Columnist – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Apr 2024 03:16:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ยกระดับการตลาดให้ล้ำไปกับ Generative AI https://positioningmag.com/1469949 Thu, 11 Apr 2024 10:00:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469949

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

การเป็นนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ต้องการแค่ความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้วย ซึ่งอาจเป็นงานที่ท้าทาย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะพิ้งค์มีเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

สมมติว่าเราเป็นนักการตลาดของบริษัทที่มีคู่แข่งคือ NVIDIA เราสามารถใช้เครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน โดยเริ่มจากการอัปโหลดไฟล์เอกสารเข้าสู่ระบบ แล้วให้ AI ทำการสรุปข้อมูล จัดแยกหมวดหมู่ และแปลงเป็นกราฟแสดงภาพรวม

ในที่นี้เราจะใช้ ChatGPT 4 ในการทดสอบ เพราะมันคิดเลขแม่นสุดตอนนี้ พิ้งค์ได้ทดลองหลายแบบตั้งแต่อัปโหลดไฟล์ Excel เข้าไปใน ChatGPT มันทำไม่ได้ จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไฟล์นั้นเป็น .CSV Comma Limited ก็ยังให้ค่าเอ่อๆ ออกมา หลังสุดก็เลยก๊อบปี้ แล้วก็วางลงไปตรงๆ เลย ปรากฏว่ามันอ่านได้แฮะ และนี่คือข้อสรุปของมัน

ขั้นแรกก็บอกมันก่อนว่าให้เอาข้อมูลทั้งหมด สรุปลงเป็นตารางง่ายๆ ให้ดูหน่อย โดยใช้ Prompt “Act as FP&A expert, analyze enclosed Excel data and present financial key performance indicator for CEO in tabula format” ก็ออกมาได้เป็นข้อมูลแบบนี้

ลองตรวจสอบตัวเลขดูแล้วก็ปรากฏว่า ตัวเลขถูกต้องต่างกันนิดหน่อย ต่างกันส่วนจุดทศนิยม เชื่อถือได้เนื่องจากมาวิเคราะห์ภาพรวม ก็เลยถามมันต่อไปว่าให้สรุปตัวชี้วัดที่สำคัญจากมุมมองตลาด โดยใช้คำสั่ง Prompt “Generate key financial ratio from data in Thai” ChatGPT ก็สรุปมาให้ดังต่อไปนี้

ทีนี้ก็เลยส่งคำสั่งมันบอกว่าให้เอาตัวเลขจริงๆ จากงบการเงิน มาใส่เป็นอัตราส่วนเป็นตารางให้หน่อย โดยใช้ Prompt คือ “add actual number of NVIDIA in tabula format” นี่คือผลลัพธ์ที่ได้ คือ

ตรวจตัวเลขแล้ว ถูกต้อง สุดท้ายก่อนที่เราจะไปคุยกับเจ้านาย เราก็บอกให้ ChatGPT มันทำการวิเคราะห์ กำไรขาดทุน ของ NVIDIA เลย โดยใช้ Prompt “from NVIDIA financial data and ratio above, analyze data based on marketing perspective” ผลที่ได้เป็นดังนี้

ด้วยวิธีนี้ นักการตลาดจะสามารถเข้าใจสถานะทางการเงินและประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลในการวางกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยถ้าพิ้งค์นำมาใช้งาน ก็จะนำข้อมูลของบริษัทเราเองมาเปรียบเทียบ แล้ววิเคราะห์ออกมาดูว่า สมมติว่าถ้าเทียบกับคู่แข่งคือ NVIDIA แล้ว บริษัทเราจะมีฐานะทางการเงินโดยเปรียบเทียบกันจะเป็นอย่างไร โดยใช้ ChatGPT ช่วยแบบตัวอย่างข้างต้น

สรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมการตลาดในปัจจุบัน คือการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งช่วยให้นักการตลาดมีเวลามากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์สร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ ไปลองเล่นกันดูนะคะ
]]>
1469949
3 เทคนิคสร้างวินัยการออม สร้างพอร์ตให้โตได้ด้วย​ DCA ​ https://positioningmag.com/1468014 Thu, 28 Mar 2024 03:49:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468014

โดยตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

นักลงทุนระดับโลกอย่างปู่ Warren Buffett ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“Successful investing takes time, discipline and patience.”
เป็นคำสอนนักลงทุนทั่วโลกอย่างง่ายๆ ว่าสิ่งที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ พอร์ตเติบโตได้นั่นก็คือ เวลา วินัย และความอดทน ​

กลยุทธ์การลงทุนที่มีองค์ประกอบครบทั้ง เวลา วินัยและความอดทน ทั้ง 3 สิ่งนี้รวมอยู่ในเรื่องของ Dollar cost Average (DCA) หรือการลงทุนแบบถั่วเฉลี่ยอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

ดังนั้นหากจะพูดว่ากลยุทธ์การ DCA หรือเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอในสินทรัพย์ที่ดีเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในโลกการลงทุนก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนมากนัก

การ DCA ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยสร้างผลตอบแทนให้ดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องจับจังหวะ​

และยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมาก!

จนบางครั้งอาจจะชี้ชะตาว่าพอร์ตจะกำไรหรือขาดทุนได้เลย

แต่ผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังละล้าละลัง ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นลงทุน เพราะคิดว่าเงินทุนที่มีในมือจะน้อยเกินกว่าจะใช้สร้างกำไรได้

ผมอยากบอกตรงนี้เลยครับว่า คุณไม่จำเป็นต้องพะวงอะไรให้มากมายเลยครับ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดียิ่งเริ่มเร็ว ก็ยิ่งทำให้การลงทุนระยะยาวของคุณค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่มีประสิทธิภาพได้

Photo : Shutterstock

ยิ่งในปัจจุบันการลงทุนเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและรวดเร็วขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องรอเก็บเงินจนได้ก้อนใหญ่ มีเงินเพียงไม่กี่บาทก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว และยิ่งหากคุณสร้างวินัยให้กับตัวเองด้วยการออมเงิน DCA ได้อย่างสม่ำเสมอจะยิ่งเห็นหนทางแห่งความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าเลยครับ

หากคุณยังรู้สึกว่าการ DCA ทำได้ยาก หรือคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น​อยู่

วันนี้ผมมี 3 เทคนิคง่ายๆ  ที่จะช่วยให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่าย​ คุณสามารถเริ่มต้นออมเงินหรือ DCA ได้อย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างไรตามไปดูกันได้เลยครับ

1. ทำงบรายรับ-รายจ่ายประจำเดือน

อาจจะฟังดูน่าเบื่อเพราะเป็นวิธีที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ถ้าคุณทำได้คุณจะเข้าใจว่ามันสำคัญมากแค่ไหน

คุณไม่จำเป็นต้องมองหาสมุดบัญชีมาเริ่มต้นการบันทึกให้ดูยุ่งยากเลยครับ เมื่อคิดจะเริ่มแล้ว เพียงแค่หยิบมือถือที่คุณติดมืออยู่ขึ้นมาแล้วเริ่มการจดรายรับรายจ่ายของคุณใส่ในแอปโน๊ตธรรมดาๆ หรือจะเป็นแอปสำหรับรายรับรายจ่ายที่จะช่วยให้คุณบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสะดวกขึ้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ

เพราะไม่ว่าจะจดที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับ ‘จด’ จริงๆ แค่คุณเริ่มทำแบบนี้สัก 2-3 เดือนคุณก็จะพอเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วว่า ‘คุณหมดเงินไปกับอะไรบ้าง’

แน่นอนว่าถึงตอนนั้นมันจะช่วยให้คุณสามารถเลือกว่ารายการไหนที่ไม่จำเป็น ตัดได้ หรือตัดไม่ได้ แล้วเอางบส่วนนั้นมาใส่เป็นรายการ DCA เติมเข้าพอร์ตรายเดือนได้บ้าง

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ เพราะวิธีนี้จะทำให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่า คุณสามารถ DCA ได้เดือนละเท่าไหร่ ถ้าอยากเพิ่มจำนวนเงินจะทำอย่างไรได้บ้าง

Photo : Shutterstock

2. จ่ายแค่ไหน ออมเท่านั้น

ถ้ามีคนมาบอกว่า ‘คุณจะมีเงินออมมากขึ้น ถ้าคุณใช้มากขึ้น’ ฟังแล้วคุณอาจจะคิดว่า มันช่างย้อนแย้งจัง จะเป็นไปได้อย่างไร

แต่อย่าลืมว่าการใช้จ่าย ได้ช้อปปิ้งในสิ่งที่ชอบ ถือเป็นความสุขในชีวิตครับ

ดังนั้นคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

แต่ใช้วิธีช้อปที่ช้อบชอบบบ มาช่วยออมเงินแทน

วิธีการก็คือ คุณต้องตั้งกฏให้กับตัวคุณเอง ‘ซื้อเท่าไหร่ ก็ออมเท่าที่ใช้ไป’

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้นด้วย

หรือคุณอาจจะตั้งกฏที่เบาลงไปหน่อยว่า ถ้าเดือนนี้ใช้เงินเกิน 5,000 บาท จะต้องโอนเงินเข้าพอร์ต 1,000 บาท ถ้าใช้เงินเกิน 10,000 บาท จะโอนเงินเข้าพอร์ต 5,000 บาท

พอร์ตของคุณก็จะงอกเงยขึ้นได้ด้วยเงินเพิ่มทุนเหล่านี้

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้น มากขึ้นแบบไม่รู้สึกผิดกับการใช้จ่ายครับ

Photo : Shutterstock

3. เก็บเงินตามสูตร 50/30/20

เทคนิคสุดท้ายของวันนี้ อาจจะเป็นสูตรที่ดูคุ้นตา แต่คุณต้องรู้ไว้ว่าหนทางการออมเงินที่เวิร์กที่สุดสำหรับหลายๆ คนคือ ‘ออมก่อนใช้’

การแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก! สูตร 50/30/20 ก็เป็นหนึ่งในสูตรแบ่งเงินยอดฮิต

ง่ายๆ เลยครับ เมื่อเงินรายได้ของคุณเข้าบัญชีมา คุณก็แค่จัดแบ่งออกเป็นก้อนๆ ประมาณนี้

  • 50% สำหรับสิ่งที่จำเป็น (Need)
  • 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (Want)
  • 20% สำหรับเก็บออม

และส่วนนี้ 20% นี้จะเป็นส่วนที่เราจะแบ่งสัดส่วนมันอีกทีก็ได้ว่า จะ DCA สำหรับพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ และเหลือไว้เท่าไหร่สำหรับเป็นเงินเก็บฉุกเฉิน

ซึ่งสัดส่วนเหล่านี้ เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้นครับ คุณเองก็สามารถออกแบบตัวเลขในแต่ละส่วนของคุณได้ตามความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

แต่อย่าลืมว่าเมื่อได้สัดส่วนที่จะเอามา DCA แล้ว ทุกครั้งที่มีเงินเดือนหรือรายรับเข้ามาก็แบ่งเงินให้ชัดเจนก่อนนำไปใช้ หรือหากกลัวลืมผมเทคนิคง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ อย่างเช่นการตั้งค่า DCA ในวันที่เงินเดือนออกก็สะดวกดี

ทุกวันนี้ก็มีหลายแอปการเงินที่ได้นำเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยนักลงทุนให้สามารถเลือกตั้งค่า DCA ไว้แล้ว เช่นเดียวกับแอปของ Jitta Wealth ที่ได้พัฒนาฟีเจอร์การ DCA เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถออมก่อนใช้ ช่วยให้คุณลงทุนอย่างมีวินัยและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

]]>
1468014
3 ทริคควรรู้ ก่อนเริ่มต้นลงทุน https://positioningmag.com/1465189 Tue, 05 Mar 2024 16:41:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465189

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

ในโลกที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ การเข้าถึงเรื่องของการเงินการลงทุนแทบไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนก็มีความสนใจและมองหาโอกาสลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีหรือที่เรียกว่า ‘ให้เงินทำงาน’

และแม้ว่าจะมีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกมามากมายให้เลือกลงทุน แต่หลายคนก็ยังจดๆ จ้องๆ เพราะยังมีความรู้สึกลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่แน่ใจว่าจะลงทุนอะไร อย่างไรดี สินทรัพย์ใด จะเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ หรือลงทุนเมื่อไร ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

ก็ไม่แปลกนะครับขึ้นชื่อว่าการลงทุน เราทุกคนอยากเห็นผลตอบแทนจากเงินที่นำไปลงทุน มากกว่าความเสียหายหรือเงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเราเองมีความพร้อมแค่ไหน และควรเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนให้เหมาะสมและไม่เสี่ยงมากเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงในชีวิตการเงิน รวมไปถึงความมั่นคงของครอบครัวในอนาคต

วันนี้ผมอยากชวนทุกท่านมาเช็คความพร้อมก่อนการลงทุนกันด้วยวิธีง่ายๆ ลองทำความเข้าใจดูก่อนได้ครับ

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 1: อย่าเพิ่งเริ่มลงทุน ถ้ายังออมเงินไม่เป็น

ในชีวิตของเราแทบทุกคน ย่อมจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทุกคนจะต้องเจอเหมือนกัน คือเมื่อวันหนึ่งวันนั้นมาถึง วันที่พวกเราจะต้องเลิกทำงาน หรือที่เรียกว่าเกษียณอายุนั่นเอง บั้นปลายชีวิตแต่ละคนแตกต่างกันไปแน่นอนครับ เพราะความรู้และการเตรียมความพร้อมที่แตกต่างกัน

บางคนเตรียมตัวดี มีเงินเก็บไว้ใช้ก็ไม่ลำบาก แต่บางคนกลับไม่มีเลย ผมเชื่อว่าอย่างหลังเนี่ย หลายคนกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จริงไหมครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเอาแต่กลัวนะครับ ก่อนอื่น​ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมอยากให้คุณลองจัดระเบียบการเงินให้เป็นก่อน

เริ่มที่การดูแลกระแสเงินสด (cashflow)ให้เป็นบวกก่อนนะครับ

กระแสเงินสดหรือจะเรียกว่าสภาพคล่องที่มาในรูปแบบของเงินเก็บก่อนนะครับ เพราะถ้าคุณเริ่มต้นจากกระแสเงินสดติดลบ​ สภาพคล่องตึงตัว การลงทุนนั้นจะกลายเป็นการพนันทันที เพราะเราจะลงทุนด้วยความรู้สึกว่าอยากได้กำไรเร็วๆ กำไรเยอะๆ โดยไม่สนปัจจัยอื่นๆ เลย

แล้วคุณจะต้องทำอย่างไรให้มีเงินเก็บ…

คำตอบเดียวคือ ‘เก็บ’ สร้างวินัยให้กับการออมเงินเท่านั้นครับ

อาจจะตั้งระบบตัดจ่ายอัตโนมัติเช่น 10% ของรายได้ ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง หรือฝากประจำก็ได้ หรือแบ่งเงินเป็นสัดส่วนตั้งแต่ต้นเมื่อมีรายได้เข้ามา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘ขอแค่ให้เริ่ม‘ เท่านั้นครับ หลักการนี้คือเรื่องของ ‘วินัย’ ที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเงินหรือการลงทุนก็ต้องใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน

Photo : Shutterstock

ข้อที่ 2:  อย่าเพิ่งลงทุนถ้ายังไม่มี ‘ความรู้’

เพราะว่าความรู้ (Education) เป็นตัวเร่งให้เราได้รู้จักตัวเอง วางเป้าหมายปลายทาง และเรียนรู้เครื่องมือที่จะพาไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกต้องและไม่หลงทาง ยิ่งถ้าหากคุณสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือ คุณก็จะลงทุนได้แบบไม่ต้องกังวล

เหมือนอย่างตลาดหุ้น ในระยะสั้นย่อมมีความผันผวน เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงเป็นระยะ แต่เมื่อคุณถอยออกมามองภาพใหญ่ มองระยะยาวจะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลงเสมอๆ

แต่อย่าเป็นเด็กเรียนมากไปนะครับ บางคนมีความเชื่อว่า ก่อนจะลงทุนได้ก็ต้องมีความรู้เรื่องธุรกิจก่อน ถึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็เริ่มต้นได้ครับ เพราะถ้าต้องรู้ทั้งหมด คุณก็จะไม่มีวันได้ลงทุนอย่างแน่นอน ค่อยๆ ลงทุนไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้น่าจะดีกว่าครับ

ข้อที่ 3: มองการลงทุนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ลงทุนทั้งที ต้องรู้สึกเป็นหุ้นส่วน มองว่าคุณเป็นเจ้าของหุ้นหรือธุรกิจนั้นๆ ให้คิดว่าคุณจะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เราลงทุนเติบโต มีรายได้ดี สร้างกำไรให้กับคุณ และอะไรส่งผลกระทบกับธุรกิจของคุณบ้าง มากกว่าการหวังแค่เสี่ยงโชค แบบซื้อหุ้นแล้วจะอธิษฐานให้ธุรกิจเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

ก่อนจะเลือกลงทุนในสักบริษัทคุณจะต้องเข้าใจ 4 สิ่งนี้ด้วยกัน

  1. มีความรู้พื้นฐานด้านการเงินพอที่จะอ่านงบการเงินเป็น
  2. รู้จักสินค้าและโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุน
  3. เข้าใจความเสี่ยงของบริษัท
  4. รู้จักปัจจัยภายนอกทั้งการเมือง เศรษฐกิจ หรือสภาพสังคมไว้บ้าง
Property investment and mortgage financial concept.

