ทำไมหนอ ไอโฟนรุ่นใหม่จึงไม่ใช่ iPhone 7 แต่กลับใช้อักษร SE แทน? ความสดใหม่ของ iPhone SE เมื่อเทียบกับไอโฟนรุ่นปัจจุบันนั้นอยู่ที่ไหน? เบ็ดเสร็จแล้ว iPhone SE ควรค่าแก่การซื้อมาใช้งานไหม หรือควรรอ iPhone ใหม่ในอนาคต? คำถามเหล่านี้ตอบได้ไม่ยากเมื่อไล่ดูข้อมูลจากประวัติศาสตร์ธุรกิจโทรคมนาคมของยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล
คำถามเหล่านี้เริ่มต้นจากการเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ “iPhone SE” โดยแจ้งเกิดในรูป “iPhone 6s ขนาดกะทัดรัด” ที่มีหน้าตา และขนาดถอดแบบรุ่น 5s การนำเทคโนโลยีในไอโฟนรุ่นปัจจุบันมาบรรจุในเครื่องที่ถูกออกแบบไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลนำฮาร์ดแวร์คุณภาพเหนือกว่ามาบรรจุไว้ในเครื่องดีไซน์รุ่นเก่า แทนที่จะเลือกจำหน่ายไอโฟนตกรุ่นในราคาต่ำกว่าเหมือนปกติ
ด้วยรูปลักษณ์ที่มองไม่ต่างจาก iPhone 5s ภายในกลับมีชิป A9 และ M9 ซึ่งถูกใช้ในไอโฟนรุ่นใหญ่ที่แอปเปิลทำตลาดในปัจจุบันอย่าง iPhone 6s ยังมีกล้องดิจิตอล 12 ล้านพิกเซลที่อัปเกรดเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมระบบ Live Photos และวิดีโอ 4K รวมถึงการรองรับระบบ Apple Pay ซึ่งเป็นความสามารถที่ 5s ไม่มี (แม้ 5s จะมี Touch ID)
ทั้งหมดนี้ iPhone SE ถูกเปิดราคาจำหน่ายที่ 399 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,000 บาท สำหรับรุ่น 16GB และ 499 เหรียญ สำหรับรุ่น 64GB หรือประมาณ 18,000 บาท
ราคา 399 เหรียญสหรัฐ ถือเป็นค่าตัวไอโฟนที่ต่ำที่สุดที่แอปเปิลเคยเปิดตัวมา โดยราคานี้ไม่มีการผูกสัญญาใช้งาน 2 ปี ซึ่งหากผู้ใช้ยินดีสมัครบริการกับโอเปอเรเตอร์สหรัฐฯ ต่อเนื่อง 2 ปี ก็สามารถรับเครื่องไปในราคาผ่อนจ่ายหลักสิบเหรียญ จนเหมือนได้เครื่องไปใช้งานฟรีสำหรับรุ่น 16GB
การแจ้งเกิด iPhone SE นั้นได้รับความสนใจกันมาก เนื่องจากคุณสมบัติที่ถอดแบบรุ่น 6s ปัจจุบันทั้ง “Retina” ระบบแฟลชกล้องหน้า ระบบสั่งงานด้วยเสียง Siri การรองรับระบบ LTE ที่เร็วขึ้น รวมถึงระบบไว-ไฟ 802.11 AC ทั้งหมดนี้ แอปเปิลระบุว่า iPhone SE ได้รับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้เร็วกว่ารุ่น 5s ถึง 2 เท่า ขณะที่กระประมวลผลภาพกราฟิกทำได้เร็วกว่า 3 เท่าตัว
ไม่เพียงคุณสมบัติที่ดีกว่า แอปเปิลระบุว่า แบตเตอรี่ของไอโฟนใหม่ยังเหนือกว่า 5s ด้วย เรียกว่าแอปเปิลยกระดับเครื่องหน้าจอ 4 นิ้วทุกด้านในราคาที่ยั่วใจสุดขีด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจของการเปิดตัว iPhone SE ยังอยู่ที่การคงดีไซน์เดิมของรุ่น 5s ไว้ แทนที่จะใช้ดีไซน์โค้งมนตาม iPhone 6 แอปเปิลกลับเลือกดีไซน์ของ 5s แล้วปรับความต่างที่ความเงา และด้านของวัสดุเท่านั้น ทำให้จุดสังเกตของไอโฟนใหม่คือ พื้นผิววัสดุด้าน ขณะที่รุ่นเก่าใช้ผิวเงาวาว
กำหนดการเริ่มสั่งจอง iPhone SE คือ 24 มีนาคมนี้ ก่อนจะวางจำหน่ายจริง 31 มีนาคม โดยโอเปอเรเตอร์สหรัฐฯ ที่จำหน่ายพร้อมแผนใช้บริการ 24 เดือน จะคิดราคา iPhone SE มูลค่า 17 เหรียญต่อเดือน หรือราว 600 บาทเท่านั้น กลุ่มประเทศที่แอปเปิลจะประเดิมวางจำหน่ายได้แก่ออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เปอร์โตริโก สิงคโปร์ อังกฤษ และสหรัฐฯ ก่อนจะขยายไปยัง 110 ประเทศช่วงปลายพฤษภาคม คาดว่าประเทศไทยก็จะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ไม่ใช่ iPhone 7 แต่เป็น SE
สิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำว่า แอปเปิลรู้ดีถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนรักมือถือหน้าจอไม่ใหญ่ จนแอปเปิลไม่สามารถมองข้าม เรื่องนี้แอปเปิลประกาศในงานแถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ไอโฟนรุ่น iPhone 5s ที่บริษัทวางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2013 นั้นยังคงเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมหาศาล โดยสถิติการจำหน่ายนั้นเกิน 30 ล้านเครื่องในปีที่ผ่านมา เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ แอปเปิลจึงตัดสินใจเปิดตัว iPhone SE ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสมาร์ทโฟนขนาดเล็กในยุคสมัยที่ผู้คนนิยมสมาร์ทโฟนจอใหญ่
