บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 17.2 ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 16.1 การแบ่งปันกำไรสุทธิ ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 704 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ a3.06 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรอยู่ที่ 676 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2.94 บาท
ความต้องการปูนซีเมนต์ภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 10ในไตรมาส 4 ปี 2552 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 สืบเนื่องมาจากความต้องการปูนซีเมนต์ในไตรมาส 4 ปี 2551 มีปริมาณที่ต่ำมากอันเนื่องมาจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจโลก และภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา จากความมั่นใจของนักลงทุนและผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น ความต้องการปูนซีเมนต์ภายในประเทศสำหรับปี 2552 ปรับตัวลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน ซึ่งถือเป็นการลดลงที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 10 เมื่อตอนต้นปี
ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 บริษัทฯ มีรายได้สุทธิรวมจากการขาย 5,008 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้สุทธิรวมจากการขาย 5,237 ล้านบาทอยู่ที่ร้อยละ 4.4 และมีรายได้สุทธิรวมจากการขายของบริษัทฯ สำหรับปี 2552 อยู่ที่ 19,971 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้สุทธิรวมจากการขายของบริษัทฯ ในปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 21,305 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.3
ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นของบริษัทฯที่จะลดค่าใช้จ่ายคงที่ในการดำเนินงานและการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตทำให้อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 19.7 ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงาน อยู่ที่ร้อยละ 19.6 การแบ่งปันกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ สำหรับปี 2552 อยู่ที่ 2, 946 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 12.81 บาท เปรียบเทียบกับปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 3,173 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 13.79 บาท
ในขณะเดียวกัน การลดลงของเงินลงทุนหมุนเวียนสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 33.2 หรือเท่ากับ 4,128 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552เปรียบเทียบกับกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานสำหรับปี 2551 ที่ 3,099 ล้านบาท
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอ จ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงาน ปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 11.00 บาท จากกำไรสุทธิต่อหุ้น 12.81 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายในอัตราร้อยละ 86 ของกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 6.00 บาท ในเดือนสิงหาคม 2552 จึงเหลือเงินปันผลงวดสุดท้ายของปี ที่จะต้องจ่ายอีกหุ้นละ 5.00 บาท โดยจะจ่ายภายในเดือนพฤษภาคม 2552 นี้
บริษัทฯได้มีการคาดการณ์ถึงความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2552 ร้อยละ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ของภาครัฐ บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการลดต้นทุนต่างๆ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการจัดเตรียมเชื้อเพลิงและวัตถุดิบทดแทน และหน่วยผลิตไฟฟ้าจากความร้อนเหลือใช้ของเตาเผาที่ 5 และ 6 ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงปีละ 25 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มดำเนินงานในเดือนกรกฎาคม 2553 นี้
รวมถึงโครงการ ‘Growing green together’ ซึ่งทางบริษัทฯได้มุ่งเน้นถึงการนำเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อชุมชน คู่ค้า พนักงานและสังคมโดยรวม นับว่าเป็นการแสดงออกถึงการยึดมั่นในหลักการของความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทฯ