“คอลลี่” เน้นบุกต่างประเทศ นำร่องเสต็ปเดิม “โพสท์ไอจี”

แจ้งเกิดมาแล้วเป็น 5 ปีในตลาด “คอลลาเจน” สำหรับแบรนด์ “คอลลี่” ถือว่าเป็นคอลลาเจนแบรนด์ใหญ่แบรนด์แรกๆ ที่ลงมาจับตลาด และทุ่มทุนด้านการตลาดอย่างจริงจัง ในช่วงปีแรกๆ คอลลาเจนยังไม่บูมเท่าในปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งกวาดพรีเซ็นเตอร์มาแล้วถึง 4 คน ในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นตัวพ่อตัวแม่ในวงการทั้งสิ้น

เริ่มต้นจาก “เนย โชติกา วงศ์วิลาศ” ต่อด้วย “โดม ปกรณ์ ลัม” “ออม สุชาร์ มานะยิ่ง” และล่าสุดกับเจ้าแม่พรีเซ็นเตอร์คนใหม่ “ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่”

ถ้าพูดถึงกระบวนการการแจ้งเกิดของคอลลี่แล้วนั้น เรียกว่ามีการเติบโตมาจากออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นค่อยขยายเข้าสู่ช่องทางการขายอื่นๆ และยังเป็นแบรนด์แรกๆ ที่บุกเบิกเรื่อง “Influencer Marketing” และ โดยการให้ดารา เซเลบริตี้ และเน็ตไอดอลคนดังบนโลกออนไลน์ต่างถ่ายรูปคู่สินค้า พร้อมกับโพสท์ลงบนอินสตาแกรม และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เพื่อเป็นการโปรโมท และสร้างกระแส

ทำให้ในปัจจุบันคอลลาเจนกลายอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแบรนด์มากมายอย่างมากบนโลกออนไลน์ เหล่าเน็ตไอดอลที่มีช่องทางของตนเองก็หันมาจับตลาดนี้มากขึ้น และทำให้ตลาดบูมขึ้นมา แต่ทางคอลลี่มองว่าไม่ได้กระทบกับแบรนด์ตนเองมากนัก ในทางกลับกันยังทำใหตลาดมีสีสันขึ้น ซึ่งในตลาดนี้ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ และการบอกต่อเป็นสำคัญ

แต่เมื่อตลาดในไทยไม่ค่อยหวือหวาเหมือนเมื่อก่อน คอลลี่จึงต้องหาช่องทางในการโกอินเตอร์ไปต่างประเทศ โดยเน้นในโซนเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้าน ได้ไปประเทศจีนมาแล้ว 2 ปี ส่วนกัมพูชา และพม่าเกือบ 2 ปี และกำลังที่จะบุกตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามต่อไป โดยไปลงทุนในรูปแบบของตัวแทนจัดจำหน่ายในแต่ละประเทศ

พีรพัฒน์ ลิขิตรัตน์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พัฒน์พลัส จำกัด กล่าวว่า “ตอนนี้การแข่งขันของตลาดอาหารเสริมสูงมาก มีทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์เล็ก แบรนด์ใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงเหล่าดารา เน็ตไอดอลก็ลงมาจับธุรกิจนี้เป็นของตัวเองเยอะ เลยมองว่าตลาดต่างประเทศน่าตื่นเต้นกว่า เหมือนเป็นของใหม่ในบ้านเขาเข้าไปเปิดตลาด ยังไม่มีคู่แข่ง ทำให้เราทำตลาดได้ง่าย”

โดยที่การบุกตลาดต่างประเทศ ปัจจัยสำคัญในการเลือกประเทศที่ลงทุนนอกจากจะเป็นเรื่อง “การขนส่ง” แล้ว ปัจจัยสำคัญด้าน “โซเชียล มีเดีย” ก็เป็นส่วนที่คอลลี่นำมาเป็นองค์ประกอบหลัก ต้องดูว่าประเทศนั้นมีการใช้โซเชียลมีเดียมากน้อยแค่ไหน เพราะคอลลี่ได้ดำเนินกลยุทธ์เดียวกันกับตอนแจ้งเกิดในเมืองไทย คือการให้ดารา “โพสท์ไอจี”