ซึ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งมีเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้การลงทุนนั้นง่ายกว่าเดิม อย่างเช่นงบการเงินย้อนหลัง ที่คุณสามารถดูได้บนเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมาย และบางแห่งสามารถเปิดดูได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถืออย่างของ Jitta.com เองก็มีข่าวสารข้อมูลของบริษัททั่วโลกให้คุณเข้ามาดูได้อย่าง real-time ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นและสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วทันเวลา

เท่านี้คุณก็มีพื้นฐาน​ความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือเพียงพอที่จะเลือกได้แล้วว่าคุณจะลงทุนในกิจการของบริษัทใดบ้าง ซึ่งหลังจากเลือกและลงทุนไปแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณต้องมีคือ ‘วินัย’ ลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่เดาตลาดหุ้น และต้องทบทวนและปรับพอร์ตให้เป็นระบบ

‍‍สุดท้ายแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนก็คือ ‘วันนี้’ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนจะสายเกินไป เพราะฤกษ์ดีคือเลิกรอนะครับ ส่วนความกลัว ผมบอกได้เลยว่ามันกำจัดง่ายมาก ด้วยการลงมือทำและเรียนรู้ไปกับมันด้วยสติครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนนะครับ

]]>
1465189
เปิดโลกจิตใจ แนวโน้มทางจิตวิทยาที่ควบคุมการตัดสินใจของเรา https://positioningmag.com/1463899 Tue, 27 Feb 2024 07:56:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463899

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง BUZZEBEES

ที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้เข้าไปเรียน CXO ของพี่กระทิง พูนผล ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย แต่ว่าหัวข้อหนึ่งที่อยากพูดถึงในวันนี้ คือ เคสที่คุยกัน เป็นเคสเกี่ยวกับหนังสือ Light Out หนังสือ Light Out เป็นหนังสือที่เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่สมัย Jack Welch CEO of the Century ที่นำพาหุ้น GE ขึ้นไปถึง 40X หรือ 40 เท่า แล้วเปลี่ยนถ่ายมาสู่ยุค Jeff Immelt ซีอีโอของคนถัดไป ที่เป็นช่วงหุ้นตกระเนระนาด

โดยหนังสือพูดถึงหลายเรื่อง แต่ว่าเรื่องที่น่าสนใจมากๆ คือ เรื่องที่คุยกันว่าทำไมคนถึงตัดสินใจผิด เมื่อคุณเป็นซีอีโอหรือผู้นำของบริษัท โดยที่อ้างอิงจากคำพูดของ Charlie Munger ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักลงทุนชื่อดัง และนักธุรกิจชาวอเมริกัน Munger เป็นผู้ช่วยสำคัญและเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของ Warren Buffett ที่บริษัท Berkshire Hathaway Inc ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าการตลาดสูงสุดในโลก เค้าจบฟิสิกส์ ฉลาดหลักแหลมมาก ลงทุนในทุกๆ อย่าง และเพิ่งเสียชีวิตไปในวัย 99 ปี เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมานี้เอง Charlie Munger เป็นคนที่ลงทุนในหุ้นและได้กำไรมากมาย โดยตัวล่าสุดเค้าได้ลงทุนในบริษัทรถที่ชื่อว่า BYD กว่า 230 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2008 และขายทำกำไรไป 30X ในปี 2022 ก่อนเขาเสียชีวิตลง

Light Out Book by Businessinsider.es
Light Out Book by Businessinsider.es

ทีนี้เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ว่าจริงๆ แล้วคนเราตัดสินใจ ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือการทำงาน Charlie Munger ก็แนะนำว่าให้ตัดสินใจด้วยการตัดสินใจสองด้าน ด้านที่หนึ่งการใช้ข้อมูลทั้งหมด ที่เกี่ยวกับข้อมูลตามความเป็นจริงมาประกอบการตัดสินใจ อาทิ งบการเงิน ผู้บริหาร สภาพตลาด อุตสาหกรรม และอื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนค่อนข้างพูดถึงกันบ่อยอยู่แล้วว่าก่อนตัดสินใจต้องพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้

แต่สิ่งที่เพิ่งจะพูดก็คือการตรวจสอบการตัดสินใจตัวเองอีกครั้งหนึ่งว่า การตัดสินใจของเรานั้นมีความเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ ซึ่งการเอนเอียงของคนเรานั้น Charlie Munger บอกว่า คนเรามักมีอคติทางปัญญาและแนวโน้มทางจิตวิทยาต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดหรือความคลาดเคลื่อนในการตัดสินใจ ขออธิบายถึงวิธีที่ความคิด การรับรู้ และการตัดสินใจของเราอาจถูกบิดเบือนโดยปัจจัยทางจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง นี่คือคำอธิบายสั้นๆ ของแต่ละข้อเจ๋งๆ ที่เลือกมาค่ะ

1. ผู้คนมีแรงจูงใจสูงต่อรางวัลที่ได้รับทันทีและการหลีกเลี่ยงโทษที่ได้รับในทันที ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ให้ผลในระยะสั้น ที่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีที่สุด

2. การเอนเอียงที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือไม่สนใจข้อบกพร่อง เพื่อสนับสนุนหรือแก้ต่างให้กับสิ่งที่ชอบของเราต่อบางสิ่ง

3. แนวโน้มที่จะรีบตัดสินใจเพื่อกำจัดความสงสัย โดยไม่มีหลักฐาน หรือการพิจารณาทางเลือกที่เพียงพอ เพื่อบรรเทาความไม่สบายใจจากความไม่แน่นอน

4. แนวโน้มหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง โดยชอบที่จะยึดมั่นในความเชื่อที่มีอยู่ และให้ความสนใจกับข้อมูลที่ยืนยันความเชื่อเหล่านั้น ในขณะที่ละเลยในการอธิบายอย่างมีเหตุผลต่อหลักฐานที่ขัดแย้ง

5. แนวโน้มการรักษาแนวปฏิบัติทางสังคม แนวโน้มเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเราในบริบททางสังคม เช่น การต่อคิว และการให้ความเคารพผู้มีอายุมากกว่า ซึ่งขับเคลื่อนโดยการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคม และการยึดถือความเป็นธรรม

6. แนวโน้มที่ได้รับอิทธิพลจากการเชื่อมโยงเพียงอย่างเดียว เช่น เป็นการตัดสินใจที่มีอิทธิพลจากการยึดมั่นในสิ่งที่ได้ผลในอดีตโดยไม่พิจารณาบริบทปัจจุบันหรือการเปลี่ยนแปลง

7. แนวโน้มมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับผลลัพธ์ของแผนหรือการตัดสินใจ โดยมักประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไปและประเมินผลประโยชน์สูงเกินไป

8. แนวโน้มที่จะตอบสนองจากความกลัวต่อการถูกคุกคามว่าจะสูญเสียบางสิ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การพนัน เมื่อเล่นเสียแล้วแทงต่อด้วยเงินที่เพิ่มขึ้น

9. แนวโน้มการได้รับอิทธิพลจากความเครียด ความเครียดสามารถทำให้การตัดสินใจแย่ลงเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเลือกที่ไม่ดีภายใต้ความกดดัน

10. แนวโน้มที่จะโจมตีผู้ส่งสารแทนที่จะจัดการกับข้อมูลที่ไม่พึงประสงค์ที่ผู้ส่งสารมาบอก

11. การปฏิเสธทางจิตวิทยาที่ง่ายและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด การปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงเพราะมันเจ็บปวดหรือไม่สบายใจ นำไปสู่การปฏิเสธข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์

12. แนวโน้มที่มีต่อการประเมินตนเองสูงเกินไป การประเมินความสามารถหรือคุณลักษณะของตนเองสูงเกินจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ความคาดหวังหรือการตัดสินใจที่ไม่เป็นจริง แต่อาจเป็นประโยชน์ได้ในระดับหนึ่งหากมีความเข้าใจตัวเองจริง ๆ อย่างมีสติ

13. ความล้มเหลวในการเห็นภาพรวมเพราะโฟกัสไปที่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความเคยชิน และไม่ตระหนักว่าปัญหาในภาพรวมนั้นใหญ่มาก

14. แนวโน้มที่มีต่อการให้น้ำหนักความสามารถในการจำได้มากเกินไป การประเมินความสำคัญหรือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่จำได้ง่ายสูงเกินจริง มักเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องที่ดราม่าหรือมีอารมณ์ประกอบอยู่

15. แนวโน้มที่ถูกอิทธิพลจากผู้มีอำนาจ เกิดความเอนเอียงที่จะถูกอิทธิพลจากผู้มีอำนาจมากเกินควร ไม่ว่าคำแนะนำหรือคำสั่งของพวกเขาจะมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด

16. แนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับเหตุผล ความเอนเอียงที่จะให้ค่ากับคำอธิบายหรือเหตุผลของการกระทำ คือ พอตัดสินใจไปก็หาเหตุผลมากมายมาอธิบายว่าที่ตัดสินใจนั้นเพราะอะไร

17. “แนวโน้มลอลลาพาลูซ่าหมายถึงสถานการณ์ที่อคติหลายอย่าง หรืออิทธิพลการทำงานร่วมกันอย่างมีปฏิสัมพันธ์ เพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ผิดเพี้ยน หรือนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก มากกว่าผลรวมของผลกระทบแต่ละอย่าง แต่ละปัจจัย

แนวคิดเหล่านี้มีความสำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะในด้าน เช่น เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม จิตวิทยา และกระบวนการตัดสินใจ แนวโน้มเหล่านี้อาจมีอยู่ในตัวเราทุกๆ คน เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจ และทำให้การตัดสินใจผิดพลาดน้อยลง เมื่อรู้แล้วก็ขอให้คิดทบทวนไม่ว่าการตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรืองานที่ท่านตัดสินใจอยู่นั้นมีเหตุผลเป็นไปได้เพราะเหตุผลเหล่านี้หรือไม่

]]>
1463899
3 ทริก ตั้งเป้าหมายการลงทุน https://positioningmag.com/1461542 Mon, 05 Feb 2024 06:30:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461542

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ในทุกๆ ครั้ง ก่อนที่คุณจะขับรถ หรือเริ่มออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง หรือลงมือทำอะไรสักอย่าง การที่คุณรู้ว่าคุณจะมุ่งหน้าไปที่ไหน หรือทำสิ่งๆ นั้นไปเพื่ออะไร เป็นเรื่องที่สำคัญจริงไหมครับ

เส้นทางของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน

เริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ นอกจากจะเซตเป้าหมายชีวิตแล้ว คุณควรเริ่มกำหนดเป้าหมายการลงทุนไปด้วยพร้อมกัน

วันนี้ผมอยากจะพาคุณมาเรียนรู้เรื่องการกำหนดเป้าหมายการลงทุนของตัวเองก่อนจะเริ่มต้นลงทุน เพื่อให้คุณรู้ว่าควรเตรียมตัวยังไง วางกลยุทธ์แบบไหน เพื่อพิชิตเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะการมีเป้าหมายนั้นสำคัญ

