Columnist – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Oct 2024 04:36:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 3) https://positioningmag.com/1496388 Wed, 30 Oct 2024 07:38:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496388

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ตอนที่ผ่านๆ มาผมได้ฉายภาพคุณสมบัติของ ETF (Exchange Traded Fund) หลักการลงทุนและประเภทของ ETF ที่มีหลากหลายและแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงชี้เป้าวิธีการศึกษาหาข้อมูล ETF

เพราะ ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีจำนวนกองเปิดใหม่ที่มากขึ้นทุกๆ ปี และหลายๆ ETF มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน เช่น ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีนับร้อยนับพัน ใช้ดัชนีอ้างอิงที่แตกต่างกัน แต่ก็มี ETF หลายสิบหลายร้อยกองที่ใช้ดัชนีอ้างอิงเดียวกัน และมีนโยบายลงทุนเหมือนกัน แต่ผลตอบแทนและความผันผวนของ ETF ไม่เท่ากัน

แล้วคุณจะเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุดได้อย่างไร หากคุณยังมีความรู้ความเข้าใจไม่มากพอ…

บทความนี้ ผมจะพาคุณไปส่องวิธีการเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด ซึ่งไม่มีเกณฑ์อะไรยากและซับซ้อน ขอเพียงคุณทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน

เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะสามารถใช้วิธีการเพื่อนำมาเปรียบเทียบและคัดเลือก ETF ที่อยู่กลุ่มหรือประเภทเดียวกัน เพื่อเฟ้นหา ETF ตรงใจคุณมากที่สุด

วิธีการคัดเลือก ETF ที่น่าลงทุน

แต่ละคนมีความต้องการ ระดับความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนที่แตกต่างกัน ก่อนจะคัดเลือก ETF เพื่อมาจัดพอร์ตลงทุน คุณควรรู้จักตัวเองก่อนว่า คุณสามารถและเต็มใจรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

หากคุณรับความเสี่ยงได้ต่ำ และไม่ต้องการขาดทุน หรือได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก คุณควรเลือก ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาล หรือ Bond ETF ที่สำคัญ คือ ตราสารหนี้และพันธบัตรควรมีความน่าเชื่อถือสูง อยู่ในกลุ่มระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ผ่านการจัดอันดับ Credit Rating จาก Fitch S&P และ Moody’s หมายถึง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำนั่นเอง โดยให้น้ำหนักการลงทุนตั้งแต่ 80-100% ในพอร์ต

หากคุณรับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เงินลงทุนบางส่วนลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นได้ คุณสามารถเลือก Bond ETF ผสมกับ ETF ที่ลงทุนในหุ้น (Equity ETF) สัดส่วนผสมกันระหว่าง 40-60% ในพอร์ต ถ้าไม่ต้องการความผันผวนสูง คุณเลือก ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้น (Stock Market ETF) เพื่อกระจายความเสี่ยงในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม

หากคุณรับความเสี่ยงได้สูง และต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูง จากมูลค่าสินทรัพย์ที่เติบโต รวมทั้งยินดีรับความผันผวนขาลงระยะสั้น คุณสามารถเลือก Equity ETF ในสัดส่วนได้ตั้งแต่ 80-100% โดยจะเป็น Stock Market ETF หรือ ETF ที่ลงทุนในรายอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ (Sector ETF) หรือ ETF ที่ลงทุนในธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตระยะยาว (Thematic ETF) รวมไปถึงเลือก ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity ETF) หากรับความเสี่ยงได้สูงมาก หรือกระจายความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยใน Bond ETF เพื่อบรรเทาความผันผวนในช่วงขาลงของตลาดหุ้นได้

เมื่อคุณรู้จักระดับความสามารถ (Ability) และความเต็มใจ (Willingness) ในการรับความเสี่ยงจากการลงทุน ต่อมาคือ วิธีการเฟ้นหา ETF เพื่อมาจัดพอร์ตลงทุน ตามความเสี่ยงและผลตอบแทนคาดหวัง

ยิ่งคุณเจอ ETF หลายๆ กองที่ลงทุนในสินทรัพย์หรือมีนโยบายลงทุนเหมือนกัน จะเฟ้นหา ETF ไหนมาจัดพอร์ตดี คุณสามารถคัดเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด โดยพิจารณาจาก 4 เกณฑ์ ดังนี้

เกณฑ์ที่ 1 มูลค่า AUM ที่สูง

ETF ที่มีความแข็งแกร่งและมีความน่าเชื่อถือ นอกเหนือจากพิจารณาที่บริษัทจัดการลงทุนแล้ว มูลค่า AUM (Assets Under Management) หรือมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (หรือ Net Asset) มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ยิ่งมากยิ่งดี เพราะมูลค่า AUM ที่สูงมากพอ สะท้อนว่า โอกาสที่ ETF จะบริหารกองหรือสร้างผลตอบแทนเติบโตมีสูง เพราะมีกระแสเงินทุนมากพอที่จะลงทุนตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยคุณสามารถนำ ETF ประเภทเดียวกัน จัดอันดับมูลค่า AUM สูงที่สุด แล้วมาเปรียบเทียบกันได้

เกณฑ์ที่ 2 ค่า Total Expense Ratio ที่ต่ำ

ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของ ETF เป็นอีกเกณฑ์ที่มีสำคัญ ยิ่งถ้าคุณสนใจ Passive ETF เน้นให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนทำเพียงแค่ลงทุนตามดัชนี ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย ค่า Total Expense Ratio จะไม่สูงอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ปรับขึ้นกัน เพราะต้องแข่งขันกับ ETF ประเภทเดียวกันด้วย

แต่ถ้าเป็น Active ETF เน้นให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนต้องคอยติดตามภาวะตลาดและปรับพอร์ตตลอดเวลา ค่า Total Expense Ratio จะสูงกว่า

เหตุผลคือ ค่า Total Expense Ratio ที่สูงจะมีส่งผลต่อผลตอบแทนที่ ETF นั้นทำได้ ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าดัชนีอ้างอิงหรือไม่สามารถชนะดัชนีอ้างอิงได้ โดยคุณสามารถนำ ETF ประเภทเดียวกัน จัดอันดับมูลค่า AUM สูงที่สุด เพิ่มส่วนค่า Total Expense Ratio เพิ่มเติม แล้วเลือก ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด

เกณฑ์ที่ 3 ค่า Tracking Error ที่ต่ำ

ค่า Tracking Error สามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ ETF และผู้จัดการกองทุนได้ว่า ผลตอบแทนที่ทำได้ในแต่ละเดือน ไตรมาส และปี ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงหรือไม่ เหมือนเป็นค่าความคลาดเคลื่อน ETF ที่มีค่า Tracking Error ต่ำ ย่อมดีกว่า ETF ที่มีค่า Tracking Error สูงอย่างแน่นอน

ค่า Tracking Error นี้จะใช้วัด Passive ETF เพราะมีหลักการให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง แต่จะใช้วัด Active ETF ไม่ได้ ค่าความคลาดเคลื่อนจะสูงอยู่แล้ว เพราะมุ่งทำผลตอบแทนให้ชนะดัชนีอ้างอิง

หากคุณต้องการให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด นอกจาก 2 เกณฑ์แรกแล้ว ค่า Tracking Error ของ ETF ควรต่ำด้วยเช่นกัน

เกณฑ์ที่ 4 ค่าความเสี่ยงต่างๆ

ปกติแล้ว ETF จะทำ Fact Sheet (แผ่นข้อมูล) ที่จะระบุข้อมูลส่วนสรุปของ ETF นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลงทุน ดัชนีอ้างอิง ค่า Total Expense Ratio ผลตอบแทน และบริษัทที่ลงทุน รวมไปถึงแสดงค่าสถิติอื่นๆ ที่ระบุถึงความเสี่ยง ความผันผวน รวมไปถึงค่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่คุณสามารถพิจารณาได้

ค่าแรก คือ Standard Deviation (SD หรือ Volatility) เป็นค่าสถิติตัวแรกที่วัดความผันผวนของ ETF ค่ายิ่งสูง หมายถึงความผันผวนสูง ยิ่งต่ำ หมายถึงความผันผวนต่ำ มักจะเอามาคำนวณต่อในค่าสถิติอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง (หรือความผันผวน)

นอกจากนี้ยังมีค่า Sharpe Ratio ใช้วัดความสามารถในการบริหาร ETF และดูผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ควรมีค่ามากกว่า 1 หมายถึงทำผลตอบแทนได้มากกว่าความเสี่ยงนั่นเอง คุณจะได้รู้ว่า ความเสี่ยงนั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดหวังหรือไม่ โดยทั่วไป Passive ETF เปรียบเทียบค่า Sharpe Ratio ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนค่า Sortino Ratio ที่ใช้เฉพาะความผันผวนขาลงมาคำนวณ วัดความสามารถในการบริหาร ETF เหมือนกัน โดยดูผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ค่ายิ่งสูง ยิ่งดี แต่มักใช้วัดประสิทธิภาพของ Active ETF ที่มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง

โดยปกติคุณสามารถดูค่า SD ค่า Sharpe Ratio และค่า Sortino Ratio ครบในที่เดียวได้จาก Morningstar เป็นเครื่องมือออนไลน์ที่เฟ้นหาข้อมูลพื้นฐานของ ETF โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

หากคุณต้องการรู้จัก ETF นั้นมากขึ้นไปอีก ลองเข้าไปอ่าน 10 หุ้นแรกที่ ETF นั้นลงทุน ว่าตรงตามเป้าหมายของคุณหรือไม่ โดยเฉพาะ Thematic ETF ที่ไม่มีกฎตายตัวในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตลงทุน วัดแค่ว่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจตามธีมที่ ETF กำหนดนโยบายไว้

นี่คือ 4 เกณฑ์วิธีการคัดเลือก ETF อย่างง่ายๆ เพื่อคุณสามารถมั่นใจได้ว่า ETF ที่เฟ้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มาแล้วนั้น เป็น ETF ที่น่าลงทุนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพิจาณาจากมูลค่า AUM ค่า Total Expense Ratio ค่า Tracking Error และค่าความเสี่ยงต่างๆ และเริ่มต้นจัดพอร์ตลงทุนได้อย่างสบายใจ เพราะคุณรู้จัก ETF นั้นอย่างรอบด้าน

เมื่อคุณเข้าใจถึงวิธีการคัดเลือก ETF และเริ่มสนใจอยากหาโอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF  ผมได้รวบรวมช่องทางลงทุนให้คุณแล้ว

โอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF

เทรนด์การลงทุนปัจจุบัน นักลงทุนไทยหลายคนเริ่มสนใจจัดพอร์ตลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเห็นโอกาสเติบโต เพราะ ETF ต่างประเทศมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย และบางกองลงทุนในธีมธุรกิจที่ไม่มีในไทย

ในสายตาหลายๆ คน พอพูดถึง ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก และต้องใช้เงินลงทุนเยอะ หากจะลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้นักลงทุนหลายคนถอดใจที่จะเริ่มต้น

จริงๆ แล้ว โอกาสลงทุนต่างประเทศไม่ยากอย่างที่คิด และด้วยเทคโนโลยีช่วยให้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก โดยเฉพาะลงทุนผ่าน ETF อีกทั้งยังได้กระจายความเสี่ยงลงทุนในอุตสาหกรรมและธีมธุรกิจที่น่าสนใจ ด้วย ETF เพียงกองเดียว

นอกจากนี้ ETF เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก มีความหลากหลายในแง่ของสินทรัพย์ อุตสาหกรรม และธีมธุรกิจต่างๆ จึงดีงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างมหาศาลจากนักลงทุนทั่วโลก

ผมได้รวบรวมวิธีการ ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF ทั้งทางตรงและทางอ้อม มาให้คุณลองพิจารณาดู พร้อมทั้งจำแนกข้อดีและข้อด้อย เพื่อให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเลือกช่องทางลงทุนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด 3 วิธีด้วยกัน

วิธีที่ 1 ลงทุนผ่านกองทุนรวม

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund – FIF) เป็นทางเลือกแรกของการลงทุน ETF ต่างประเทศ เพราะเข้าถึงง่ายที่สุด ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก และซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ

ปัจจุบัน FIF เปิดกองใหม่ๆ มีทางเลือกให้กับคุณเยอะมาก โดยเลือกลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ และ ETF หลากหลายประเภท โดยเป็นการลงทุนทางอ้อม มี 2 รูปแบบ คือ Feeder Fund (ลงทุนกองเดียว) และ Fund of Funds (ลงทุนหลายกอง)

อย่างไรก็ตาม FIF ไม่ได้จำกัดเฉพาะการลงทุนในรูปแบบกองทุน และ ETF เท่านั้น แต่สามารถไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ เช่น จัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้และหุ้นโดยตรง ดังนั้นคุณควรอ่านศึกษานโยบายการลงทุนของ FIF นั้นๆ ให้เข้าใจก่อนที่จะลงทุน

จุดเด่น

  • ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก เพื่อซื้อหน่วยลงทุน
  • เปิดบัญชีลงทุนง่าย
  • ผู้จัดการกองทุนบริหารมูลค่าทรัพย์สินและผลตอบแทนตามนโยบายกองทุน

จุดด้อย

  • ค่าธรรมเนียมสูง ทั้งเก็บจากกองทุนรวมและผู้ถือหน่วยลงทุน
  • ผู้จัดการกองทุนสามารถเปลี่ยนกองทุนหรือ ETF ต้นทางได้

วิธีที่ 2 ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์

ปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ในไทยหลายแห่ง ให้บริการเปิดบัญชีเพื่อไปลงทุนในหุ้นและกองทุนต่างประเทศโดยตรงได้ และมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ และเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นสูง เพราะบางบล. อาจจะมีเงื่อนไขค่าธรรมเนียมซื้อขายขั้นต่ำ คุณจะต้องมีเงินมากพอ เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย

นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น การโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ หากคุณจะใช้บริการบล. ไทย ควรศึกษาอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศที่ไปลงทุนด้วย

ด้วยการพัฒนาระบบออนไลน์ต่างๆ คุณยังสามารถเปิดบัญชีผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเอง แต่คุณควรจะทำความเข้าใจเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำและค่าธรรมเนียมด้วยเช่นเดียวกัน

จุดเด่น

  • เข้าถึงการลงทุนโดยตรงและเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • เปิดบัญชีลงทุนง่าย ทั้งบล. ไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ
  • มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวก

จุดด้อย

  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียม
  • ค่าธรรมเนียมสูง มีขั้นต่ำ และมีต้นทุนการโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ
  • ใช้เวลาในการโอนเงินและแปลงสกุลเงิน

วิธีที่ 3 ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล

กองทุนส่วนบุคคลเป็นอีกทางเลือกที่ให้คุณลงทุนต่างประเทศผ่านหุ้นและ ETF โดยตรง โดยเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่มีใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)

บริการกองทุนส่วนบุคคลมีหลากหลายขึ้นอยู่กับบลจ. โดยจัดพอร์ตลงทุนและเลือกสินทรัพย์ให้ตามระดับความเสี่ยงของคุณ หรือวางรูปแบบกองทุนส่วนบุคคลไว้ให้คุณเลือก หลายๆ บลจ. อาจจะมีเงื่อนไขบริหารเงินลงทุนสูงมาก เช่น 5 ล้านขึ้นไป หรือ 10 ล้านขึ้นไป

แต่ด้วยเทคโนโลยีและการพัฒนาแพลตฟอร์มลงทุนทำให้บริการกองทุนส่วนบุคคลในปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากก็สามารถลงทุนใน ETF โดยตรง อย่างเช่น Jitta Wealth ที่นักลงทุนสามารถเริ่มต้นที่ 10,000 บาท และเพิ่มทุนครั้งละ 1,000 บาท

บริการกองทุนส่วนบุคคลจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่คุณควรศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

จุดเด่น

  • เข้าถึงการลงทุนโดยตรงและเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • เปิดบัญชีลงทุนง่ายผ่านบลจ. ไทย
  • บลจ. บริการพอร์ตลงทุนให้ และมีผู้รับฝากทรัพย์สิน
  • มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อผลตอบแทน
  • บางบลจ. มีระบบดิจิทัลรองรับ เช่น AI คัดเลือกสินทรัพย์

จุดด้อย

  • บางบลจ. อาจจะมีเงื่อนไขด้านเงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงมาก
  • อาจจะมีสินทรัพย์ เช่น หุ้นและ ETF ให้เลือกไม่มาก
  • ใช้เวลาในการโอนเงินและแปลงสกุลเงิน
  • อาจจะมีเงื่อนไขค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สินขั้นต่ำ

นี่คือ 3 ทางเลือกที่คุณจะสามารถคว้าโอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ง่ายๆ ด้วย ETF ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดผมหวังว่า ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ ETF ทั้ง 2 ตอน จะทำให้คุณรู้จักเครื่องมือการลงทุนอย่าง ETF มากยิ่งขึ้น และเห็นโอกาสสร้างพอร์ตลงทุนที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว

มูลค่าเงินลงทุนใน ETF ทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2563 เป็นเครื่องการันตีชั้นดีว่า ETF เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลก…แล้วคุณล่ะ เริ่มต้นสร้างพอร์ตลงทุน ETF ทั่วโลกแล้วหรือยัง

]]>
1496388
WOOPS Smoothie ปั้นแบรนด์น้ำปั่นฉบับ SME สมูทตี้ขวัญใจชาวออฟฟิศย่านสาทร  https://positioningmag.com/1491903 Thu, 26 Sep 2024 08:17:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491903 หากย้อนกลับไปในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญกับการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 เทรนด์การรักษาสุขภาพทั่วโลกรวมถึงในไทย มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามมา รวมถึงเทรนด์ อาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีแบรนด์เฉพาะเกิดขึ้นมากมาย โดยขายความเป็นสินค้าคุณภาพเพื่อสุขภาพที่ดี มีการใช้วัตถุดิบจากแหล่งเฉพาะ รวมถึงความเป็น Organic เป็นต้น

สอดคล้องกับข้อมูลจาก Mintel ที่เผยว่า ผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 35% ให้ความสำคัญกับคุณค่าต่อสุขภาพมากกว่าเรื่องรสชาติ ส่วนผู้บริโภคประมาณ 22% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องรสชาติเมื่อซื้อเครื่องดื่มมากกว่าคุณค่าต่อสุขภาพ 

จึงในระยะหลายปีให้หลังมานี้ มีร้านน้ำผักผลไม้ที่เป็นที่น่าสนใจและได้รับความนิยมมากขึ้นหลากหลายแบรนด์ อาทิ Erewhon Smoothie น้ำปั่นจากอเมริกาที่สร้างความฮือฮาเรื่องสีสันที่น่าทาน รวมถึงราคาที่แค่เริ่มต้นก็ปาไป 800 กว่าบาท แต่ธุรกิจกลับมีการเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อเนื่องทุกปี 

หรือจะเป็น Boost Juice ร้านน้ำปั่นจากออสเตรเลีย ที่กำลังฮิตมาในหมู่วัยรุ่นไทย ซึ่งแบรนด์ขายแค่น้ำผลไม้ปั่น แต่สามารถขยายสาขาไปได้กว่า 600 แห่งใน 15 ประเทศทั่วโลก ตามมาด้วย Plantiful ร้านน้ำผักผลไม้ปั่นที่ได้ฉายาว่าเป็น น้ำปั่น Erewhon สาขาไทย และล่าสุด OH JUICE! แบรนด์น้ำปั่นเพื่อสุขภาพที่แตกไลน์ธุรกิจออกมาจาก โอ้กะจู๋ ร้านอาหารสุขภาพที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เป็นต้น

(ซ้ายมือ)ไอซ์-จักรภัทร มุ่งจิตภิญโญ และ (ขวามือ) ซันนี่-วีรสรณ์ ลิ้มเจริญ เจ้าของร้าน WOOPS Smoothie (วูบส์ สมูทตี้)

ความฝันคนรุ่นใหม่ มีธุรกิจก่อนวัยเลข 3

หากมองแนวโน้มของตลาดอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ ก็ถือเป็นอีกธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องขึ้นทุกปีและน่าสนใจไม่น้อย ซึ่ง ซันนี่-วีรสรณ์ ลิ้มเจริญ และ ไอซ์-จักรภัทร มุ่งจิตภิญโญ คู่เพื่อนซี้เจ้าของร้าน WOOPS Smoothie (วูบส์ สมูทตี้) ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่เลือกลาออกจากงานประจำ แล้วเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ

ซึ่งทั้งคู่เลือกทำธุรกิจร้าน สมูทตี้ เพราะมาจากประสบการณ์ตรงที่ซันนี่เจอตอนไปออกกำลังกายเสร็จ แล้วอยากดื่มอะไรเย็นๆ คลายร้อน จึงสั่งน้ำผลไม้ปั่นไม่ใส่น้ำเชื่อม แต่ก็ไม่มีความอร่อย จึงบ่นในวงเพื่อนขำๆ ว่า ทำไมไม่ใส่ผลไม้ล้วนลงไปปั่น 

บวกกับความชอบที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน คือ เป็นคนรักสุขภาพและชื่นชอบการกินน้ำปั่นกันเป็นทุนเดิม จึงลองใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในครัวบ้านนำผลไม้มาปั่นกินกันเอง โดยไม่ใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็งลงไป ปรากฏว่าเครื่องดื่มก็ออกมามีรสชาติที่ดี ได้ประโยชน์แถมความหวานก็ได้จากผลไม้

โดยเมนูแรกที่ลองทำคือ มิกซ์เบอร์รี่ ที่นำเบอร์รี่มาปั่นรวมกับนมและโยเกิร์ต เมื่อลองทำให้คนรอบตัวชิมและช่วยคอมเมนต์ ช่วยกันพัฒนาสูตรกันกว่า 2-3 เดือน จนมั่นใจว่าไปต่อได้ จึงลองเปิดขายสมูทตี้ทางออนไลน์เป็นครั้งแรกในช่วงเดือน มิถุนายน 2567 โดยใช้พื้นที่ชั้น 2 ของร้านอาหารเกาหลีในซอยสาทร 11 ซึ่งเป็นธุรกิจทางบ้านซันนี่ ที่กำลังจะปิดตัวลงเป็นครัวกลางทำสมูทตี้ 

ซึ่งทั้งซันนี่และไอซ์ ก็มีความรู้ด้านธุรกิจกันมาบ้าง เพราะไอซ์เรียนจบทางด้านนิเทศศาสตร์ แต่มีประสบการณ์การทำงานในแวดวงการตลาด รวมถึงทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองคือ MARTIN HANK ซึ่งก็มีแนวโน้มไปได้สวย ผนวกกับความชอบในด้านแฟชั่นที่มีมากกว่าการนั่งทำงานประจำเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ไอซ์จึงเลือกลาออกมาโฟกัสที่แบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองเต็มตัว 

ส่วนซันนี่เรียนจบบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด และเคยทำงานในสายการตลาดให้บริษัทอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ดัง แล้วก็เห็นว่าเพื่อนซี้อย่าง ไอซ์ ลาออกจากงานแล้วมาเป็นนายตัวเองทั้งธุรกิจก็ไปต่อได้ดี จึงอยากลองหาธุรกิจทำเป็นของตัวเองบ้าง เพราะด้วยวัยที่ใกล้เลข 3 บวกกับใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง จึงได้ปรึกษาและชักชวนนำเงินเก็บมาลงขันกันทำธุรกิจด้วยงบหลักล้านบาท 

เริ่มต้นธุรกิจ แม้จะทำการบ้านมาดี แต่ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

แม้ตอนนี้ธุรกิจน้ำปั่นจะมีแต่เจ้าใหญ่ๆ อาทิ Boost Juice Plantiful และล่าสุด OH JUICE! ที่ทุนหนากว่า แบรนด์ติดตลาด สามารถขยายสาขาเข้าไปตามศูนย์การค้าได้ แต่เทรนด์ของน้ำปั่นก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในเมืองไทย เพราะปัจจัยอย่างสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน ทำให้ผู้คนมีความต้องการในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความเย็นและสดชื่น ซึ่ง WOOPS Smoothies ที่เป็นแบรนด์น้ำปั่นที่ปั้นขึ้นด้วย SME ตัวเล็กๆ ได้เข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด

แต่ใช่ว่าธุรกิจขายสมูทตี้ออนไลน์ของทั้งคู่จะไปได้สวย เพราะในช่วงเปิดร้านแรกๆ ยอดขายดีเพราะเพื่อนๆ และคนรู้จักมาช่วยกันอุดหนุน แต่พอเวลาผ่านไปก็ได้พบความจริง ที่ทั้งคู่ก็คาดการณ์กันไว้อยู่แล้วว่ายอดขายจะหายไป เหลือเพียง 1-2 แก้วต่อวัน บางวันก็ไม่มียอดสั่งซื้อ และจำต้องทิ้งผลไม้และวัตถุดิบต่างๆ แม้จะเป็นการทิ้งต้นทุนไปเสียเปล่า แต่เพื่อความสดใหม่ของวัตถุดิบที่จะนำมาทำเครื่องดื่ม ทั้งคู่จึงยอมเฉือนเนื้อกันคนละหน่อย ไหนจะต้นทุนเรื่องค่าที่ที่ยังต้องเสียเท่าเดิม ซันนี่และไอซ์จึงกลับมานั่งวางแผนแก้ปัญหาและค่อยๆ เรียนรู้วิธีทำธุรกิจกันไป 

จนเมื่อเห็นว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาในซอยเยอะ ผนวกกับร้านอาหารเกาหลีได้ปิดตัวลงเหลือเพียงร้านและโต๊ะเก้าอี้ที่ทิ้งไว้เฉยๆ ซันนี่และไอซ์จึงลองย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ลงมาที่ชั้นล่าง แบ่งใช้พื้นที่เล็กๆ ในร้าน แล้วปั่นน้ำขายคนที่เดินผ่านไปมา ทำให้ร้านเริ่มมีลูกค้าจากการ Walk in มากขึ้น จนคนยืนรอเต็มฟุตบาท

ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจรีโนเวตร้านเก่า เพื่อเปิดให้ลูกค้าเข้ามานั่งทานน้ำหลบร้อนกันข้างในได้ และซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ในการทำธุรกิจ เช่น เครื่องปั่นที่ใช้แบรนด์ราคาหลักพันปลายๆ ที่มีความแข็งแรงกว่าเดิม รวมถึง เครื่องสกัดเย็นราคาเกือบหมื่น (ที่ช่วยร่นระยะเวลาในการทำเครื่องดื่มได้เยอะ) มาทำเมนูน้ำผลไม้สกัดเย็น เพิ่มเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้า เป็นต้น

จนในเดือนสิงหาคม WOOPS Smoothie ที่ได้แรงบันดาลใจของชื่อมาจาก เสียงดูดน้ำตอนใกล้จะหมดแก้ว WOOPS (วูบส์) พร้อมคอนเซ็ปต์ ไม่ใส่น้ำแข็ง ไม่ใส่น้ำเชื่อม ก็ได้ฤกษ์เปิดในซอยสาทร 11 อย่างเป็นทางการ

เตรียมขยายอีก 3 สาขา จับโลเคชั่นออฟฟิศ

ด้วยความที่ร้านอยู่ในย่านสำนักงานยอดขายจึงดีในวันทำงาน โดยตลาดลูกค้าหลักๆ จึงเป็นกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ที่จะเข้ามาหาอะไรกินในซอยตอนเที่ยงๆ กลุ่มรองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวที่มาพักโรงแรมใกล้ๆ โดยราคาเครื่องดื่มของร้านมีตั้งแต่ราคา 59 บาทไปจนถึงหลักร้อยปลายๆ โดยมียอดขายเฉลี่ย 100 แก้วต่อวัน 

ซึ่งมาจากลูกค้าที่ Walk in กว่า 70% และอีก 30% เป็นลูกค้า Delivery ที่ตามมาจากช่องทาง Online ที่ทางร้านเองก็วางแผนไว้คือ การทำการตลาด ยิงโฆษณาบนแอปฯ Delivery เรียนรู้และศึกษาพฤติกรรมลูกค้า การทำคอนเทนต์ป้อนลงไปบนโซเชียลเพื่อโปรโมตร้าน การวางแผนจะใช้ KOL ให้เข้ามาช่วยทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงรสชาติเครื่องดื่ม งานอาร์ตเวิร์ก แบรนด์ดิ้งต่างๆ ที่ใช้ภายในร้าน 

ร้านเปิดมาได้ 4 เดือน ทั้งคู่ก็มีปรับแผนกันว่าจะปรับปรุงร้านใหม่ โดยจะแบ่งร้านทำธุรกิจ 2 อย่างคือ ฝั่งหนึ่งเป็นโซนร้านน้ำผลไม้ทำธุรกิจขายน้ำผลไม้ อีกโซนหนึ่งจะทำเป็นธุรกิจรับจัดดอกไม้ที่มีการร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นเพื่อนๆ กันด้วย 

ทำให้นอกจากสำนักงานใกล้ๆ จะมาสั่งดอกไม้เป็นของขวัญได้แล้ว ร้านยังมีดอกไม้เป็นตัวดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปและใช้บริการมากขึ้น รวมถึงแพลนที่จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ในการเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา โดยแบ่งเป็นหน้าร้าน 2 ที่ คือ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ กับ ตลาดละลายทรัพย์ และย่านงามวงศ์วาน ที่จะเปิดเป็นเดลิเวอรี

ทั้งนี้ ทั้งคู่มองว่าตลาดอาหารเครื่องดื่มและของกินต่างๆ เป็นตลาดที่กว้างมาก โดยเฉพาะกับเทรนด์เฮลท์ตี้ที่กระแสมาแรงกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเทรนด์เครื่องดื่มสมูทตี้ ที่มีอยู่ในตลาดในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องของการแต่งแก้ว เน้นความสวยงาม แต่ที่ร้าน WOOPS ไม่ได้เน้นความหวือหวาในเรื่องการตกแต่ง หรือเมนูแปลกแหวกกว่าใคร แต่เป็นร้านที่อยู่ในคอนเซ็ปต์ Every Day Smoothies กินง่าย ใครๆ ก็มากินกันได้ทุกวัน 

แม้ว่าความสวยงามก็ถือเป็นจุดดึงดูดลูกค้า แต่ทั้งคู่มองอยากเน้นให้ลูกค้ามาซื้อกินมากกว่า เพราะจากที่ลองเปิดร้านเป็นธุรกิจเสริม กลายเป็นว่าธุรกิจสมูทตี้สามารถสร้างรายได้ให้กับซันนี่และไอซ์ได้อย่างจริงจัง ทั้งคู่จึงไม่ได้คิดว่า ธุรกิจที่ทำจะมีการแข่งขันสูงจนร้านไม่สามารถพัฒนาหรือเติบโตต่อไปได้ในอนาคต มีแต่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ไปอีกพักใหญ่ๆ 

]]>
1491903
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 2) https://positioningmag.com/1488911 Thu, 05 Sep 2024 08:52:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488911

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ในตอนที่แล้ว ผมได้เกริ่นถึง กองทุนดัชนี และประเภทของกองทุน ETF และประเภทสินทรัพย์ที่ ETF ลงทุนไปแล้ว คุณน่าจะพอเห็นภาพว่าทุกวันนี้ นักลงทุนอย่างเราไม่ได้ถูกจำกัดสินทรัพย์ลงทุนไว้เพียงหุ้นหรือตราสารหนี้เท่านั้น  เราสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจต่างๆ ได้ผ่านกองทุน ETF ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายทีเดียว

และทุกวันนี้ก็เกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นมาที่คุณๆ อาจจะเคยได้ยินผ่านๆ หูมาบ้าง อย่าง การลงทุนในธีมธุรกิจ (Thematic Investment) ใน ETF เรียกว่า Thematic ETF ที่ถือได้ว่า เป็นเครื่องมือการลงทุนในธีมธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว โดยเป็นการเติบโตในรูปแบบ Structural Trend ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตหรือการดำเนินธุรกิจในอนาคตข้างหน้า

ธีมของธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจปัจจุบันและส่อแววว่าจะเฉิดฉายต่อไปในอนาคตได้ ยกตัวอย่าง เช่น บทบาทของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่แทรกซึมเข้ามา เพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อของ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือห้างสรรพสินค้า จึงทำให้เกิดธีมอีคอมเมิร์ซเพื่อลงทุนในรูปแบบ ETF หากจำกันได้ในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤติ Covid-19 ในช่วงแรกของการแพร่ระบาด ผู้คนออกไปไหนไม่ได้ การซื้อของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจึงเติบโตสูงมากในปี 2563 ส่งผลให้บริษัทที่ให้บริการอีคอมเมิร์ซ หรือ ETF อย่าง ProShares Online Retail ETF (ONLN) เติบโตสูงถึง +111.37% ในปีเดียวกัน

ธุรกิจคลาวด์ (Cloud Computing) กลายเป็น Thematic ETF เช่นเดียวกัน และได้รับอานิสงส์จากวิกฤต Covid-19 ที่ทำให้ผู้คนและองค์กรทั่วโลกหันมาลงทุนกับระบบคลาวด์ เพื่อใช้ในการทำงานจากที่บ้าน เก็บไฟล์งานต่างๆ ที่ดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงความบันเทิงในบ้าน เช่น ดูภาพยนตร์ ดูซีรีส์ และฟังเพลง ในปี 2563 ETF อย่าง WisdomTree Cloud Computing Fund (WCLD) เติบโตสูงถึง +109.71%

แต่การเติบโตแบบ Structural Trend ไม่ได้วัดที่ผลตอบแทนปีใดปีหนึ่งเท่านั้น เป็นมุมมองและความเชื่อมั่นในธีมธุรกิจนั้น ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ที่ว่ากันเป็น 10-20 ปี คุณอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณยังจะใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่อไปหรือไม่ หรือแพลตฟอร์มคลาวด์มีความจำเป็นในชีวิตและการทำงานของคุณหรือเปล่า

รวมไปถึงธีมธุรกิจอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น ฟินเทค เกมและอีสปอร์ต หุ่นยนต์และ AI จีโนมิกส์ หรือพลังงานสะอาด ถ้ามองภาพระยะยาว…ธีมธุรกิจเหล่านี้จะมีศักยภาพเติบโตหรือเข้ามามีอิทธิพลกับผู้คนทั่วโลกหรือไม่

นี่คือความเป็น ‘เมกะเทรนด์’ ของธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต  บริษัทจัดทำดัชนีอ้างอิงต่างเล็งเห็นถึง  เทรนด์การลงทุนใน Thematic ETF จึงรวบรวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับธีมนั้นๆ และจัดทำดัชนีอ้างอิงขึ้นมา โดยแต่ละบริษัทจัดการลงทุนสามารถออกแบบนโยบายได้ทั้ง Passive ETF หรือ Active ETF

คุณสามารถเลือกสร้างพอร์ตให้เติบโตไปตามอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจที่เลือก พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายสิบหลายร้อยบริษัทผ่าน ETF กองเดียว

อย่างไรก็ตามการลงทุนใน ETF รายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจ ราคาและผลตอบแทนจะมีความผันผวนมากกว่า ETF ตลาดหุ้นที่มีกรอบการลงทุนกว้างกว่าและลงทุนในหุ้นหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นคุณควรศึกษาสินทรัพย์แต่ละอุตสาหกรรมก่อนจะลงทุน เพื่อความเข้าใจในธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจ และมั่นใจในศักยภาพเติบโต พร้อมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ และธีมธุรกิจ

ETF นโยบาย
iShares Global Healthcare ETF (IXJ) มากกว่า 100 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare
Global X FinTech ETF (FINX) มากกว่า 50 บริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี Fintech ทั่วโลก
ETFMG Alternative Harvest ETF (MJ) มากกว่า 40 บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมการเพาะปลูกและแปรรูปกัญชา
Global X Video Games & E-sports ETF (HERO) มากกว่า 40 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับวงการเกมและจัดการแข่งขันอีสปอร์ต