เทรนด์สมาร์ทโฟนนั้นเน้นความใหญ่โตของหน้าจอมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จุดนี้แอปเปิลรู้ดีเพราะ iPhone 6 ที่มีหน้าจอ 4.7 นิ้ว หรือ 6s นั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งหมดนี้ทำให้แอปเปิลมีรายได้ กำไร และสถิติยอดขายมิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการเปิดตัวไอโฟนหน้าจอใหญ่ในปี 2014 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตัวเครื่องใหญ่โตสร้างความลังเลใจให้แก่ผู้ที่ยังติดกับสมาร์ทโฟนกะทัดรักพกพาสะดวก
เหตุผลนี้ทำให้แอปเปิลเลือกสร้าง iPhone SE ด้วยการนำทุกคุณสมบัติของ iPhone 6s ลงไปในเคส 5s โดยตัวเลขยอดขายไอโฟนขนาด 4 นิ้วมากกว่า 30 ล้านเครื่องตลอดปีที่แล้ว คิดเป็น 8% เมื่อเทียบกับไอโฟน 232 ล้านเครื่องที่แอปเปิลจำหน่ายทั่วโลกในปีที่ผ่านมา
ที่สำคัญ ข้อมูลจากบริษัทวิจัยมิกซ์พาแนล (Mixpanel) พบว่า iPhone 5s คือ ไอโฟนที่ได้รับความนิยมอันดับ 2 รองจาก iPhone 6 (สถิติขณะนี้) ถือว่า iPhone 5s ครองความนิยมแซงหน้ารุ่นใหม่อย่าง 6s และ 6 Plus
ชัดเจนว่ายังมีตลาดสำหรับสมาร์ทโฟนหน้าจอเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นการไม่ฉลาดนักหากแอปเปิลจะมองข้ามไป
ไอโฟนรุ่นใหม่อย่าง iPhone SE จึงมีทุกสิ่งที่ iPhone ใหม่ควรมี เช่น ชิป A9 ที่เร็วกว่าชิปเดิมใน 5s ถึง 3 เท่าตัว กล้องดิจิตอล 12 ล้านพิกเซลที่สามารถบันทึกวิดีโอ 4K ได้ไม่ต่างกัน ยังมีระบบ Touch ID และสีทองชมพู rose gold ที่หลายคนชื่นชอบ ทั้งหมดสามารถจำหน่ายในราคาเริ่มต้นต่ำกว่า iPhone 6s เกิน 10,000 บาท
สิ่งที่ขาดไปมีเพียง 3D Touch ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ iPhone สามารถรับรู้ได้ถึงน้ำหนักนิ้วที่ผู้ใช้กดลงบนจอภาพ อย่างไรก็ตาม การขาด 3D Touch ทำให้แอปเปิลถูกมองว่า “กั๊ก” เพื่อให้ไอโฟนใหม่มีคุณสมบัติด้อยกว่า iPhone 6s อยู่ โดยเลือกที่จะมอบ Touch ID ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือที่มีใน iPhone 5s เท่านั้น
ทั้งหมดทั้งปวง อักษร SE จึงหมายถึง “special edition” ไอโฟนเวอร์ชันพิเศษที่จะมาแทน iPhone 5s ซึ่งจะหยุดวางจำหน่ายหลังเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2013
ซื้อเลยหรือรอก่อน?
ขณะนี้ (24) เว็บไซต์แอปเปิลไม่เปิดจำหน่าย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ iPhone SE มีราคาจำหน่ายเปิดตัวต่ำกว่า แต่มีคุณสมบัติบางจุดที่เหนือกว่า เช่น RAM ที่พบว่า iPhone SE มีขนาด 2GB แต่ iPhone 6 มีขนาด 1GB หรือชิปประมวลผลที่ iPhone 6 ใช้ Apple A8
เรียกว่าข้อดีของ iPhone 6 และ iPhone 6s ที่โดดเด่นคือ ประเด็นหน้าจอใหญ่เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้สนใจเรื่องหน้าจอ iPhone SE ถือว่าเหนือกว่าทุกอย่างในแง่ของสเปก ทำให้ iPhone SE เป็นตัวเลือกที่หลายคนยกนิ้วว่าเหมาะสมต่อการเป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีใหม่ในดีไซน์เก่านั้นทำให้มีการคาดการณ์ว่า แอปเปิลอาจกำลังแจ้งเกิดไอโฟนใหม่ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะปฏิวัติทุกความคาดหวังเพื่อให้สามารถกินรวบในตลาดจับจ่ายปลายปี ทั้งหูฟังไร้สายเทคโนโลยีใหม่, ช่องเสียบเฮดโฟน หรือ headphone jack ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อคุณภาพเสียงที่ดีกว่า, กล้องดิจิตอล 2 เลนส์ที่จะทำให้การซูมทำได้ชัดกว่าเดิม รวมถึงความบางของเครื่องที่อาจทำให้ไอโฟนมีเสน่ห์กว่าเดิม แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีการยืนยันใดๆ เพราะฉะนั้น สาวกแอปเปิลที่ยังไม่มั่นใจ การรอคอยไอโฟนใหม่ก็เป็นทางออกที่ปลอดภัยดี