พีดีเฮ้าส์ ปลื้มหลังผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านจนสามารถรับรู้ในวงกว้าง เริ่มจากผนึกรวมกลุ่มผู้ประกอบการเมื่อ 6 ปีก่อน ต่อมาเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจแฟรนไชส์รับสร้างบ้านเกิดขึ้นรายแรก เปิดใจนำระบบแฟรนไชส์มาใช้เป็นกลยุทธ์ต่อยอดธุรกิจ หวังสร้างเครือข่ายและพัฒนาตลาดรวมรับสร้างบ้าน จากนิชมาร์เก็ตให้ก้าวสู่อุตสาหกรรมรับสร้างบ้านในอนาคต เผยเตรียมพร้อมรับมือคู่แข่งรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เปิดแผนปี 53 มุ่งขยายสาขาต่างจังหวัดต่อเนื่อง ชิงปักธงเปิดรวดเดียว 2 สาขา เชียงใหม่ พิษณุโลก หวังครองตลาดรับสร้างบ้านภาคเหนือก่อนคู่แข่งไล่ตามทัน ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้ 600 ล้านบาท
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลอป จำกัด หรือ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการยกระดับผู้ประกอบการและภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้าน ให้มีมาตรฐานเป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่การผลักดันให้เกิดการรวมตัวกันของผู้ประกอบการเมื่อ 6 ปีก่อน กระทั่งมาถึงแนวคิดการสร้างเครือข่ายด้วยระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน ณ ปัจจุบันถือว่าพอใจกับผลสำเร็จดังที่คาดหวังไว้ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเปิดตัวแฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ หลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน สำหรับโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์รับสร้างบ้านก่อนที่บริษัทฯ จะเริ่มพัฒนาระบบขึ้นมา ได้มีการศึกษาจุดอ่อนและข้อปัญหาต่างๆ มาโดยละเอียด จากนั้นจึงทำการออกแบบกระบวนการบริหารจัดการ โดยเปลี่ยนจุดอ่อนให้กลายเป็นจุดแข็ง ซึ่งมีหัวใจสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1.การถ่ายทอดโนว์ฮาวในรูปแบบของคู่มือฯและฝึกอบรม 2.ทีมสนับสนุน 3.ระบบงานดีไซน์เซ็นเตอร์ และ 4.แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
“โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ตามที่บริษัทฯ ออกแบบและพัฒนาขึ้นมา เป้าหมายมิใช่เพียงเพื่อการค้าหรือทำกำไรเท่านั้น หากแต่ต้องการยกระดับธุรกิจรับสร้างบ้านจากเดิมที่รับรู้กันในวงแคบ หรือเป็นตลาดนิชมาร์เก็ตให้เปลี่ยนไปสู่อุสาหกรรมรับสร้างบ้านในอนาคต ภายใต้แนวคิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และสร้างพันธมิตรผู้ประกอบการ SME (Alliance) ให้เกิดการรวมพลังและกลายเป็น Economy of Scale เพื่อสร้างความเข้มแข็งในกลุ่มธุรกิจแบบยั่งยืน สำคัญที่สุดคือสามารถแข่งขันกับบริษัทรายใหญ่ได้อย่างไม่เสียเปรียบ เพราะจากนี้ไปจะพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรือปี 2558 เมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจำเป็นต้องเปิดให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุน และแข่งขันในธุรกิจก่อสร้างกับผู้ประกอบการคนไทย ดังนั้นบริษัทฯจึงต้องมีการปรับตัวและเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้หรือสามารถรุกขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศได้เช่นกัน”
นายอัครเดช ด่านไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่รับสร้างบ้าน จำกัด หรือ ผู้จัดการศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ สาขาเชียงใหม่ กล่าวว่า เชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ โดยเฉพาะเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งโบราณสถานทางวัฒนธรรรมสำคัญๆ หากมองภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ และที่อยู่อาศัย นับได้ว่าเชียงใหม่มีการเติบโตเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อวิเคราะห์ถึงความต้องการสร้างบ้านเองของผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1) สร้างบ้านหลังแรกเพื่ออยู่อาศัยทั่วๆไป หรือคือกลุ่มผู้บริโภคในท้องถิ่น 2) สร้างบ้านหลังที่สองเพื่อการพักผ่อน หมายถึงกลุ่มผู้บริโภคหรือนักลงทุนมาจากต่างถิ่น ทั้งนี้ประเมินว่าน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 70:30 ทำให้ตลาดบ้านสร้างเองจังหวัดเชียงใหม่ มีโอกาสเติบโตมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ
สถิติจดทะเบียนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างในภาคเหนือปี 2552 คาดว่ามีจำนวนประมาณ 21,000 หน่วยเศษ โดยจังหวัดเชียงใหม่คาดว่ามีจำนวนประมาณ 9,000 หน่วยเศษ หรือจดทะเบียนฯ มากเป็นอันดับ 1 ของจังหวัดในภาคเหนือ ประเมินว่าเป็นสัดส่วนประเภทบ้านจัดสรรประมาณ 70% และประเภทบ้านสร้างเองประมาณ 30% หรือคิดเป็นบ้านจัดสรรประมาณ 6,300 หน่วย และบ้านสร้างเองประมาณ 2,700 หน่วย สำหรับปี 2553 นี้ประเมินว่าสถิติจดทะเบียนฯ ในกลุ่มบ้านสร้างเองจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-8% หรือประมาณ 2,800-2,900 หน่วย จึงนับได้ว่าขนาดของตลาดบ้านสร้างเองมีปริมาณมากพอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้บริโภคจะใช้บริการผู้รับเหมาทั่วไปและบริษัทรับสร้างบ้านรายเล็กในท้องถิ่น แต่ก็มีบางส่วนที่ว่าจ้างผู้ประกอบการจากรุงเทพฯ ให้เป็นผู้ดำเนินการ เพราะต้องการสร้างบ้านกับมืออาชีพ โดยยอมจ่ายส่วนต่างเพิ่มเป็นค่าเดินทางและขนส่งวัสดุ ดังนั้นเชื่อมั่นว่าการเปิดตัวของศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์สาขาเชียงใหม่ครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์และสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงใจ ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าหรือราคาค่าก่อสร้างบ้านโดยเฉลี่ยประมาณ 2-5 ล้านบาท/หลังจะได้รับความนิยมสูงสุด ปีนี้พีดีเฮ้าส์สาขาเชียงใหม่ตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 40 ล้านบาท และคาดว่ายอดขายรวมตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า จะมียอดขายประมาณ 300-400 ล้านบาท โดยประมาณการว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 30%
นายสิทธิพร กล่าวปิดท้ายว่า หากผู้บริโภคให้การตอบรับดีหรือในปีนี้สาขาในจังหวัดภาคเหนือทั้ง 2 สาขาคือ เชียงใหม่ และพิษณุโลก สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ มีความเป็นไปได้ว่าปี 2554 จะขยายเพิ่มเป็น 3 สาขา โดยจังหวัดเป้าหมายได้แก่ เชียงราย ทั้งนี้โดยข้อตกลงตามสัญญาขยายสาขาในพื้นที่ภาคเหนือ บริษัทฯ จะให้สิทธิ์แฟรนไชส์ซี หรือ เชียงใหม่รับสร้างบ้าน ในฐานะเจ้าของพื้นที่เขตติดต่อเป็นผู้พิจารณาก่อน ว่าจะลงทุนเองหรือจะให้สิทธิ์บริษัทฯ ลงทุน สำหรับยอดขายรวมทั้ง 20 สาขาปีนี้ตั้งเป้าไว้ประมาณ 600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 400 ล้านบาทเศษ