 

ETF อีกประเภทที่ออกแบบมา เพื่อคว้าโอกาสลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมันดิบ เงิน หรือสินค้าการเกษตรต่างๆ เรียกว่า Commodity ETF ซึ่งจะมีนโยบายการลงทุนที่แคบกว่า ETF ประเภทอื่นๆ  เนื่องจากลงทุนเจาะจงไปที่สินค้าโภคภัณฑ์ตัวนั้นๆ ราคาและผลตอบแทนจึงมีความผันผวนสูงมาก เป็นไปตามวงรอบเศรษฐกิจ ตามอุปสงค์อุปทาน หากมีข่าวสารเชิงลบ ที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง

ยกตัวอย่างการลงทุนในทองคำ ราคาจะมีความเคลื่อนไหวไปตามวงรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง จนธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ราคาทองคำจะอยู่ไต่ระดับเป็นขาขึ้น ไปจนถึงช่วงเศรษฐกิจเริ่มถดถอย เงินเฟ้อไม่เร่งตัว ธนาคารกลางเริ่มลดดอกเบี้ย ราคาทองคำอาจจะทำนิวไฮได้ในช่วงนี้ เพราะนักลงทุนทั่วโลกจะหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดการเงินการลงทุนผันผวน ที่เรียกว่า Safe Heaven

ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจและหาความรู้ในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงรับมือกับความเสี่ยงด้านราคา การปรับพอร์ตใน Commodity ETF ตามรอบวงจรเศรษฐกิจมีความสำคัญมาก หากคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสเร่งตัวในอนาคต ค่อยปรับพอร์ตให้น้ำหนักการลงทุนใน Commodity ETF มากขึ้น แล้วลดสัดส่วนในพอร์ตเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มปรับตัวลดลง

Commodity ETF จะรวบรวมและคัดสรรบริษัทชื่อดังที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่ ETF นั้นลงทุน และเป็น Passive ETF ที่ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์

ETF นโยบาย
SPDR Gold Shares (GLD) กองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีชื่อเสียงที่สุดในโลกด้วย
United States Oil Fund LP (USO) กองทุน ETF น้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองน้ำมันหลายชนิด ครอบคลุมน้ำมันทั่วโลก
Invesco DB Agriculture Fund (DBA) สินค้าการเกษตรแบบคลอบคลุม ซึ่งรวบรวมหลายประเภท เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี และทุกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร

 

จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน Commodity ETF จะมีความแตกต่างกันในสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้น ราคาและผลตอบแทน จะมีความผันผวนและความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน ในช่วงราคาน้ำมันขาลง ราคาทองอาจจะเป็นขาขึ้นได้ แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกัน คือ เป็น Passive ETF สร้างผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง ขึ้นอยู่กับคุณว่า จะเลือกลงทุนและเชื่อมั่นในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทไหน

นอกจากนี้ยังมี ETF ที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป เช่น ETF เงินตราต่างประเทศ และ ETF คริปโทเคอร์เรนซี

อ่านมาจนถึงตอนนี้คุณอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า ‘มีวิธีในการคัดเลือก ETF ต่างประเทศเพื่อลงทุนอย่างไร’ หรือ ‘ถ้าอยากจะลงทุนใน ETF ต่างประเทศโดยตรงสามารถทำยังไงได้บ้าง’ ซึ่งในตอนต่อไป ผมจะพาคุณไปลงลึกถึงวิธีการเลือก ETF และโอกาสลงทุนต่างประเทศ และเมื่ออ่านจนจบ คุณจะตัดสินใจได้ว่า เลือกลงทุน ETF ต่างประเทศอย่างไรให้ตรงจริตของคุณ

]]>
1488911
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 1) https://positioningmag.com/1484702 Thu, 01 Aug 2024 10:46:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484702

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ภาวะการลงทุนในประเทศที่ไม่ได้เอื้อต่อจิตใจของนักลงทุนยามนี้ ทำให้เชื่อว่าหลายต่อหลายคนกำลังมองหาการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนกำลังใจในการลงทุนให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะการออกไปลงทุนต่างประเทศ แต่ก็อาจจะยังมีความลังเลและไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี วันนี้ผมมีเครื่องมือการลงทุนที่จะมาช่วยเพิ่มทางเลือกให้คุณได้ลองเปิดใจ และอาจจะกลายเป็นติดใจได้ไม่ยาก

เครื่องมือทางการลงทุนยอดนิยม ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก คือ ‘กองทุนดัชนี’ ที่ผมจะพาไปทำความรู้จักบทเรียนแรกๆ หรือจะเรียกว่าเป็น ETF 101 ก็ว่าได้นะครับ

กองทุนดัชนี คือ สินทรัพย์ทางการเงินในรูปแบบกองทุน มีนโยบายบริหารกองทุนแบบ Passive ที่ให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง เช่น S&P500 DJIA NASDAQ100 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ CSI300 ของตลาดหุ้นจีน หรือ NIKKEI225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือ SET50 ตลาดหุ้นไทย โดยมาในรูปแบบของกองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF (Exchange Traded Fund)

กองทุนดัชนีเป็นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากเป็น Passive Fund ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น ผลตอบแทนก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อดัชนีปรับลดลง ผลตอบแทนก็จะลดลง เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น มีทั้งขาขึ้นและขาลง

ถ้าคุณลงทุนอย่างมีวินัย หมั่นเพิ่มทุนสม่ำเสมอในกองทุนดัชนี พอร์ตระยะยาว…จะมีผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอย่างยั่งยืน เพราะเงินในพอร์ตทำงานได้อย่างเต็มที่ ผลตอบแทนสูงในช่วงขาขึ้น มักชดเชยการขาดทุนช่วงขาลงได้

Invesco บริษัทจัดการลงทุน ทำวิจัยออกมาว่า ในช่วงพฤศจิกายน 2511 ถึงธันวาคม 2563 ช่วงดัชนี S&P500 เป็นขาขึ้นต่อเนื่องนานที่สุดอยู่ที่ 1,764 วัน หรือประมาณ 58 เดือน ขณะที่ช่วงดัชนีขาลงนานที่สุดอยู่ที่ 349 วัน หรือประมาณ 11-12 เดือน ส่วนผลตอบแทนสูงสุดช่วงขาขึ้นอยู่ที่ +180.04% ช่วงขาลงอยู่ที่ -36.34%

หากลงทุนนานถึง 30 ปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 จะอยู่ที่ 10.7% ต่อปี…นี่คือ ความมหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ Passive ในตลาดหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

ทำไมการลงทุนใน ETF ถึงน่าสนใจ

ETF หรือ Exchange Traded Fund กองทุนรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้น โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือบริษัทจัดการลงทุน

ปัจจุบัน ETF ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพราะเป็นเครื่องมือการลงทุนที่เปิดทางให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ตราสารหนี้และหุ้นในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก

ETF

นอกจากนี้ยังมี ETF หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นธีมธุรกิจ และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งยังขยายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซี

จุดเริ่มต้นของ ETF มีนโยบายลงทุนแบบ Passive ตามดัชนีอ้างอิง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด เหมือนกับกองทุนรวมดัชนี แต่แทนที่จะประกาศราคาซื้อขายตอนสิ้นวันเหมือนกองทุนรวม นักลงทุนสามารถซื้อขาย ETF ได้ในตลาดหุ้น…เสมือนซื้อขายหุ้นนั่นเอง

ดังนั้นความน่าสนใจของ ETF คือ ซื้อง่ายขายคล่องบนกระดานหุ้น เพราะเป็นการผสมผสานคุณสมบัติของหุ้นและกองทุนรวมเข้าด้วยกัน

ปัจจุบัน ETF ขยายรูปแบบการลงทุนนอกเหนือจาก Passive ETF มาเป็น Active ETF รวมไปถึงหลักการลงทุนและนโยบายที่หลากหลายมากขึ้น บทความนี้ ผมจะพาคุณได้ไปทำความรู้จักกับ ETF ในหลากหลายแง่มุม

ข้อแตกต่างระหว่าง Passive ETF และ Active ETF

อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว Passive ETF มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิงที่ ETF กองนั้นระบุไว้ใน Fact Sheet (แผ่นข้อมูล) ปัจจุบันมีดัชนีอ้างอิงหลายร้อยหลายพัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนีผลตอบแทนตราสารหนี้และดัชนีตลาดหุ้นในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก นอกจากนี้หลายๆ สถาบันการเงินยังออกดัชนีหุ้นรายอุตสาหกรรม ดัชนีหุ้นธีมการลงทุน และดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์

หากคุณเลือกลงทุนใน Passive ETF คุณต้องมั่นใจว่า ตลาดการเงินการลงทุนและดัชนีอ้างอิงมีประสิทธิภาพที่จะสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว และความเสี่ยง คือ ตลาดหุ้นเป็นช่วงขาลง ผลตอบแทนจะน้อยลงตามกัน คุณทำเพียงเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือ DCA (Dollar Cost Averaging) แล้วปล่อยให้เงินทำงาน สร้างมูลค่าให้เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ตามดัชนีอ้างอิง