​การกำหนดเป้าหมายจะช่วยให้จิตใจคุณเข้มแข็งขึ้น เพราะคุณจะสามารถเตรียมใจว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างที่รออยู่ข้างหน้า และวางกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อพิชิตเป้าหมายนั้น เมื่อคุณได้เตรียมตัวเตรียมใจและมีความพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางแล้ว แม้ในบางครั้งที่คุณอาจจะรู้สึกท้อบ้าง แต่การมองไปที่เป้าหมายและเห็นว่าเราเดินมาไกลแล้ว หรือยิ่งกว่านั้นคือรู้ว่าใกล้จะถึงเส้นชัย มันก็จะช่วยให้คุณมีแรงฮึดสู้ได้ไม่น้อยเลย     ​

การลงทุนก็เช่นกันครับ หากคุณตั้งเป้าหมายไว้ที่การลงทุนระยะยาว คุณก็จะสามารถเตรียมใจรับมือกับความผันผวนในระยะสั้นได้ พร้อมทั้งเตรียมตัวโดยการเดินหน้า DCA เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนรับมือความผันผวนที่เกิดขึ้น และมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป

ดังนั้นก่อนจะเริ่มลงทุน เรามาลองตั้งเป้าหมายกันก่อนครับ

การกำหนดเป้าหมายด้วยความเสี่ยง

ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นจากสำรวจระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหวก่อน

เพราะหากคุณกำหนดเป้าหมายไปเลยโดยที่ไม่รู้ว่ามีความเสี่ยงแบบไหนรออยู่ เมื่อคุณลงทุนได้สักระยะ แล้วต้องเจอกับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าคุณจะรับมือได้ อาจทำให้คุณต้องยอมแพ้และล้มเลิกการลงทุนนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้น หากคุณรู้ว่าตัวเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ก็สามารถตั้งเป้าหมายบนระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อจะได้มองหาเส้นทางหรือกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม​และไปถึงได้จริง อาทิเช่น

หากคุณรับความเสี่ยงได้น้อย ก็ลองตั้งเป้าผลตอบแทน 2-5% แล้วลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยๆ อย่างตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร ก็จะทำให้คุณอุ่นใจและไม่เครียดเกินไป

แต่หากคุณคิดว่าคุณสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ก็สามารถตั้งเป้าผลตอบแทนระดับกลางๆ 5-8% และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นอย่างการลงทุนในกองทุนรวม ที่มีทั้งหุ้น และตราสารหนี้

หากคุณอายุยังน้อยหรือใจถึงมากพอที่จะรับความเสี่ยงได้สูง ผมแนะนำให้ลองตั้งเป้าผลตอบแทนได้มากกว่า 8%  และเลือกสินทรัพย์เสี่ยงได้เต็มที่มากขึ้น อย่างลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้นต่างๆ

กำหนดเป้าหมายด้วยระยะเวลา

อีกวิธีในการกำหนดเป้าหมายคือนำเรื่องของ ‘เวลา’ มาเป็นเกณฑ์ กล่าวคือคุณต้องสำรวจตัวเองว่าต้องการลงทุนเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ จากนั้นจึงตั้งเป้าหมายให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่คุณสามารถทำได้

เช่นหากคุณต้องการลงทุนระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี คุณอาจต้องกลับมามองถึงข้อจำกัดเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาการสร้างผลตอบแทนของสินทรัพย์นั้นๆ ที่จำกัด รวมถึงความเสี่ยง และค่าธรรมเนียมที่อาจเพิ่มขึ้น

เช่นต้องการลงทุนระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี แต่ไม่อยากรับความเสี่ยงที่สูง ก็อาจคิดมากหน่อยว่าใน 1 ปีนั้นสินทรัพย์ที่เราลงทุนต้องไม่ผันผวนมากนัก ก็ต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น

หรือหากสามารถรับความเสี่ยงได้ก็อาจลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตที่มีความผันผวนของราคาสูง ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นสูงเช่นกัน

หากมีเวลาลงทุนระยะกลาง 1-3 ปี ก็จะมีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ความเสี่ยงต่ำกว่าระยะสั้น มีระยะเวลาสร้างผลตอบแทนมากขึ้น แต่ก็ต้องวางแผนให้รัดกุมเช่นกัน

แต่ถ้าคุณหนักแน่นพอ ควรเลือกการลงทุนที่มีเป้าหมายระยะยาว 5 ปีขึ้นไป เพราะจะความเสี่ยงต่ำลง และมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น สามารถปล่อยให้สินทรัพย์ค่อยๆ สร้างผลตอบแทน แต่อย่างว่านะครับ ระหว่างทางจะมีข่าวสารต่างๆ มากระทบจิตใจได้บ้าง ดังนั้นนักลงทุนที่เลือกเส้นทางนี้ต้องมีความหนักแน่นมากทีเดียว

กำหนดเป้าหมายด้วยวัตถุประสงค์การใช้เงิน

การลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไรสักอย่าง จะทำให้คุณสามารถมองหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านระยะเวลา หรือความเสี่ยง รวมทั้งสามารถกำหนดกลยุทธ์เพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้เป้าหมายนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้จริงบนระยะเวลาที่มี ดังนั้นสำรวจและถามใจตัวเองไปเลยครับว่าลงทุนครั้งนี้มีไปเพื่ออะไร และคุณจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ บนการลงทุนแบบไหนเพื่อบรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก

แน่นอนว่าคุณต้องการรูปแบบการลงทุนที่ค่อนข้างมั่นคงพอที่จะส่งลูกเรียนได้ระยะยาว ก็ต้องมองการลงทุนที่ความเสี่ยงน้อยลงมาหน่อย บนระยะเวลาที่จะต้องใช้เงินก้อนนั้น หรือลงทุนเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ

นอกจากเรื่องระยะเวลาและความเสี่ยง อาจต้องเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) เพื่อให้พอร์ตเติบโตได้ไวขึ้น เพื่อให้เงินต้นค่อยๆ เติบโต เพียงพอสำหรับอนาคต เมื่อถึงวันที่เราไม่มีรายได้ใหม่เข้ามาเติมพอร์ต

ที่สำคัญต้องกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน และไม่ล้มเลิกกลางคัน หรือเข้าๆ ออกๆ จากตลาด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายแบบใด แต่เป้าหมายต้องมีความเป็นไปได้ สอดคล้องกับความเป็นจริงและดูสมเหตุสมผล พร้อมกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดลำดับความสำคัญของแต่ละเป้าหมายได้

เมื่อได้เป้าหมายแล้วเราถึงจะมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสม เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเงินให้พร้อม

และในระหว่างที่ก้าวเดินไปสู่เป้าหมาย อย่าลืมทบทวนตัวเอง ว่าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ

มองเป้าหมายเป็นเส้นชัย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทาง เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นต่อไป

มีเป้าหมายแล้ว กลยุทธ์พร้อม ใจพร้อม คุณทำได้!

ปี 2567 นี้ตั้งเป้าอะไรไว้ และตอนนี้คุณมาได้ไกลแค่ไหน อย่าลืมมาแชร์กันนะครับ

]]>
1461542
อัปเดตตัวอย่างงานที่ชาว Marketing ไม่ใช้ Generative AI ไม่ได้แล้ว https://positioningmag.com/1461478 Mon, 05 Feb 2024 05:46:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1461478

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

ที่จริงแล้ว Generative AI มีความสามารถในการช่วยในงานทางการตลาดอย่างมาก แต่เราจะสามารถทำให้เกิดความสำเร็จในงานการตลาดได้โดยการเพิ่มคุณสมบัติและการใช้งานที่เหมาะสมกับงานบางอย่าง นี่คือตัวอย่างที่ชาว Marketing สามารถใช้ Generative AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานแรกงานเกี่ยวกับอีเมลเราสามารถใช้ Generative AI ในการช่วยเขียนอีเมลได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมลโปรโมชั่น เพื่อเรียกลูกค้าให้มาซื้อของกับเรามาดูตัวอย่าง Prompt ที่ใช้และผลลัพธ์กันค่ะ

Write short email to promote buy one get one free of new swimsuit collections. Limit time till the end of this month! Need to hurry!”

หรือการทำประกาศว่าแพลตฟอร์มเรามีฟังก์ชันหรือฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ โดนๆ บ้างมาดูตัวอย่าง Prompt ที่ใช้และผลลัพธ์กันค่ะ

“Write short email to promote new product features of Buzzebees Reward page. Key features are that it is instant reward redemption page that customer can redeem thousands of rewards and use point to subsidize for payment. With limit time offer, new user can have on-top 10% discount.”

