฐบาล โดยสำหรับประเด็นด้านราคาพลังงาน นอกจากปัจจัยทิศทางราคาในตลาดโลกที่มีแนวโน้มผันผวนสูงแล้ว ยังต้องจับตานโยบายอุดหนุนราคาพลังงาน ซึ่งรัฐบาลอาจมีการทบทวนราคาก๊าซหุงต้ม หรือ LPG สืบเนื่องจากปัญหาการลงทุนในมาบตาพุด ที่ส่งผลให้โรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 ยังไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ จึงอาจต้องมีการนำเข้าก๊าซ LPG ซึ่งราคาในตลาดโลกจะสูงกว่าราคาในประเทศ ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการปรับขึ้นราคา LPG ก่อนกำหนด ประเด็นเชิงนโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การตัดสินใจของรัฐบาลกรณี 5 มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ ว่าจะมีการขยายมาตรการออกไปอีกหรือไม่ หลังจากถึงกำหนดสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2553 และจะขยายออกไปอีกนานเพียงใด
โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 ว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูง อยู่ระหว่างร้อยละ 3.0-4.0 จากที่ลดลงในปีก่อนหน้า ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.5-2.5 ซึ่งยังเป็นระดับที่ไม่สูงจนเกินไป อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจะค่อยๆ ส่งผ่านไปสู่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทต่างๆ ในที่สุด
แรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จะเป็นปัจจัยที่ทำให้รายได้สุทธิของผู้บริโภคอาจเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ไม่มากนัก โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างที่ได้รับเงินเดือน โดยจากการวิเคราะห์ผลของเงินเฟ้อที่จะมีต่อรายได้ของภาคครัวเรือนในปี 2553 นั้น เมื่อพิจารณาจากผลการสำรวจของบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ชั้นนำหลายแห่งพบว่า การปรับขึ้นเงินเดือนในปี 2553 จะมีค่าเฉลี่ยโดยประมาณอยู่ที่อัตราร้อยละ 5 ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากปี 2552 ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงรายได้สุทธิของลูกจ้างที่ได้รับเงินเดือน เมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว จะเห็นได้ว่าในปี 2552 อัตราเงินเฟ้อติดลบร้อยละ 0.9 ซึ่งหมายถึงผู้ทำงานได้รับเงินเดือนเพิ่มเต็มอัตราที่ได้รับการปรับขึ้น แต่ในปี 2553 อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0-4.0 ซึ่งหมายความว่าอัตราการปรับขึ้นเงินเดือนที่ร้อยละ 5 จะถูกลดทอนจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3-4 จึงเป็นผลให้อำนาจซื้อของลูกจ้างที่ได้รับเงินเดือนนั้นสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาไม่มากนัก โดยอัตราการปรับขึ้นเงินเดือนสุทธิที่ปรับค่าครองชีพแล้วจะเท่ากับประมาณร้อยละ 1-2 อย่างไรก็ดี กลุ่มที่น่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาน่าจะอยู่ในกลุ่มผู้ที่ทำการเกษตรในสาขาที่พืชผลมีแนวโน้มราคาดี กลุ่มแรงงานที่เคยถูกเลิกจ้างในปีก่อนและได้รับการว่าจ้างกลับเข้าทำงานในปีนี้ และกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เร่งตัวขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนที่ร้อยละ 4.0 ในเดือนมกราคม 2553 น่าจะชะลอลงในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากฐานดัชนีราคาผู้บริโภคในปีก่อนที่เริ่มขยับขึ้นนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีโอกาสที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี ขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก รวมทั้งการตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับการสิ้นสุด 5 มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ เป็นสำคัญ โดยภาพรวมในปี 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.0-4.0 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5-2.5 สูงขึ้นจากปี 2552 ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบร้อยละ 0.9 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3
สำหรับผลของ 5 มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าหากมาตรการสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 3.4-4.0 ขณะที่หากรัฐบาลขยายมาตรการออกไปถึงเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ในช่วงร้อยละ 3.2-3.8 และหากขยายมาตรการออกไปถึงเดือนกันยายน 2553 อัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ในช่วงร้อยละ 3.0-3.5
ทั้งนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่มีระดับสูงในปัจจุบัน (ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเทคนิคในการคำนวณเงินเฟ้อ และปัจจัยด้านมาตรการอุดหนุนของรัฐ) จะยังไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้ และยังไม่ส่งผลกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินในระยะสั้นนี้ แต่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อภาคครัวเรือน ส่งผลให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคในปีนี้อาจไม่ดีขึ้นกว่าปีก่อนมากนัก แม้ว่ารายได้จะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม ทิศทางดังกล่าวทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การบริโภคของภาคเอกชนอาจฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 1.5-2.6 ในปี 2553 จากที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 1.2 ในปี 2552 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปี ก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในปี 2552 ที่การบริโภคของภาคเอกชนเคยขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.7 (ระหว่างปี 2547-2551)