Passive ETF จะมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย (Total Expense Ratio) ที่ต่ำมาก เพราะผู้จัดการกองทุนจะลงทุนตามดัชนีอ้างอิง ไม่ต้องติดตามดูกราฟราคาสินทรัพย์และปรับพอร์ตตลอดเวลา โดยคุณสามารถตรวจสอบได้ว่า Passive ETF ที่สนใจมี Total Expense Ratio เท่าไร ลงทุนอยู่ในสินทรัพย์อะไรบ้าง

ตัวอย่าง Passive ETF

  • Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) อ้างอิงจากดัชนี CRSP US Total Market Index ที่รวมหุ้นทุกขนาดมาร์เก็ตแคปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
  • ThaiDex SET50 Exchange Traded (TDEX) อ้างอิงจากดัชนี SET50 ที่รวมหุ้น 50 ตัวแรกตามขนาดมาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทย
  • VanEck Vectors Vietnam ETF (VNM) อ้างอิงจากดัชนี MVIS Vietnam Index ที่ลงทุนประมาณ 30 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปอย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มีรายได้หลักมาจากเวียดนาม

ในปี 2563 มูลค่า AUM (Assets Under Management) ของ ETF ทั่วโลกอยู่ที่ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างที่ได้เกริ่นมาแล้วว่า ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีวิวัฒนาการมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้เป็น Passive ETF เพียงอย่างเดียว แต่มี Active ETF เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนทั่วโลก

ETF

สำหรับ Active ETF มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง ดังนั้นผู้จัดการกองทุนจะจัดพอร์ตตามนโยบายที่ได้ระบุไว้ใน Fact Sheet หากคุณเลือก ETF ประเภทนี้ คุณต้องมีแนวคิดที่ว่า ตลาดการเงินการลงทุนและดัชนีอ้างอิงไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องเลือกเครื่องมือการลงทุนที่จะทำผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง และความเสี่ยง คือ โอกาสที่ Active ETF จะมีผลตอบแทนแพ้ดัชนีอ้างอิง ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เหมือนกับกองทุนรวมแบบ Active Fund (การบริหารจัดการเชิงรุก) ส่งผลให้ Active ETF จะมี Total Expense Ratio ที่สูงกว่า เพราะผู้จัดการกองทุนต้องติดตามสินทรัพย์ที่ลงทุนและปรับพอร์ต ETF ตลอดเวลา รวมไปถึงการซื้อขายสินทรัพย์ถี่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง

ตัวอย่าง Active ETF

  • ARK Innovation ETF (ARKK) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนบริษัทนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาดิสรัปรูปแบบธุรกิจเดิม และมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจในอนาคต เช่น เทคโนโลยี AI เทคโนโลยี DNA เทคโนโลยีคลาวด์ และฟินเทค
  • ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่พัฒนาการรักษาให้ลึกลงไปในระดับพันธุกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงหรือโรคที่รักษายาก
  • First Trust Preferred Securities & Income ETF (FPE) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นหุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้แปลงสภาพกว่า 80% เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงในความผันผวนที่ต่ำ และรายได้ที่มั่นคงให้กับนักลงทุน

รูปแบบการลงทุนของ Passive ETF และ Active ETF จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องนโยบายการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง การบริหารจัดการพอร์ต และค่าธรรมเนียม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจกับ Active ETF เช่นเดียวกัน ด้วยมูลค่า AUM ทั่วโลกในสัดส่วน 2.9% อยู่ที่ 303,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2563

ในความแตกต่างนี้ อยู่ที่ตัวคุณ ว่ามีเป้าหมายใช้เครื่องมือการลงทุนรูปแบบไหน ที่ตรงกับความต้องการและจริตการลงทุนของคุณ หากต้องการลงทุน Passive ETF เพื่อเติบโตในระยะยาวไปตามดัชนีอ้างอิงด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ หากต้องการลงทุน Active ETF เพื่อผลตอบแทนชนะดัชนี ด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

ประเภทสินทรัพย์ที่ ETF ลงทุน

ปัจจุบันมี ETF อยู่เกือบ 8,000 กองทั่วโลก กลายเป็นเครื่องมือการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาลงทุนเรื่อยๆ เพราะเปรียบเสมือนหุ้นบนกระดานซื้อขาย และได้กระจายความเสี่ยงเพียงลงทุนแค่ ETF กองเดียว ทำให้สินทรัพย์ที่ ETF มีมากมายหลายประเภท ที่เป็นทางเลือกให้กับคุณ

ผมได้รวบรวมสินทรัพย์ยอดนิยมที่ ETF เข้าไปลงทุนมากที่สุดได้แก่ หุ้นและตราสารหนี้ ทำให้มูลค่า AUM ของสินทรัพย์ทั้ง 2 ตัวมีขนาดใหญ่มาก ETF จึงมีความแข็งแกร่งในแง่ของโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลาย และจัดพอร์ตลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีมากที่สุด จึงมีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้น

ETF

นโยบาย

Vanguard Total Stock Market ETF (VTI)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้

ETF

นโยบาย

iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG)

พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ

iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)

หุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังมี ETF ที่ลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ ที่เรียกว่า Sector ETF เพื่อเปิดโอกาสลงทุนในหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ บางช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นขาลงหรือเกิดวิกฤต จะมีบางอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่เจอผลกระทบเลย จึงยังมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

ETF

Sector ETF มีนโยบายลงทุนได้ทั้ง Passive และ Active ขึ้นอยู่กับบริษัทจัดการลงทุน โดยจะใช้ดัชนีอ้างอิงและตะกร้าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจตามเกณฑ์ Global Industry Classification Standard (GICS) จัดทำโดยบริษัทจัดทำดัชนีตลาดอย่าง MSCI และ S&P แบ่งเป็น 4 ลำดับชั้นจากยอดสู่ฐานของสามเหลี่ยม ได้แก่

  • 11 Sectors (ภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 24 Industry Groups (กลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 68 Industries (อุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 157 Sub-industries (อุตสาหกรรมหรือธุรกิจย่อย)

ยกตัวอย่างภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ เช่น พลังงาน (Energy) สินค้าจำเป็น (Consumer Staples) การเงิน (Financials) หรือบริการสุขภาพ (Healthcare)

จริงๆ แล้ว ทุกวันนี้มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ที่คุณสามารถเข้าไปเลือกลงทุนได้ผ่าน ETF ซึ่งในครั้งหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงธุรกิจที่น่าสนใจ และเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ผมหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นทางเลือกสำหรับมือใหม่ที่ต้องการออกไปลงทุนต่างประเทศ ได้ศึกษาและพิจารณาโอกาสใหม่ๆ ที่จะให้พอร์ตของคุณเติบโตได้ยั่งยืนไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม   

]]>
1484702
การเปลี่ยนแปลงด้วย AI: ข้อคิดจากการมาเยือนประเทศไทยของ Prof. Andrew Ng https://positioningmag.com/1484687 Thu, 01 Aug 2024 10:43:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484687

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

เมื่อ Prof. Andrew Ng มาเยือนประเทศไทย การบรรยายของเขานับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของประเทศไทย ระดับปรมาจารย์ด้าน AI ระดับโลกมาทั้งที พิ้งค์ขอมาสรุปเนื้อหาสำคัญให้ฟังแบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งเชื่อมโยงตัวอย่างจริงจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งเป็น 5 ด้านดังนี้

1. ความสำคัญและบทบาทของ AI

AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่มีผลต่อโลกเทียบเท่าการกำเนิดของไฟฟ้าเมื่อร้อยปีที่แล้ว ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงและยกระดับการดำเนินชีวิตของเรา มันไม่ใช่เครื่องมือ แต่เหมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนพัฒนาการ และนวัตกรรมของโลกในอนาคตทั้งหมด เราควรมอง AI เป็นกลุ่มเครื่องมือที่รวมถึง Supervised, Unsupervised, Reinforcement และ Generative AI

Prof. Andrew อธิบายการฝึกสอนโมเดล Supervised Learning ที่ค้นหาความสัมพันธ์ ระหว่าง Input และ Output ในช่วงปี 2010-2020 เป็นยุคของ Large Scale Supervised Learning ซึ่งข้อมูลและโมเดลขนาดใหญ่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้น ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เราเข้าสู่ยุคของ Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ๆ เช่น ภาษา รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

Supervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ใช้ข้อมูลที่มีการติดป้ายกำกับ (labeled data) กล่าวคือ ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวอย่างของอินพุต (input) และเอาต์พุต (output) ที่ถูกต้อง โมเดลจะเรียนรู้การคาดการณ์จากข้อมูลเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น การจำแนกภาพ (Image Classification) ที่โมเดลจะได้รับภาพพร้อมป้ายกำกับ เช่น ภาพแมวหรือสุนัข จากนั้นโมเดลจะเรียนรู้ที่จะจำแนกภาพใหม่เป็นแมวหรือสุนัขตามข้อมูลที่เรียนรู้มา

Unsupervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่ไม่มีป้ายกำกับในข้อมูล กล่าวคือ ข้อมูลไม่มีเอาต์พุตที่ถูกต้อง โมเดลจะต้องหาความสัมพันธ์หรือโครงสร้างในข้อมูลด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น การจัดกลุ่มข้อมูล (Clustering) ที่โมเดลจะพยายามหากลุ่มของข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่มีการกำหนดหมวดหมู่ล่วงหน้า การใช้ Unsupervised Learning มักจะใช้ในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจและค้นพบโครงสร้างที่ซับซ้อนในข้อมูล

Reinforcement Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่โมเดลจะเรียนรู้ผ่านการทดลองและข้อผิดพลาด โดยโมเดลจะได้รับรางวัล (rewards) หรือบทลงโทษ (punishments) จากการกระทำในสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเล่นเกมหรือการควบคุมหุ่นยนต์ โมเดลจะพยายามหานโยบาย (policy) ที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มผลตอบแทนรวมในระยะยาว การเรียนรู้แบบนี้มักใช้ในปัญหาที่ต้องการการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนและผลของการตัดสินใจมีผลต่ออนาคต

2. การใช้งานและผลกระทบของ AI

Generative AI ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลก แต่ยังเปลี่ยนวิธีการที่มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI

ตัวอย่าง บริษัท Associated Press ใช้ AI เขียนข่าวทางการเงินและกีฬาในปี 2023 หรือ Amazon Alexa ถูกใช้ในบ้านกว่า 200 ล้านหลังทั่วโลกในปี 2023

จากการเขียนโค้ดจำนวนมาก กลายเป็นการเขียนPrompt” ภาษาธรรมชาติ ทำให้การใช้งาน AI เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน และ การเขียน Prompt ช่วยลดเวลาในการพัฒนา Software Applications จากหลายเดือนเหลือไม่กี่สัปดาห์ หรือชั่วโมง

ตัวอย่าง GitHub Copilot ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดได้เร็วขึ้น 55% ตามรายงานของ GitHub ในปี 2022

การสร้าง Software ในยุค AI ประกอบด้วยการพัฒนา Prompt และการนำไปใช้งาน

3. AI ในธุรกิจและการพัฒนา

AI Stack ประกอบด้วย Hardware, Cloud, AI Tools และ Applications โดยมักเน้นที่ AI Tools Layer อย่าง OpenAI โดยมีบริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ใน App Layers เช่น Workera, Workhelix, NETAIL

ตัวอย่าง ธนาคารกสิกรไทยใช้ AI Chatbot “K PLUS Buddy” ให้บริการลูกค้าในปี 2022 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีทรวงอกเพื่อคัดกรองวัณโรคปอด ในปี 2021

การสร้าง AI Startup ใน Silicon Valley มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ Idea + Validate, Recruit CEO, Build, Pre-Seed Growth และ Scale โดยการเลือก CEO ที่ช่วยสร้าง MVP ต้องเป็น Technical CEO ที่มีความเข้าใจทั้งเทคนิคและธุรกิจ AI ช่วยลดต้นทุนและสร้างการเติบโตได้พร้อมกัน โดย Knowledge Workers จะได้รับผลกระทบจาก Generative AI มากที่สุด

MVP หรือ Minimum Viable Product คือผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันและคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดที่สามารถนำเสนอคุณค่าและแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้ได้ ด้วยการสร้าง MVP สตาร์ทอัพสามารถทดสอบแนวคิดทางธุรกิจและรับคำติชมจากผู้ใช้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนมากเกินไป

4. อนาคตและความท้าทายของ AI

AI จะเข้ามาแทนที่งานบางส่วน โดยจะอัตโนมัติเฉพาะงานบางอย่างไม่ใช่ทั้งหมด สถิติแสดงว่าประมาณ 20-30% ของงานปัจจุบันจะถูก Automate ด้วย AI ส่วนที่เหลือ 70-80% ยังต้องพึ่งพามนุษย์ เราควรกำกับการใช้งาน  Applications มากกว่าตัวเทคโนโลยี เช่น การควบคุม Fake News บน Social Media และควรมีนโยบายปกป้อง Open-Source AI หลายประเทศมีบริษัทใหญ่ๆ ที่พยายามจำกัดการใช้งาน Open-Source ด้วยเหตุผลด้าน “Safety” AI Application ที่มีโอกาสเติบโตในประเทศไทย ได้แก่ Healthcare, Tourism, และ Agriculture

5. ข้อคิดและคำแนะนำจาก Prof. Andrew Ng

AI จะมีบทบาทในการลดและแก้ปัญหา Climate Change ในอนาคต การเขียนโค้ดยังคงมีความสำคัญในอนาคต เพราะเป็นทักษะที่สร้างความเข้าใจใน AI การเรียนเขียนโค้ดง่ายขึ้นในยุค Generative AI เนื่องจากมีโมเดลภาษาที่ช่วยสอนทุกเรื่อง การมี Community สำคัญต่อการยกระดับความรู้ด้าน AI ในประเทศไทย Andrew ปิดท้ายว่าผมอยากให้ทุกคนเรียนรู้และเติบโตให้เก่งกว่าผม

แนะนำ Prof. Andrew Ng

Prof. Andrew Ng เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ Stanford University และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coursera ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Baidu และหัวหน้าฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ของ Google

Prof. Andrew Ng มีผลงานวิจัยที่สำคัญหลายประการในด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาระบบที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมากๆ เขายังเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ฟรี ที่นำเสนอความรู้ด้าน AI และ Machine Learning แก่ผู้เรียนทั่วโลก

นอกจากนี้ Andrew ยังเป็นนักพูดที่มีความสามารถในการอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือในวงการ AI และเทคโนโลยี นอกจากบทบาทในวงการศึกษาและวิจัยแล้ว เขายังมีบทบาทในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้าน AI ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นถึงการนำ AI มาใช้จริงในประเทศไทยและทั่วโลก แนวโน้มการพัฒนาและการใช้งาน AI ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราควรติดตามและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เนื่องจากเทคโนโลยี AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง หวังว่าคำแนะนำและข้อคิดจาก Prof. Andrew Ng จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับ AI และเทคโนโลยีในอนาคต

]]>
1484687
อารมณ์-ค่าธรรมเนียม ต้นทุนลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม https://positioningmag.com/1481143 Thu, 04 Jul 2024 03:47:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481143

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

“The Greatest Enemies of Equity investors are Expenses and Emotions”
“ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของนักลงทุนในหุ้น ก็คือค่าใช้จ่ายและอารมณ์”
วลีของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไอดอลนักลงทุนสายเน้นคุณค่าหรือ VI ของใครหลายคนเคยว่าไว้

คุณเองอาจจะคิดว่าในการลงทุนมีแค่ ไม่ ‘กำไร’ ก็ ‘ขาดทุน’ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังกว่าจะทำให้คุณมีกำไรหรือขาดทุนมีอยู่มากมาย

“ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” คือ 2 สาเหตุหลัก มีส่วนสำคัญให้นักลงทุนทำผลตอบแทนได้แย่ลงกว่าเดิม บางคนอาจขาดทุนหนักจนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้ด้วยซ้ำ

เรามาเริ่มกันที่เรื่องใกล้ตัวอย่างเรื่องอารมณ์กันก่อนนะครับ

อารมณ์ VS การลงทุน

หากคุณลงทุนด้วยตัวเอง ย่อมรู้ว่าการเป็นนักลงทุนคุณภาพต้องใช้ทักษะวิเคราะห์เชิงเหตุและผลสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์เชิงตัวเลข วิเคราะห์เชิงคุณภาพ การคาดการณ์ความน่าจะเป็นในอนาคต และอื่นๆ การจะเป็นนักลงทุนที่ดีจึงต้องติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุนในหุ้นที่เราลงทุนอยู่อย่างใกล้ชิด

ยิ่งใกล้ชิดข้อมูลอาจจะยิ่งได้เปรียบ เมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ในโลกที่ข้อมูลกำลังล้นโลก ไม่ต่างจากขยะจากครัวเรือน เราจะแยกแยะอย่างไรว่า เรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหน ‘ปั่น’

แม้ว่าคนที่มีทักษะในการวิเคราะห์หุ้นมากกว่า ก็จะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนดีกว่า แต่เรื่องทักษะ แค่มีความเพียรก็ไล่ตามกันทันได้ แต่สติเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณมองทะลุตลาดที่ขมุกขมัวไปได้  ซึ่งเราก็ได้เห็นกันแล้วว่าการใช้อารมณ์ในการลงทุน ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีข่าวที่สร้าง Panic ให้นักลงทุนจนตลาดเหวี่ยงขึ้นลงจนยากจะทำใจว่าขาลงจะสิ้นสุดที่เท่าไร

มาดูกันครับนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นตาม “อารมณ์” อย่างเดียวโดยไม่มีการวิเคราะห์ใดๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ข้อผิดพลาดของการลงทุนโดยใช้ “อารมณ์”