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือเราสามารถให้ Generative AI ช่วยในการสร้างวิดีโอโฆษณาให้เราได้ พิ้งค์ขอยกตัวอย่างการใช้งานจริงที่ใช้ในบริษัทบัซซี่บีส์ โดยที่ให้โจทย์ทางทีมว่าต้องการวิดีโอที่ทำโดย Generative AI ทั้งหมด ทางทีมได้สร้างมาให้สองวิดีโอโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ดังต่อไปนี้ เริ่มการเขียนจุดขายของเราลงไปให้ ChatGPT และ ทำ Storyboard ผ่าน ChatGPT แล้วให้มันเขียนภาษาที่สวยงามน่าสนใจให้เรา หลังจากนั้นก็ใช้ Mid Journey และ Bing AI ในการสร้างภาพนิ่งขึ้นมาจากคำใน Storyboard นั้นๆ จากนั้นก็นำภาพนิ่งไปทำให้เคลื่อนไหวได้โดย Runwayml เป็นแต่ละ Screen จากนั้นก็นำไปประกอบร่างตัดต่อใน Adobe After Effect – Editor เพิ่มเสียงและดนตรีเข้าไป เป็นอันสำเร็จ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับการทำครั้งแรกของทีม

อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือให้ Generative AI ช่วยในการทำ SEO โดยที่ Generative AI สามารถวิเคราะห์เป็น SEO Report ให้ได้ว่าจะทำการปรับปรุง Website ให้เป็น SEO Friendly ได้อย่างไร มาดูตัวอย่าง Prompt ที่ใช้ และผลลัพธ์กันค่ะ

My website is https://crm.buzzebees.com/ Act as SEO expert to improve website to be more SEO Friendly. Be specific on analyzing the content quality of the top-performing blog posts on my website and provide recommendations for improving any shortcomings and give specific real example from the website.”

อีกบล็อกหนึ่งที่ ChatGPT แนะนำก็คือบล็อก “มือใหม่อยากเปิดธุรกิจร้านอาหารให้อยู่รอดต้องทำอะไรบ้าง” ChatGPT ก็บอกว่าสิ่งที่เจ๋งคือ บล็อกเป็นการเขียนคำถามที่คนทั่วไปมักจะถามซึ่งคนมักจะสืบค้นจากคำพวกนี้อยู่แล้ว ทำให้สืบค้นได้ง่าย ส่วนที่ ChatGPT อยากให้ปรับปรุงคือให้ Link โพสต์นี้ไปยังคอนเทนต์ที่อื่นด้วย โดยสิ่งนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกมีส่วนร่วมแล้วก็มีการเพิ่มเพจวิวเพิ่มขึ้นอีกวิธีก็คือทำให้คอนเทนต์มีรายละเอียดคำแนะนำมากกว่านี้โดยถ้าเป็นไปได้ให้รวมเรื่องของ Case Study แล้วก็ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงดู ทีนี้ลองมาดู ตัวอย่างที่ ChatGPT บอกให้ทำแบบเฉพาะเจาะจงในเรื่องของ “มือใหม่อยากเปิดธุรกิจร้านอาหารให้อยู่รอดต้องทำอะไรบ้าง” ChatGPT บอกว่าให้เพิ่มเนื้อหาที่คนอาจชอบอ่านเช่นการใส่ตารางลงไปหรือการใส่คำถามที่จะทำให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมกับบทความนี้ได้อย่างลึกซึ้งขึ้น

จะเห็นได้ว่าเราได้วิธีการปรับปรุง การทำให้เว็บไซต์ของเรามี SEO Rank ที่ดีขึ้นโดยได้ไอเดียไปทดลองจาก ChatGPT ทั้งในรูปแบบของการแนะนำเฉพาะเจอะจงตามตัวอย่าง และในรูปแบบของการแนะนำโดยทั่วไปอีกด้วย

จากตัวอย่าง พิ้งค์สั่งให้ ChatGPT เข้าไปตรวจดูเว็บไซต์ของบัซซี่บีส์ ว่าบล็อกที่บัซซี่บีส์ทำนั้น สามารถปรับปรุงให้ SEO ได้คะแนนมากขึ้นอย่างไรที่นี่ ChatGPT ก็แนะนำ โดยนำตัวอย่างบล็อกที่ได้รับการเยี่ยมชมสูงสุดมา

บล็อกแรก ได้แก่การที่บัซซี่บีส์ ได้รับรางวัล Shop Management Service Excellence จาก Tik Tok ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ChatGPT บอกว่า ให้ใช้คำที่ SEO ที่เกี่ยวกับ CRM และ Digital Marketing มากกว่านี้โดยที่ในย่อหน้าถัดไปจะเห็นว่ามันบอกเลยว่าให้ใช้คำอย่างเช่น CRM Excellence Award หรือคำว่า Digital Engagement Corporation หรือคำที่คล้ายๆ กันที่จะทำให้ผู้อ่านทำการสืบค้นจากคำนั้นๆ เป็นจำนวนที่มากขึ้น

อันนี้ก็เป็นตัวอย่าง Prompt และการทำงานบางส่วนเพื่อให้ทุกท่านสามารถนำ Generative AI เข้าไปช่วยทำงานในชีวิตประจำวันได้นะคะ การใช้ Generative AI ช่วยในงานการตลาดไม่ใช่การแทนที่ชาว Marketing แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถเสริมสร้างความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของมนุษย์ในงานการตลาดสวัสดีปีใหม่ค่ะ

]]>
1461478
สร้าง Passive income แบบ Mariah Carey กับเพลง All I Want for Christmas is You https://positioningmag.com/1457181 Tue, 26 Dec 2023 04:15:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457181

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

อากาศหนาวๆ ที่ไม่รู้จะอยู่กับเมืองไทยได้อีกกี่วันผมก็คงตอบไม่ได้แน่ชัด แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คืออีกไม่กี่วันเราก็จะผลัดเปลี่ยนสู่ปีใหม่แล้ว แม้ประเทศไทยจะไม่มีหิมะตก แต่หลายๆ ที่ก็ตกแต่งสนต้นใหญ่ให้รายล้อมไปด้วยดวงไฟ และของขวัญเป็นเอกลักษณ์แสดงถึงเทศกาลวันคริสต์มาส

เทศกาลที่เชื่อว่าจะมีคุณลุงตัวใหญ่ใจดีในชุดกันหนาวสีแดงคอยเอาของขวัญมาให้ และเพลงๆ หนึ่งที่คละคลุ้งไปกับกลิ่นอายของเทศกาลยามนี้คงต้องยกให้กับ All I Want for Christmas is You ของ Mariah Carey ที่ผมอยากจะหยิบมาพูดถึงในวันนี้

เพลง All I Want for Christmas is You นอกจากจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลนี้ไปแล้วคุณรู้หรือไม่ครับว่าเพลงนี้ยังเป็นเพลงในตำนานที่สร้าง Passive Income ให้กับ Mariah ได้แบบตลอดชีวิตทีเดียวครับ

แค่เพลงๆ เดียวทำไมทรงพลังและสร้างรายได้เข้ากระเป๋าคุณแม่ Mariah ได้ทุกๆ ปี และที่สำคัญทำยังไงคุณถึงจะมี Passive Income ดีๆ แบบนี้บ้าง ตามผมมาครับผมจะเล่าให้ฟัง

ก่อนอื่นผมขอพูดถึง Passive Income แบบให้เข้าใจง่ายๆ ก่อนนะครับ

การมี Passive Income คือการที่เราอยู่เฉยๆ แล้วยังคงมีรายได้เข้ากระเป๋าจากการที่เราไปลงทุนหรือสร้างอะไรสักอย่างไว้ เช่น

หากคุณเป็นศิลปินคุณอาจทำเพลงแล้วเก็บค่าลิขสิทธิ์ หรือเขียนหนังสือแล้ววางขายเรื่อยๆ หากคุณเป็นนักธุรกิจก็ลงทุนแล้วจ้างคนมาบริหารดูแลอีกทอดหนึ่ง หรือจะลงทุนในอสังหาฯ แล้วปล่อยเช่าก็สามารถทำได้ครับ

หรือหากคุณเป็นนักลงทุนก็สามารถลงทุนเพื่อรับดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ รับเงินปันผลจากหุ้น หรือลงทุนในอะไรก็ตามที่คุณไม่ต้องเสียเวลาไปดูแล แล้วปล่อยให้เงินทำงานของมันไป เป็นต้น

พอจะเห็นภาพแล้วไหมครับว่า Passive Income ทำงานอย่างไร ทีนี้ผมจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเพลง All I Want for Christmas is You ที่สร้างรายได้ให้กับ Mariah แบบที่คุณอาจคาดไม่ถึง

mariah carey
Photo : Shutterstock

เพลง All I Want for Christmas is You ถูกปล่อยออกมาในปี 2537 ครับถ้านับจนถึงปัจจุบันเพลงนี้ก็มีอายุจะ 30 ปีแล้ว ซึ่งขณะนั้น Mariah เพิ่งจะโด่งดังได้ไม่นาน และมีอายุเพียง 20 ต้นๆ เท่านั้นครับ

ในขณะนั้นเธอจึงดูไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าไหร่ที่จะต้องทำเพลงคริสต์มาส ที่โดยปกติแล้วในเวลานั้นเพลงสำหรับวันคริสต์มาสจะถูกปล่อยออกมาจากศิลปินที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง หรือไม่ก็มีอายุแล้ว

ในช่วงแรก Mariah ต้องการทำเพลงในอัลบั้มนี้เป็นแนวการนำเพลงเก่าๆ กลับมาคัฟเวอร์ใหม่อีกครั้ง

แต่ด้วยความอินในเทศกาล และมั่นใจว่าเพลงของเธอที่ทำออกมาจะแตกต่าง Mariah จึงได้ทำอัลบั้ม Merry Christmas ขึ้นมาใหม่ร่วมกับ Walter Afanasieff โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงที่ภายหลังก็ได้ทำงานร่วมกันอีกหลายอัลบั้ม

เกิดเป็นเพลง All I Want for Christmas is You ที่ดังขึ้นมาทุกครั้งเมื่อถึงเทศกาลวันคริสต์มาส โดย The Economist ได้เคยประมาณการรายได้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของเพลงนี้ไว้กว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในวงเล็บนะครับ นี่เป็นรายได้ที่นับแค่เฉพาะประเทศสหรัฐฯ เสียด้วยนะครับ

mariah carey
Photo : Shutterstock

และหากนับเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี Mariah มีรายได้แค่เฉพาะจากเพลงนี้ราวๆ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็น Passive Income ที่ไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องโพรโมตหรือทำการตลาดมากมายทุกๆ ปีเพลงนี้ก็กลับมาสร้างรายได้ให้เสมอ

