The King and Ire

ถอดความจาก นิตยสาร TIME วันที่ 6 ธันวาคม 2542

ประเทศไทยไม่ได้มีเพียงด้านที่เป็น “ยิ้มสยาม” อย่างที่ชาวต่างชาติมองเห็นเท่านั้น แต่สังคมที่ซับซ้อนของไทย ยังมีความจริงอีกหลายอย่างที่เป็นด้านมืดของสังคม ซึ่งคงจะมีแต่คนไทยเท่านั้นที่รู้ซึ้งและต้องทนทุกข์ทรมานกับความจริงเหล่านั้น

แต่ผู้ที่ทรงทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปที่เลวร้ายทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งกว่าผู้ใดในสังคมไทย คงจะเป็นองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ซึ่งทรงใช้เวลาตลอด 53 ปี (ขณะนั้นเป็นปี 2542) ของการครองราชย์ ในการทรงพยายามจะสร้างความสมดุล ระหว่างด้านที่สดใสกับด้านมืดของประเทศไทย

ด้านมืดซึ่งหมายถึงคนที่กระหายอำนาจและเห็นแก่ตัวพอที่จะทำลายชาติ เพียงเพื่อสนองความทะเยอทะยานส่วนตัว ด้านมืดที่หมายถึงพวกลัทธิทหารนิยมฝ่ายขวาที่กระทำทารุณและสังหารนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2519 และหมายถึงการปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างนองเลือดในปี 2535 ปัญหาโสเภณีเด็ก การค้ายาเสพติด การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง และโกงกินบ้านอย่างขนานใหญ่ของผู้มีอำนาจในรัฐบาล

แต่พระองค์ก็ทรงเหมือนน้ำท่วมปาก ด้วยพระฐานะซึ่งทำให้ต้องทรงพยายาม ที่จะประทับอยู่เหนือความขัดแย้งและความเลวร้ายทั้งปวง ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงปรารถนาที่จะตรัสคัดค้านหรือทักท้วงมากเพียงใดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระองค์ก็ไม่สามารถที่จะทรงอดกลั้นพระทัยไว้ได้ โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศไทยและพสกนิกรของพระองค์ ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายและเจ็บปวดที่สุด เวลานั้นคือเวลาที่ชาวไทยจะได้เห็นการปรากฏพระองค์มากกว่าเวลาปกติ เมื่อพระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจ เพื่อหยุดยั้งความหายนะและความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงเกลียดชัง

ดังเช่นในปี 2516 พระองค์มีพระราชดำรัสสั่งให้เปิดประตูพระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อช่วยนักศึกษาที่ถูกทหารยิง แม้ว่าราชองครักษ์จะทูลทัดทาน เนื่องจากเกรงว่าอาจเป็นอันตรายต่อพระองค์เอง หรือในระหว่างที่เกิดการประท้วงคณะปฏิวัติอย่างรุนแรงในปี 2535 พระองค์ได้ทรงเรียกตัวพลเอกสุจินดา คราประยูร เข้าเฝ้าที่พระตำหนักส่วนพระองค์ โดยทรงโปรดให้มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้ว พระองค์ทรงต้องทำพระองค์อยู่เหนือการเมืองและความเลวร้ายทั้งปวงในสังคมไทย แต่จะทรงเยียวยาสังคมไทยที่บอบช้ำ และใช้พระราชอำนาจก็ต่อเมื่อถึงคราวที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่เคยตรัสให้สัมภาษณ์สำนักข่าว BBC ในปี 2522 ซึ่งการที่ทรงให้สัมภาษณ์สื่อนี้ เป็นสิ่งที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น พระองค์ตรัสให้สัมภาษณ์ว่า ทรงเป็นกลาง และทรงอยู่ร่วมกับทุกฝ่ายอย่างสันติ และตรัสด้วยว่า พระองค์อาจทรงเป็นอันตรายได้ ไม่ว่าจากฝ่ายใดในทั้งสองฝ่ายที่เป็นศัตรูกัน แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ในความยุติธรรมเสมอ และไม่เคยทรงเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ความจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องเข้ามาพัวพันในการเมืองแห่งอำนาจของไทย โดยลักษณาการที่ต้องทรงพบกับเหตุการณ์ที่ทารุณจิตใจอย่างที่สุด ด้วยวัยเพียง 18 ชันษาเท่านั้น พระองค์ก็ต้องทรงขึ้นครองราชย์ ในปีเดียวกับที่พระเชษฐาถูกปลงพระชนม์ หลังจากที่ทรงครองราชย์ได้เพียง 6 เดือน

เมื่อทรงไม่สามารถจะตรัสได้อย่างเปิดเผย ถึงความอยุติธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรของพระองค์ พระองค์จึงทรงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสอนด้วยการทรงปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่าง เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ และทรงสนับสนุนการพัฒนาชนบท ด้วยโครงการพระราชดำริกว่า 2,000 โครงการ

ในช่วงเวลาที่สถาบันกษัตริย์ทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะเสื่อมถอย และราชวงศ์จำนวนมากใช้ชีวิตอยู่ในความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ทรงงานหนัก ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารอย่างไม่ทรงเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

นอกจากนี้ ยังทรงมีแต่ความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นเหมือนกับแม่ชีเทเรซ่า และอาจทรงเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในโลก ที่ทรงมีแต่ความรักและไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย แม้แต่ภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่พระองค์ พระองค์ทรงยืนยันที่จะเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร ซึ่งผู้ก่อความไม่สงบคอมมิวนิสต์ยังปฏิบัติการอยู่ ในช่วงปี 2513-2523 ทรงไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และทรงเป็นอนัตตาตามหลักพระพุทธศาสนา เมื่อเสด็จเยือนยะลาในปี 2522 ได้เกิดเหตุระเบิด 2 ครั้ง ซึ่งทำให้ชาวบ้านบาดเจ็บหลายคน ห่างจากที่พระองค์เสด็จฯ เยือนอยู่เพียง 150 เมตรเท่านั้น ตำรวจองครักษ์ทูลเชิญให้เสด็จฯ ออกจากที่เกิดเหตุ แต่พระองค์ไม่ทรงฟัง

แม้ว่าพระองค์อาจจะทรงคลายความหนักพระทัยลงไปบ้าง ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นด้านมืดบางด้านที่เคยคุกคามสังคมไทย สามารถถูกกำจัดไปได้ในรัชสมัยของพระองค์ เช่ยภัยคอมมิวนิสต์ กลุ่มลัทธิทหารนิยมปีกขวา แต่ไทยก็ยังคงมีปัญหาความอยุติธรรมอีกมากมาย ซึ่งพระองค์ได้ทรงเพียรพยายามที่จะทำให้สังคมไทยมีความยุติธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น ในขณะที่ธนาคารโลกชี้ว่า ไทยอาจเป็นประเทศที่มีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากที่สุดในทวีปเอเชีย พระองค์ตรัสเตือนเสมอมา ถึงอันตรายของการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ความเสื่อมทรามลงของสภาพแวดล้อม การพึ่งพิงการลงทุนจากต่างประเทศมากเกินไป และแม้กระทั่งปัญหารถติดเรื้อรังในกรุงเทพฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของคนไทย แต่รัฐบาลกลับชักช้าในการแก้ปัญหา