ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ รายงานว่าภาพรวมปริมาณและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไตรมาส 1/2553 ยังเผชิญกับปัจจัยลบทางการเมือง โดยเฉพาะหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ส่งผลให้อุณหภูมิทางการเมืองทั้งในสภาและนอกสภาร้อนแรงขึ้นทันที โดยกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องมีการประเมินสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด เพื่อจะหาทางปรับตัวและรับมือกับกำลังซื้อที่ยังทรงตัวในไตรมาสแรก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงท้ายปีก่อนและอาจต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้แล้ว
สำหรับภาวะตลาดรับสร้างบ้านยังมีโอกาสจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อพิจารณาจากวัฏจักรหรือสถิติการเติบโตและถดถอยของธุรกิจนี้ที่ผ่านๆมา แม้ปัจจุบันผู้บริโภคและประชาชนจะยังกังวลกับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ก็ตาม แต่เชื่อว่าจะสามารถปรับตัวและยอมรับได้กับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น รวมถึงความต้องการที่อั้นเอาไว้มาระยะหนึ่ง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ดีการฟื้นของตลาดรับสร้างบ้านมิได้หมายความว่าผู้ประกอบการจะสามารถเติบโตตามได้ทุกราย เพราะปัจจุบันจะพบว่ากลยุทธ์การตลาดและการแข่งขันเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม เช่น การแข่งขันขยายตลาดออกสู่ต่างจังหวัด การนำระบบแฟรนไชส์มาใช้ขยายธุรกิจ การเน้นให้ข้อมูลข่าวสารและสร้างความน่าเชื่อถือ ฯลฯ เป็นต้น
แนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 2/2553
ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจฯ ประเมินว่าปี 2553 และต่อเนื่องไปอีก 3-5 ปีข้างหน้า “ตลาดรับสร้างบ้านกำลังเข้าสู่ช่วงวัฏจักรขาขึ้น” โดยคาดว่าตลาดรวมจะค่อยๆฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2 และชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะหากมีการขยายตลาดหรือสาขาให้สามารถบริการได้ครอบคลุมพื้นที่ได้ทุกภูมิภาค ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านจะเป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภคในวงกว้างอย่างเป็นรูปธรรมที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มและทิศทางการเติบโตของตลาดรับสร้างบ้านต่อเนื่องไปถึงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลายๆโครงการ เริ่มกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเห็นผลชัดขึ้น สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตและเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
จากภาพที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยสนับสนุนต่างๆ เอื้อต่อการขยายตัวของภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้ ยกเว้นกรณีเหตุความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศ ที่ในปัจจุบันเมฆหมอกควันทางการเมืองยังไม่จางลง และนับเป็นปัจจัยลบเพียงเรื่องเดียวที่อาจจะฉุดมิให้ตลาดรับสร้างบ้านเติบโตได้ในปี้นี้ อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจฯมองว่า ผู้บริโภคและประชาชนเริ่มปรับตัวเองได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 4 ปีเศษที่ผ่านมาและแปรเปลี่ยนเป็นความเคยชินได้บ้างแล้ว ฉะนั้นปัจจัยลบทางการเมืองจึงไม่ใช่ตัวแปรสำคัญและไม่น่าเป็นห่วงมากนัก
ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดโอกาสและจุดเปลี่ยน
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ในช่วงวัฎจักรขาลง ดังนั้นจึงเห็นภาพของการกระหน่ำโปรโมชั่นและแข่งขันราคากันรุนแรงมาตลอด แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายหันมาเร่งปรับตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคาด้วยการสร้างฐานหรือกลุ่มลูกค้าใหม่ของตัวเอง และขยายไปสู่ตลาดหรือพื้นที่ใหม่ๆที่คู่แข่งในระดับเดียวกันไม่สามารถขยายสาขาไปถึง โดยขยายตลาดออกไปยังจังหวัดไกลๆ ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เช่น อุดรธานี พิษณุโลก เชียงใหม่ ภูเก็ต ฯลฯ เป็นต้น อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการมองว่าภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านในปี 2553 มีแนวโน้มจะฟื้นตัวจากปีก่อน รวมถึงการปรับตัวเองของผู้ประกอบการที่หันมาขยายไปสู่ตลาดต่างจังหวัด จากเดิมที่มุ่งแข่งขันอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น ทำให้มีโอกาสและความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้ทั้งปริมาณและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดทิศทางการเติบโตและถดถอย ที่ผ่านมาอาจไม่แตกต่างกับตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลมากนัก แต่ความน่าสนใจคือ การแข่งขันขันไม่รุนแรงเช่นพื้นที่กรุงทพฯและปริมณฑล เนื่องเพราะมีผู้ประกอบการแข่งขันอยู่น้อยราย โดยเฉพาะบริษัทรับสร้างบ้านที่มีความเป็นมืออาชีพและขยายสาขาไปในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น ถือว่ามีความได้เปรียบผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ยังขาดความพร้อม ทั้งในแง่มาตรฐานสินค้าและความน่าเชื่อถือต่อผู้บริโภค ดังนั้นตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดซึ่งมีขนาดใหญ่และถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจให้เติบโต อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการควรประเมินความพร้อมตัวเองให้ดีเสียก่อน มิใช่เพียงแค่ขยายตลาดตามกระแสเท่านั้น
ชี้แนะการพัฒนาตลาดรับสร้างบ้านในวงกว้าง
ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านได้มีการรวมตัวกัน เพื่อต้องการจะสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภคและประชาชนในวงกว้าง แต่ในข้อเท็จจริงกลับพบว่ากลุ่มผู้ประกอบการเกือบทั้งหมด ดำเนินธุรกิจหรือให้บริการรับสร้างบ้านอยู่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น นอกจากนี้กิจกรรมทางการตลาดและการพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อจะยกระดับมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมิได้ขยายออกสู่ต่างจังหวัด แต่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯเช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่ามิได้มีการพัฒนาตลาดรวมรับสร้างบ้านในวงกว้างอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงส่งผลให้เกิดช่องช่องว่างทางการตลาดในต่างจังหวัด และทำให้มีผู้ประกอบการมือสมัครเล่นหรือบริษัทรับสร้างบ้าน ที่ขาดคุณสมบัติความเป็นมืออาชีพแทรกตัวเข้ามาในธุรกิจรับสร้างบ้านจำนวนมาก โดยที่ผู้บริโภคเองก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามืออาชีพหรือมือสมัครเล่นแตกต่างกันอย่างไร และผลที่ตามมาก็คือภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านยังไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาของผู้บริโภค ฉะนั้นกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นมืออาชีพแท้จริง ควรมีเครือข่ายและวางแนวทางการพัฒนาตลาดรับสร้างบ้านที่ชัดเจนกว่านี้
หากพิจาณาสถิติการขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยในแนวราบทั่วประเทศปี 2552 คาดว่าจะมีปริมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ 150,000 หน่วยเศษ โดยประเมินว่าปี 2553 จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5-8% จากปีที่แล้วหรือประมาณ 160,000 หน่วยเศษ สามารถแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านสร้างเอง (ประชาชนสร้างเอง) จำนวน 40% หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 64,000 หน่วยเศษจากทั่วประเทศ ซึ่งตลาดบ้านสร้างเอง (ประชาชนสร้างเอง) มีแนวโน้มที่จะใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านประมาณ 10-12% หรือประมาณ 7,200 หน่วยจากทั่วประเทศ ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านสามารถแชร์ส่วนแบ่งตลาดบ้านสร้างเองได้เพียง 2,000 หน่วยเศษเท่านั้น หรือไม่ถึง 30% ของกลุ่มเป้าหมายรวม (7,200 หน่วย) เหตุเพราะผู้ประกอบการเกือบทั้งระบบดำเนินธุรกิจอยู่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเทานั้น โดยที่แชร์ตลาดบ้านสร้างเองส่วนใหญ่ยังตกเป็นของกลุ่มผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป
ตลาดรับสร้างบ้านจะสามารถเติบโตและขยายออกไปในวงกว้างได้นั้น บรรดาผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้ หรือผู้ที่เข้ามาใหม่ก็จะต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น เพื่อจะได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและแชร์ส่วนแบ่งในพื้นที่หรือตลาดใหม่ๆได้เพิ่มมากขึ้น เช่น การสร้างเครือข่ายธุรกิจ การจับคู่ธุรกิจ ฯลฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพและสามารถแข่งขันได้อย่างไม่เสียเปรียบ
มองกลยุทธ์การแข่งขัน
ทิศทางการแข่งขันของตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน พบว่าผู้ประกอบการหรือบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ หันมาเน้นและให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์องค์กรมากขึ้น โดยพยายามจะสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อชี้ให้เห็นถึงความเป็นบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ มีวิสัยทัศน์หรืจุดยืนในการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ยกตัวอย่างเช่น การไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติตามระเบียบและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคและประชาชนมีความตื่นตัวต่อองค์กรธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ต้องดำเนินธุรกิจ อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น โดยหันมาสนับสนุนผู้ผลิตและให้บริการในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ในขณะเดียวกันก็ต่อต้านและปฏิเสธการบริโภคสินค้าและบริการจากผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและเอาเปรียบสังคม ในส่วนของผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านก็ไม่ต่างจากธุรกิจอื่น เริ่มถูกผู้บริโภคปฏิเสธที่จะใช้บริการเมื่อพบว่าเอาเปรียบหรือไม่รับผิดชอบต่อสังคม เช่น หลีกเลี่ยงการเสียภาษี เป็นต้น
ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ากลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านมีการรวมตัวกันสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภคและประชาชน โดยเลือกเอาการตลาดแบบ Below the Line หรือกลยุทธ์การตลาดในรูปแบบ Event Marketing มาใช้สื่อสารและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทำให้มูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในระยะแรกๆ แต่จากปรากฏการณ์ในปัจจุบันจะเห็นว่า Event Marketing เริ่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคและประชาชนน้อยลงตามลำดับ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วอาจเกิดจากรูปแบบและวิธีนำเสนอที่ซ้ำๆ และขาดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ หรืออาจเป็นเพราะมีการจัด Event บ่อยเกินไป และเป็นเพราะถูกผู้ประกอบการชิงจัดงาน Event ตัดหน้างานใหญ่ ฯลฯ เป็นต้น
โดยสรุปรูปแบบการแข่งขันของผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตามกระแสตื่นตัวของผู้บริโภคที่เห็นความสำคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เคยเสียเปรียบรายเล็กรายกลางที่ใช้วิธีหลบเลี่ยงภาษี เพื่อให้มีต้นทุนต่ำลงหรือขายสินค้าได้ราคาถูกกว่าคู่แข่งนั้น แนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าในอนาคตอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป รวมทั้งจะถูกสังคมต่อต้านและอาจไม่มีที่ยืนอยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านได้อีกต่อไป หากไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันในยุคปัจจุบัน รวมถึงพัฒนารูปแบบการสื่อสารที่หลากหลายและสร้างสรรค์อย่างชัดเจน เพื่อสามารถเข้าถึงผู้บริโภคและประชาชนได้ในวงกว้างอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรเข้าใจอย่างถูกต้องว่าการยอมรับของผู้บริโภค มิได้ขึ้นอยู่กับการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ว่าสินค้าและบริการมีคุณภาพ หรือใช้วิธีเอ่ยอ้างหน่วยงานอื่นมาการันตีความน่าเชื่อถือของตัวเอง โดยข้อเท็จจริงผู้บริโภคจะต้องสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์จริง ถึงมาตรฐานสินค้าและบริการจึงจะเกิดการยอมรับอย่างยั่งยืน