สำหรับใครหลายๆ คนการที่อยู่ๆ มีเงินเข้ากระเป๋าปีละ 40 ล้านบาทคงเป็นอะไรที่ดีไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ

แล้วจะทำยังไงในเมื่อเพลงก็แต่งไม่เป็น หรือต่อให้ทำเป็น และสร้างเพลงที่สุดยอดมากๆ ออกมาได้จริงๆ ก็ยากที่จะกลายเป็น Passive Income แบบของ Mariah

มาเปิดพอร์ตรับ Passive Income แบบ Mariah

อย่าเพิ่งถอดใจครับ Passive Income สามารถมีได้หลายวิธีเรามาลองถอดบทเรียนกันดูว่าเพลง All I Want for Christmas is You จะกลายมาเป็น Passive Income for You ได้อย่างไร

ผมขอถอดบทเรียนเรื่องนี้ดังนี้

เริ่มต้นจากการทำในสิ่งที่เราชอบหรืออะไรที่เรามีความเข้าใจและชำนาญอยู่แล้ว สิ่งที่ได้ออกมาจะเป็นผลงานที่มีคุณภาพครับ

แม้คุณจะไม่สามารถแต่งเพลงได้ แต่คุณสามารถลงทุนในสิ่งที่คุณรู้หรือเชี่ยวชาญได้ และนั่นก็จะกลายเป็น Passive Income ให้กับคุณในที่สุดครับ

และที่สำคัญคุณอาจต้องให้เวลากับมันสักหน่อย ขนาดเพลง All I Want for Christmas is You ที่แม้จะประสบความสำเร็จในทันทีแต่ก็ต้องใช้เวลากว่า 25 ปีถึงจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้

การลงทุนของคุณก็เช่นกันครับ อาจต้องใช้เวลาผ่านความผันผวนของตลาดเพื่อให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้กลับมาช่วยสร้าง Passive Income ให้คุณในอนาคต

ผมขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีให้คุณทุกคนไม่ว่าโลกการลงทุนในปี 2566 ที่ผ่านมาของคุณๆจะดีหรือเลวร้ายเพียงใด ผมหวังว่าคุณจะมีความสุขไปกับช่วงเวลาอันล้ำค่านี้ และในปี 2567 ขอให้เป็นปีแห่ง Passive Investment ที่คุณจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการลงทุนระยะยาวได้เหมือนกับเพลง All I Want For Christmas Is You ที่สร้างมูลค่าให้กับ Mariah เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลา

]]>
1457181
แนวโน้มการใช้ MARTECH ปี 2024 คู่มือสำหรับนักการตลาดเพื่อเป็นผู้มาก่อนกาล https://positioningmag.com/1457110 Mon, 25 Dec 2023 07:12:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457110

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

มาดูกันว่าในปี 2024 Martech มีเทรนด์ที่น่าสนใจอะไรบ้างและนักการตลาดพร้อมหรือยังที่จะอยู่ในเกม Martech ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีอินไซต์ไหน ที่นักการตลาดจะพลาดไม่ได้ในปี 2024

1. GenAI เป็นเพื่อนสนิทใหม่ของคุณ

อ้าแขนต้อนรับ Generative AI แบบเน้น ๆ เลย เพราะว่าปีนี้เป็นปีของเขาจริง ๆ GenAI เป็นจุดโฟกัส ที่จะทำให้งานของคุณง่ายขึ้นอย่างมหาศาล มันเจ๋งมากตั้งแต่การคิดไอเดียทางด้านมาร์เก็ตติ้งใหม่ ๆ การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการคิดคำโปรยในโปรแกรมมาร์เก็ตติ้งของคุณ ตัวอย่างด้านล่างเป็นการบรีฟ ChatGPT ช่วยคิดบิ๊กไอเดียสำหรับบริษัทบัซซี่บีส์

ตัวอย่างข้างต้น เป็นการนำเอา ChatGPT มาช่วยคิดบิ๊กไอเดียทางการตลาดของบริษัท แนะนำบิ๊กไอเดียนี้สู่นักลงทุน เพื่อการจำหน่ายหุ้น IPO

2. เครื่องมือด้านการตลาด เริ่มมีการรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยปกติแล้วเราจะรู้สึกหงุดหงิดมาก ๆ เวลาเราทำงานงานหนึ่ง แล้วเราจะต้องเปิดเครื่องมือหลาย ๆ เครื่องมือ ซึ่งเรื่องนี้มักไม่ค่อยเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในการทำงานในบริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่นของ Microsoft หรือค่าย Google ที่รวมเครื่องมือต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน อาทิ ค่าย Microsoft ที่ได้มีการรวบรวมเอา ChatGPT เข้ามาใช้ในผลิตภัณฑ์ Teams ซึ่งสามารถทำให้การบันทึกการประชุมสามารถทำได้โดย GenAI หรือการรวมเครื่องมือของ Flows เข้ามาใช้ในการทำงานทำให้การส่งอีเมลอัตโนมัติสามารถทำได้จาก Flow เลย หรือการนำ Co-Pilot เข้ามาใช้ร่วมกับ Power BI เพื่อที่จะแปลผลของข้อมูลให้กับผู้ใช้งานได้แบบทันที

3. การตลาดโดยใช้บทสนทนา เป็นเครื่องมือทางการตลาดกำลังมา

ในสมัยก่อน ลูกค้าต้องเข้ามาอ่าน FAQ หรือคำถามที่เกิดบ่อย ๆ บนเว็บไซต์หรือเข้ามาอ่านข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้การตลาดทำผ่านเครื่องมือแชทด้วยการใช้แชทบอทเข้ามาช่วย ทำให้ช่วยเพิ่มการทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลในการตอบคำถามทางการตลาดมากขึ้น เพราะไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนจะต้องการความรู้ที่เหมือนกัน การตลาดแบบบทสนทนานี้ เมื่อผู้บริโภคถามอะไรมา แชทบอทจะทำหน้าที่ตอบกลับไปได้อย่างรวดเร็วแล้วก็ตอบกลับไปในมุมของนักการตลาด ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกดี ๆ กับแบรนด์เรา รวมถึงซื้อของเรามากขึ้นอีกด้วย

ลูกค้าในปัจจุบันต้องการคำตอบและต้องการในทันที นักการตลาดควรเตรียมพร้อมสำหรับ “การตลาดแบบสนทนา” ที่เสมือนมีแชทบอทที่ฉลาดมากขึ้น และบอทเหล่านี้จะติดตามการเดินทางของลูกค้า หรือ Customer Journey ของคุณ ซึ่งจะช่วยปรับการสนทนาให้เป็นการส่วนตัวและปิดการขายได้เร็วขึ้นอีกด้วย

4. การมาของ Customer Data Platform (CDP)

CDP เป็นระบบที่ช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ และการจัดการข้อมูลของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจสามารถเข้าใจและสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ CDP ยังช่วยในการสร้างประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า โดยการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ความสนใจ และประวัติการซื้อของลูกค้า เพื่อสร้างการสื่อสารและการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อุตสากรรม CDP เป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก แต่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีก ซึ่งเรียกว่าการทำ “Composability” หมายถึง การออกแบบและการใช้งาน CDP ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยน หรือ “Compose” ได้ตามความต้องการของธุรกิจ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นี่คือหลักการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่ง CDP ให้ตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจง โดยการเลือกใช้งานคุณสมบัติ หรือโมดูลต่าง ๆ ที่เหมาะสม

5. นักการตลาดที่สามารถทำการตลาดแบบแต่ละบุคคลจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้

เคยไหมกับการทำแคมเปญทางการตลาดแบบส่งโปรโมชั่นให้กับทุกคนเหมือน ๆ กัน มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำแคมเปญทางการตลาดแบบเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ในปัจจุบันมีความต้องการที่จะได้รับคอนเทนต์เฉพาะตัว และนี่คือการสร้างความแตกต่างของแบรนด์ ความยากก็คือ กฎหมายด้านข้อมูลส่วนบุคคล มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเรื่องของทำ Cookies การไม่ให้ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลข้ามแพลตฟอร์ม มีความเข้มงวดมากขึ้นและไม่สามารถทำได้เลยหากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งาน ดังนั้นการมีข้อมูลส่วนบุคคลอยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเอง แล้วใช้ควบคู่กับAI จะทำให้คุณสามารถทำโปรแกรมการตลาดได้อย่างดีขึ้น สร้างความเชื่อถือได้มากขึ้น และความเชื่อมั่นที่มีต่อแบรนด์นี่แหละที่จะทำให้ท้ายที่สุดแล้วแบรนด์จะได้ลูกค้าที่อยู่กับคุณไปนาน ๆ

อย่าให้ความกังวลที่จะพลาดโอกาส Fear of Missing Out (FOMO) ทำให้คุณไม่เรียนรู้ Martech ใหม่ ๆ ยอมรับแนวโน้ม Martech เหล่านี้และคุณจะเป็นผู้กำหนดเทรนด์ ไม่ใช่นักการตลาดที่ล้าสมัย มาติดตามสำหรับกรณีศึกษา เพื่อดูแนวโน้มเหล่านี้ในเกมการตลาดที่จะไต่ระดับขึ้นในปี 2024 นี้ในบทความหน้ากันนะคะ!