“การทำการตลาดของเราเน้นโซเชียลมีเดียเป็นหลัก อาศัยแรงเหวี่ยงสร้างกระแสเข้าไป ในต่างประเทศก็คงทำตามกลยุทธ์ที่เราถนัดโดยใช้โซเชียลมีเดียเหมือนกัน อย่างในกัมพูชาเขาก็มีเน็ตไอดอลเหมือนอย่างบ้านเราเลย มีคนติดตามหลักหมื่นหลักแสน แต่ค่าใช้จ่ายในการโพสท์น้อยกว่ามาก บางคนแค่หลักพันเท่านั้น ในขณะตอนนี้ในเมืองไทยขึ้นไปเป็นหลักแสนจากในตอนแรกเพียงแค่เรทราคาหลักหมื่นเท่านั้น บางทีเราก็ต้องกระจายเอาเงินหลักแสนไปซื้อโฆษณาเฟซบุ๊กบ้าง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างขึ้น การใช้ใหม่เข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดก็เพื่อต้องการอัพเกรดแบรนด์ให้ดูอินเตอร์ด้วยเหมือนกัน เพราะใหม่มีภาพลักษณ์ที่แมส และฮอตมากในประเทศจีน”

ส่วนในเรื่องสินค้าใหม่เตรียมออกอีก 3 รายการ ตอนนี้ได้ออกตัวคลอโรฟิลล์ไปแล้ว กำลังจะออกคอลลาเจนรูปแบบเม็ดเพิ่ม และจะมีสินค้าที่เป็นสารสกัดใหม่ เพราะเทรนด์เรื่องคอลลาเจนเริ่มตก ซึ่งเทรนด์ในเรื่องการดูแลรูปร่างจะเริ่มเข้ามา

ตอนนี้สัดส่วนรายได้ของต่างประเทศอยู่ที่ 40% ในประเทศ 60% และตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 350% จากปี 2557 โดยที่แบ่งเป็นรายได้จากช่องทางขายหน้าร้าน (ร้านขายยา, ตัวแทนจำหน่าย) 50% ออนไลน์ 30% และโมเดิร์นเทรด 20%

 

เปิดแผน “คอลลี่“ เน้นบุกต่างประเทศ นำร่องดารา “โพสท์ไอจี”

– คอลลี่ได้ทำตลาดออาหารเสริมมาแล้ว 5 ปี และได้เริ่มบุกตลาดต่างประเทศมาแล้ว 2 ปี โดยที่ได้ไปประเทศจีนกัมพูชา และพม่ามาแล้ว และกำลังที่จะบุกตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามต่อไป โดยไปลงทุนในรูปแบบของตัวแทนจัดจำหน่ายในแต่ละประเทศ

– ใช้กลยุทธ์ “Influencer Marketing” เช่นเดียวกับในประเทศไทย ในแต่ละประเทศจะมีเน็ตไอดอลเหมือนกัน

– เหตุผลที่เลือก “ใหม่ ดาวิกา” เป็นพรีเซ็นเตอร์คนที่ 4 เพราะต้องการเลือกดาราที่เป็นกระแส มีภาพลักษณ์ที่แมส และใหม่ยังโด่งดังในประเทศจีนด้วย

– ใช้งบการตลาดรวม 40 ล้านบาท เน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

– จะมีสินค้าใหม่เตรียมออกอีก 3 รายการ ได้วางจำหน่ายคลอโรฟิลล์ไปแล้ว กำลังจะออกคอลลาเจนรูปแบบเม็ดเพิ่ม และจะมีสินค้าที่เป็นสารสกัดใหม่ เพราะเทรนด์เรื่องคอลลาเจนเริ่มตก ซึ่งเทรนด์ในเรื่องการดูแลรูปร่างจะเริ่มเข้ามา

– ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 350% จากปี 2557 แบ่งเป็นรายได้จากช่องทางขายหน้าร้าน (ร้านขายยา, ตัวแทนจำหน่าย) 50% ออนไลน์ 30% และโมเดิร์นเทรด 20%

– สัดส่วนรายได้ของต่างประเทศอยู่ที่ 40% ในประเทศ 60%