]]>
1457110
บริษัทสตาร์ทอัพ: การบริหารแบบยั่งยืน สู่ภาพลักษณ์ ‘ธุรกิจที่มีความยั่งยืน’ https://positioningmag.com/1453481 Tue, 28 Nov 2023 03:49:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453481

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

ในฐานะของคนที่ทำบริษัทสตาร์ทอัพแล้ว การที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ไม่ว่าในแง่ของการเป็นลูกค้า หรือในแง่ของพนักงานบริษัท ตอนนี้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ลงไป มีการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้บริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการให้คนรุ่นใหม่ทำงานด้วย หรือให้ผู้บริโภคที่จะเป็นกำลังซื้อสำคัญในรุ่นต่อไป จำเป็นต้องปรับตัวและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ในการเป็นบริษัทที่มี Sustainability goal หรือภาษาไทยเรียกว่า ‘ธุรกิจที่มีความยั่งยืน’

‘ธุรกิจที่มีความยั่งยืน’ แบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก ได้แก่

  1. การดำเนินงานที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นการให้ความสำคัญด้านผลกระทบจากกิจกรรมบริษัทที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากร การใช้พลังงาน และการบริหารจัดการของเสีย ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Carbon Footprint ว่าบริษัทมีการบริหารจัดการอย่างไร
  2. การจัดการด้านสังคม (Social) ผลกระทบด้านสังคมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท อาทิ พนักงาน ลูกค้า ชุมชน ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาถึงกฎหมายแรงงานให้มีความเป็นธรรมในการจ้างงาน การจ้างงานที่มีความหลากหลาย และไม่เลือกปฏิบัติ การให้ความสำคัญต่อหลักการมนุษยชน และการทำประโยชน์เพื่อชุมชน
  3. การจัดการด้านธรรมาภิบาล (Governance) รวมถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการบริษัท การจัดการโครงสร้างบริษัทที่เอื้ออำนวยต่อการตรวจสอบ และความโปร่งใสของผู้นำบริษัท โครงสร้างของคณะกรรมการบริษัท การให้ผลตอบแทนกับผู้บริหาร และการปฏิบัติตามศีลธรรม และจรรยาบรรณที่ดีของบริษัท

การเพิ่มขึ้นของความสำคัญด้านการบริหารบริษัทแบบยั่งยืน

ถ้าลองมาดูถึงสถิติเกี่ยวกับการบริหารบริษัทแบบยั่งยืน ในช่วงปีที่ผ่านมาจากการที่เจ้าของสตาร์ทอัพ หรือผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ ในสมัยก่อนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับผลประกอบการในระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด ช่วงนี้ก็ได้หันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการบริหารบริษัทอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นความคาดหวังในระยะยาว กลุ่มสตาร์ทอัพออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่กลุ่มผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ กล่าวว่า เขาจะต้องทำการบริหารความคาดหวังระยะสั้น และระยะยาวนี้ไปด้วยกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ (PWC Leading in the new reality26th Annual Global CEO Survey – Asia Pacific January 2023: https://www.pwc.com/gx/en/about/pwc-asia-pacific/ceo-survey.html?icid=26th-ceo-survey-web-adwords-paid-ceosurvey&gclid=Cj0KCQiAr8eqBhD3ARIsAIe-buMsdBTrUxN6IVP7Gq-4_BPr5ebnE2rVczdDIxqD3jtrIbqaboweLGkaAuicEALw_wcB)

ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม และประเด็นด้านความยั่งยืน ไม่ใช่เป็นเทรนด์เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่เผชิญอยู่ไม่ว่าการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก การเพิ่มขึ้นของภาวะมลภาวะ และการเพิ่มระยะห่างของการกระจายรายได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจ เรื่องจะสร้างความยั่งยืนในโลก

กรณีศึกษา

บริษัทเทสลาเป็นตัวอย่างของเทคสตาร์ทอัพ ที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกนี้ที่ชัดเจนที่สุดบริษัทหนึ่งในโลก โดยที่ อีลอน มัสก์ มีความคิดว่าเขาจะเปลี่ยนโลกด้วยการกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมัน แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทน ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะทำได้สำเร็จ เขาแค่คิดว่าสิ่งที่เขาทำในเทสลา จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ต่างๆ ในโลกตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และหันมาผลิตรถยนต์ EV ได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบ

ทุกวันนี้เทสลา เป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และทำให้ทุกคนตระหนักรู้ และเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้บริษัทผลิตรถยนต์ต่างๆ ทั่วโลก หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเร็วขึ้น มากกว่าที่จะนั่งอยู่บนกองเงินกองทองของการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ซึ่งทำลายโลกต่อไป สิ่งเหล่านี้เป็นตัวที่ทำให้ Carbon Emission หรือการปล่อยคาร์บอน ลดลงโดยองค์รวมอย่างมีนัยสำคัญ

นอกเหนือไปจากนั้น บริษัทเทสลา ก็ยังได้เงินจากการขายคาร์บอนเครดิตเป็นจำนวนที่สูงมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เขาสร้างรายได้จากโมเดลธุรกิจการผลิตรถยนต์เท่านั้น ในปัจจุบันรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ก็เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เทสลาไม่ได้หยุดเฉพาะการผลิตรถยนต์ เทสลาได้มีความพยายามที่จะผลิตแบตเตอรี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถใช้ได้นาน โดยไม่ต้องมีการชาร์จที่ยาวนาน ทำให้แบตเตอรี่มีความสามารถนำไปจ่ายไฟกลับจากรถยนต์ให้กับครัวเรือนได้อีก

ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่ต้องใช้ถ่านหิน หรือน้ำมันในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือบ้านเรือน โลกวันนั้น ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จากความตั้งใจของบริษัทสตาร์ทอัพ ที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทในมุมของการสร้างความยั่งยืนเป็นแกน

https://carboncredits.com/tesla-regulatory-carbon-credit-sales-jumps-116/

บริษัทสตาร์ทอัพ บียอนมีท ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทมีจุดประสงค์ที่จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปล่อย Carbon Footprint ออกมาให้กับโลกเป็นจำนวนที่สูงเมื่อเทียบกับบริโภค Plant based หรือการบริโภคมังสวิรัติ ซึ่งการบริโภคมังสวิรัติแบบ Plant based นั้นทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นยังไง ให้ดูจากรูปด้านล่าง จะเห็นได้ว่าปริมาณเนื้อสัตว์ที่บริโภคได้หนึ่งกิโลกรัม ก่อให้เกิด Carbon Footprint จำนวนมาก เมื่อเทียบกับการบริโภค Plant based นี่อาจจะเป็นเพราะในเนื้อสัตว์ที่บริโภคได้หนึ่งกิโลกรัม มีสิ่งที่ไม่สามารถบริโภคได้เป็นจำนวนมาก นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของการลด Carbon Footprint จากการบริโภคเนื้อสัตว์

เรายังสามารถทำอย่างอื่น ในการลด Carbon Footprint ได้เช่นการลดการสูญเสียอาหาร โดยการนำเศษอาหารไปแปรรูปไปเป็นปุ๋ย หรือถ้าอาหารเหลือเป็นอาหารที่ยังดีอยู่ เราควรแจกจ่ายหรือบริจาค มิใช่ทิ้งอาหารไป หรือการบริหารประสิทธิภาพในการรับประทานอาหาร เพื่อให้อาหารเหลือและสูญเสียน้อยที่สุด อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งมีหลายบริษัทสตาร์ทอัพ มีความพยายามที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างยั่งยืน

https://foodprint.org/blog/fake-meat-followup/

บริษัทพาทาโกเนีย เป็นบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้า สำหรับกีฬากลางแจ้ง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มในการนำความยั่งยืน มาใช้ในการประกอบธุรกิจเป็นรายต้นๆ บริษัทมีแนวความคิดล้ำหน้าเช่น โปรแกรม Worn Ware และก็มีจุดมุ่งหมายและให้สัตยาบันด้านการผลิตเสื้อผ้า อย่างมีจริยธรรม อย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น

สัตยาบันด้านความยั่งยืนของพาทาโกเนีย เช่น การลดการปล่อย GHG (Greenhous Gas) ทั้งหมด 80% จาก Baseline ในปี 2017 ให้ได้ภายในปี 2030 เป็นต้น https://www.patagonia.com/climate-goals/

มาดูบริษัทในไทยที่เป็นผู้นำด้านนี้กันบ้าง บริษัทเวคินเป็นบริษัทที่ผลิตแอปที่ชื่อว่า CERO Carbon Wallet ซึ่งแอปพลิเคชันตัวนี้ เป็นแอปที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถทำกิจกรรมการลดคาร์บอนจากกิจกรรมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านแอปได้ เช่น การนำแก้วพลาสติกกลับไปรีไซเคิล การลดการสูญเสียของอาหาร การปลูกต้นไม้ โดยทุกกิจกรรม จะได้รับคาร์บอนเครดิต นับว่าเป็นครั้งแรกของวงการที่สามารถทำให้กิจกรรมที่ผู้บริโภคทำสามารถเปลี่ยนไปเป็นคาร์บอนเครดิตได้โดยตรง เป็นการช่วยผลักดันให้ผู้บริโภคมีความตระหนักถึงการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยเรื่องใกล้ๆ ตัว

โอกาสและความท้าทาย

ในส่วนของสตาร์ทอัพแน่นอนว่า การทำในเรื่องของโครงการความยั่งยืนทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยเฉพาะความกดดันที่จะต้องทำยอดขายสูงสุดในค่าใช้จ่ายที่ประหยัดสุดเพื่อให้อยู่รอด และเมื่อต้องแข่งกับคู่แข่งที่ไม่ได้มีกิจกรรมด้านความยั่งยืน ต้นทุนของการทำธุรกิจของสตาร์ทอัพที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนอาจจะสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของโอกาสนั้น จริงๆ แล้ว ผู้บริโภคมีการให้ความสำคัญ และมีความต้องการซื้อสินค้าบริการ จากบริษัทที่มีความใส่ใจด้านความยั่งยืนมากกว่าบริษัททั่วๆ ไป ซึ่งหุ้นยั่งยืนนั้นมีผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ซึ่งนี่หมายความว่า ในแผนระยะยาวนั้น การทำโครงการด้านความยั่งยืนอาจให้ผลตอบแทนด้านการเงินที่ดีกว่าด้วย

ซึ่งหมายความว่า ในโลกปัจจุบันนั้น การมีความเข้าใจและริเริ่มจุดมุ่งหมายของบริษัท ให้เกิดความยั่งยืนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เลือกทำได้อีกต่อไป แต่น่าจะเป็น Company Agenda หรือหนึ่งในจุดมุ่งหมายหลักของบริษัทเพื่อก่อให้เกิดผลกำไรในระยะยาวเลยทีเดียว

]]>
1453481
ให้ 11.11 เป็นมากกว่าวันคนโสด แต่เปิดโอกาสมั่งคั่งจากการลงทุน https://positioningmag.com/1453214 Mon, 27 Nov 2023 08:36:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453214

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

11.11 ผ่านไปแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เสียหายกันไปเท่าไร
เปล่าครับ ผมไม่ได้มาเสนอส่วนลดพิเศษอะไรให้แต่อย่างใด เพียงแต่จะมาชวนคุยถึงที่มาของแคมเปญสุดปัง 11.11 หรือ วันที่ 11 เดือน 11 ที่ร้านค้าต่างแข่งกันออกโปรโมชันเพื่อดึงดูดคนให้เข้าร้านกันยกใหญ่ ลดแลกแจกแถมกันแบบฉ่ำมง

ทำไมต้องเป็น 11.11 ผมขออนุญาตเล่าให้คนที่อาจจะยังไม่รู้ที่มาที่ไปสักเล็กน้อยครับ

หากคุณมองตัวเลข 11.11 แล้วเห็นอะไรบ้างคับ มีแต่เลขคี่เต็มไปหมดเลยใช่ไหมล่ะครับ

11.11 จึงเป็นวันที่ถูกนิยามให้เป็นวันคนโสด

หากย้อนไปดูตามประวัติแล้ว วันคนโสดเกิดขึ้นตั้งแต่ราวๆ ปี 2533 จากกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยในประเทศจีน 4 คน ที่ฉลองความโสดของตัวเอง…

ที่ผ่านมาผู้คนอาจจะคุ้นเคยกับวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักกันใช่ไหมล่ะครับ ในเมื่อมีวันของคนมีคู่ ทำไมจะมีวันของคนไม่มีคู่ไม่ได้ล่ะ

เพราะความรักไม่จำกัดแค่คนมีคู่ เราสามารถมอบความรักให้ตัวเองได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อมีการเผยแพร่เรื่องราวของนักศึกษากลุ่มนี้ออกไป ทำให้วันคนโสดกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันกลายเป็นเทศกาลในระดับภูมิภาคไปแล้ว

ในวันนี้ ผู้คนจะใช้จ่ายเพื่อตัวเอง เลือกซื้อของที่อยากได้ ‘วันคนโสด’ จึงมีอีกชื่อว่า ‘วันแห่งการช้อปปิ้ง’ ด้วย

นี่จึงเป็นที่มาของวันคนโสดครับ และต่อมาในยุคที่มีการซื้อขายออนไลน์ เทศกาลนี้ยิ่งแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ผลักดันให้กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) พุ่งกระฉูดไปตามๆ กัน

ข้อดีของวันนี้ยังไม่หมดแค่นั้นครับ เพราะไม่ใช่เฉพาะคนโสดที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย คนมีคู่เองก็ออกมาช้อปปิ้งเยอะไม่แพ้กันครับ ทำให้ตัวเลขการบริโภคในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น​

รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) พุ่งกระฉูดไปตามๆ กัน เป็นอานิสงส์ดีๆ ให้นักลงทุนที่โสดหรือไม่โสด ก็ยิ้มรับกันอย่างชื่นบานเลยทีเดียวครับ

แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ทำให้การซื้อของออนไลน์ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซพุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์ แต่ 11.11 หรือวันคนโสด ก็มีส่วนช่วยผลักดันไม่แพ้กันครับ

หากคุณอยากรู้ว่า วันคนโสด คนช้อปโหดขนาดไหน และช่วยเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้อย่างไร ผมจะพาไปดูสถิติที่น่าสนใจของวันคนโสดกัน​

1. Alibaba

เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่เห็นถึงความสำคัญของวันคนโสด และมีการจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในปี 2562 ได้ทำสถิติขาย 1 ชั่วโมง กวาด 360,000 ล้านบาท มากกว่ายอดขายทั้งปีของแบรนด์ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในไทยทั้งหมด

และล่าสุดในปี 2565 ที่แม้จะมีความท้าทายในภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ Alibaba ก็ยังสามารถทำยอดขายสุทธิในวัน 11.11 รวมกับวันอื่นๆ ตลอดระยะเวลาแคมเปญ 18 วัน ได้ถึง 2.65 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวครับ

2. Shopee

ทำสถิติยอดขาย 11 ล้านชิ้น ภายใน 5 นาทีแรกของ 11.11 ในปี 2564 และยอดซื้อที่มากที่สุดใน 1 รายการคือ 180,000 บาท เป็นสินค้าประเภทแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

3. Lazada

ทำสถิติจำนวนสินค้าที่ขายได้โตกว่า 200% จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 120% และดันจำนวนผู้ขายที่รายได้มากกว่า 100,000 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 300% ในช่วงแคมเปญ 11.11 ปี 2564

และในปี 2565 ที่ผ่านมา 11.11 มียอดขายในไทยโตทะลุกว่า 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ภายใน 2 ชั่วโมงแรก ขณะที่ยอดขายทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขึ้นกว่า 124 เท่า ตั้งแต่ 11 นาทีแรกของแคมเปญ

เป็นข้อมูลที่ OMG ในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซมากๆ ครับ

จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่

แม้ว่าที่มาของวันนี้จะเป็นเพียงการฉลองของคนโสดแค่ 4 คน แต่มันก็ได้กลายเป็นเทศกาลหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

ซึ่งผลกระทบนั้นก็ได้ถูกส่งต่อมายังประเทศไทยอีกด้วย

ที่สำคัญคือเทรนด์การช้อปปิ้ง ได้ทะลายข้อจำกัดด้านระยะทางด้วยการเปิดให้มีซื้อขายออนไลน์ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว

มีการขายแนวใหม่ประเภทการไลฟ์โชว์สินค้า ที่ช่วยกระตุ้นอีคอมเมิร์ซได้เป็นอย่างดีครับ

ทำให้การกระตุ้นยอดขายจากเทศกาลที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ กลายเป็นรากฐานของเศรษฐกิจระยะยาวในที่สุด

Shopping cart Ecommerce Marketing channel distribution concept on supermarket background

ลงทุนอีคอมเมิร์ซ โอกาสเติบโตของเมกะเทรนด์

ปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกกำลังวางนโยบายที่สนับสนุนอีคอมเมิร์ซ เช่น การลดหย่อนภาษีและขั้นตอนศุลกากรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเติบโตของช่องทางอีคอมเมิร์ซ

และในปี 2566 อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซคาดจะสร้างรายได้ทั่วโลกถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดอีคอมเมิร์ซคาดจะขยายตัว 10.4% ภายในสิ้นปี

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว มีการกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องในแพลตฟอร์มออนไลน์ ผลักดันให้กำไรของบริษัทต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

หากคุณสนใจที่จะลงทุนในอีคอมเมิร์ซ เรามีตัวเลือกการลงทุนในนโยบาย Thematic ที่สามารถเลือกลงทุนในธีมอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็น ETF ที่เข้าไปลงทุนในหุ้นของบริษัทค้าปลีกทั่วโลกที่มีรายได้หลักมาจากการค้าขายออนไลน์ อาทิเช่น Amazon และ Alibaba

สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ /jitta.co/3MCjoRM

หรือหากคุณสนใจในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ที่นอกเหนือจากเทศกาลวันคนโสด 11.11 ที่มีการจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่แล้วรัฐบาลจีนเองก็มีการออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกมากมาย

เป็นที่น่าสนใจว่าตลาดหุ้นที่ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาจากสถานการณ์ของภาคอสังหาฯ จะกำลังกลับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น

เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นจีนคุณสามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มได้ที่ jitta.co/49JkhlJ

When Paying Means Savings…

การใช้จ่ายในช่วง 11.11 หรือเทศกาลที่มีโปรโมชัน ลดแลกแจกแถม นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ผู้บริโภคเองก็ได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้เงินมากมายให้เกิดความคุ้มค่าได้เช่นกันครับ

ทำให้เงินที่ได้จากส่วนลดกลายมาเป็นเงินออม และเงินลงทุนต่อได้อีกต่อด้วย

นอกจากซื้อของเป็นรางวัลให้ตัวเองในวันนี้แล้ว อย่าลืมลงทุนเป็นรางวัลให้ตัวเองในวันข้างหน้าด้วยนะครับ

]]>
1453214