  • ซื้อหุ้นตามข่าว ตามเพื่อนบอก โดยไม่เคยรู้จักธุรกิจจริงๆ
  • กระจายความเสี่ยงไม่เป็น ทำให้พอร์ตขาดทุนหนัก
  • หุ้นกำไรนิดหน่อยขาย หุ้นขาดทุนเยอะๆ ยังเก็บไว้
  • หุ้นที่กำไร กำไรนิดเดียว หุ้นที่ขาดทุน ขาดทุนหนักมาก
  • ไม่กล้าลงทุนตอนหุ้นดีๆ ราคาลดลงมา เพราะกลัวราคาจะลงมาอีก
  • รอซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้ว เพราะกลัวจะขึ้นไปอีก
  • และอื่นๆ

ข้อผิดพลาดเหล่านี้เอง ที่ส่งผลให้ผลตอบแทนของนักลงทุนกลุ่มนี้ ได้ผลตอยแทนต่ำกว่าตลาด หรือบางคนอาจขาดทุนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้เลยครับ

ถ้าลองประมาณตัวเลขแบบง่ายๆ ในมุมมองของผมเอง ก็จะขอแบ่งนักลงทุนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 50 คน หรือ 25% ตามทักษะการลงทุน โดยกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่มีทักษะการลงทุนสูงสุด และ กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่ใช้อารมณ์ในการลงทุนมากสุด ผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มจะเป็นดังต่อไปนี้

  • กลุ่มที่ 1 : ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 2 : ทำผลตอบแทนได้ 6% – 12% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 3 : ทำผลตอบแทนได้ 0% – 6% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 4 : ขาดทุน

กลุ่มที่ 1 ที่ใช้ช่วงผลตอบแทนเป็น 12% – 20% เพราะคือ กลุ่มที่ชนะตลาดหุ้นไทยได้ เลยต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 11.87% และให้สูงสุดที่ 20% ต่อปี เทียบเท่ากับสถิติที่ปู่ Warren Buffett ทำได้ครับ (ต้องเป็นคนที่ลงทุนเก่งมากๆ เลยทีเดียว ถึงจะทำได้เท่ากับคุณปู่ครับ)

ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าคุณไม่ได้มีทักษะการลงทุนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การพยายามเข้ามาซื้อขายหุ้นด้วยตนเอง มากๆ คือความเสี่ยงอย่างที่สุด เพราะจะมีคนที่ลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหุ้นอยู่แค่ 25% เท่านั้น อีก 75% ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าการนั่งอยู่เฉยๆ และลงทุนทั้งตลาดเสียอีกครับ

ถัดจากเรื่องอารมณ์ ผมจะพาไปดูเรื่องค่าใช้จ่ายกันบ้างครับ

ค่าใช้จ่าย VS การลงทุน

เพราะในการลงทุนต้องมี “ต้นทุน” แฝงอยู่ด้วยเสมอ นั้นก็คือ ค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทหลักทรัพย์ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 0.25% ของมูลค่าการซื้อหรือขายแต่ละครั้ง

ดังนั้นถ้าในแต่ละปี มีการซื้อขายหุ้น 4 รอบ (8 ครั้ง) ก็จะต้องเสีย ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นราวๆ 2% แล้วครับ ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้แค่ 12% ต่อปี พอหักค่าคอมมิชชั่นตรงนี้ไปแล้ว ผลตอบแทนก็จะเหลือแค่ 10% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งทำให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นทันทีครับ

หลายๆ คนที่มีการเก็งกำไรกันมากๆ อาจจะซื้อขายหุ้นกันปีนึงอย่างต่ำเป็น 10 รอบ คิดเป็นค่าคอมมิชชั่นราวๆ 5% เลยทีเดียว เท่ากับว่าถ้าซื้อขายบ่อยขนาดนี้ ต้องทำผลตอบแทนได้ประมาณ 17% ต่อปี ก่อนหักค่าคอมมิชชั่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสุทธิชนะตลาดหุ้น ที่ 12% ต่อปี

เมื่อรวมเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” เข้าไปด้วย นักลงทุนกลุ่มที่ 1 ที่ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี จำนวน 50 คนนั้น หักกับค่าคอมมิชชั่นเหล่านี้ไปแล้ว ก็จะเหลือแค่ประมาณ 20 คน ที่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นครับ

ทีนี้คุณลองนึกภาพตามผมนะครับ ในขณะที่เรากำลังเก็งกำไร เราต้องลงทุนอยู่บน  ‘อารมณ์’ และ ‘ค่าใช้จ่าย’ ยิ่งซื้อขายบ่อย ต้นทุนเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วยเสมอ

สุดท้ายแล้วนักลงทุนที่เลือกวิถีการเก็งกำไรก็จะยิ่งมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนในที่สุดก็ขาดทุน  เทียบกับ การถือครองหุ้นอยู่เฉยๆ ตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ยังจะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าคนที่พยายามจะซื้อขายหุ้นกันไปมา

ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยครับ เพราะผู้จัดการกองทุนเอง ก็ไม่สามารถหลีกหนีหลักการเรื่องอารมณ์ และค่าใช้จ่ายได้ครับ หากนักลงทุนสายเก็งกำไรมีผู้จัดการกองทุนที่พยายามแข่งขันกันทำผลตอบแทน จึงต้องซื้อๆ ขายๆ หุ้นกันเอง สุดท้ายแล้ว สถิติก็จะออกมาแบบเดียวกันครับ หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกส่วนนึงครับ

แล้วยิ่งกองทุนมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ยิ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่แตกต่างกันด้วยครับ

ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ

สมมติว่าคุณลงทุนเริ่มต้น 10,000 บาท ผ่านไปประมาณ 50 ปี เทียบกัน 2 พอร์ตที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่างกัน พอร์ตแรกหากเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิหักค่าธรรมเนียม 0.5% ต่อปี มูลค่าของพอร์ตสุทธิจะอยู่ที่ 1,859,487.30 บาท แต่มูลค่าของพอร์ตที่ 2 ที่ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.5% ต่อปีจะมีมูลค่าสุทธิของพอร์ตอยู่ที่ 1,165,333.93 บาท

และยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมก็จะมีผลกับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว​ เชื่อว่าคุณคงกำลังฝึกที่จะตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ผมแนะนำว่าให้ตั้งกฏเหล็กให้กับตัวเอง ที่นิยมใช้กันเช่นการตั้งตัวเลขไว้ที่ 10% หากราคาหุ้นขึ้นถึงระดับดังกล่าว ก็ให้ขายออกเสีย แล้วไม่ต้องไปสนใจราคาหลังจากนั้นครับ หรือหากยังทำไม่ได้ก็ให้ AI ลงทุนให้ครับ เพราะ AI ไร้อารมณ์​เสมอครับ ให้ AI คอยเลือกธุรกิจที่ดีและปล่อยให้เงินลงทุนเติบโตไปตามการเติบโตของธุรกิจและปันผล มีการกระจายความเสี่ยง และการปรับพอร์ตอย่างเป็นระบบตามหลักการให้เรียบร้อย สะดวกสบายกว่าเยอะครับ

ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น หากคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แทนการเก็งกำไร ก็อาจจะลดต้นทุนส่วนนี้ไปได้ หรือหากเป็นกองทุนที่มีค่าบริหารจัดการ คุณควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำไว้ก่อน เช่นกองทุนดัชนี หรือลงทุนกับ Jitta Wealth เองก็คิดค่าบริหารจัดการที่ต่ำมากเพียง 0.5% เท่านั้นครับ

การลงทุนในตลาดหุ้นสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ อยู่แล้ว ขอเพียงแค่อดทนกับความผันผวนระยะสั้นและถือครองการลงทุนไปได้เรื่อย ในทางกลับกันการเก็งกำไรในตลาดหุ้น เป็นเกมศูนย์ (Zero Sum Game) ​​ถ้ามีคนนึงขายหุ้น ก็ต้องมีคนนึงซื้อหุ้น และเมื่อมีคนนึงได้กำไร อีกคนก็ต้องขาดทุนเสมอครับ

ดังนั้นหากคุณสามารถตัด “ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” ออกไปได้จากการลงทุนได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำผล    ตอบแทนระยะยาวได้เหนือกว่านักลงทุนคนอื่นๆ ไปก็มีสูงมากขึ้นเท่านั้นครับ

]]>
1481143
ให้ AI นำทางบนถนนสายการลงทุน https://positioningmag.com/1477404 Tue, 11 Jun 2024 03:25:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477404

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

กระแสการใช้ AI ในทุกวันนี้กระเทือนไปหลายอุตสาหกรรม มนุษย์ทำงานเองก็ยังรู้สึกหวั่นๆ เมื่อไรจะถูก AI มาแทนที่ หลายคนอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ผมในฐานะที่ใช้ AI ทำงานในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้ามาตลอด 12 ปี อยากแนะนำให้ทุกท่านใจเย็น มอง AI อย่างสร้างสรร และใช้ประโยชน์จาก AI ให้ได้มากที่สุด และทุกวันนี้เทคโนโลยีก็พัฒนา AI ให้พวกเราทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จริงมากขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบกับ AI ในหัวข้อต่างๆ ที่เราสนใจ หรือจะใช้วาดรูป สร้างคลิปวิดีโอทำพรีเซนเทชั่นก็สุดล้ำ และที่ง่ายคือทุกอย่างทำได้บนมือถือของเราเองครับ

ผมกล้าพูดได้ว่า ทุกวันนี้ AI ฉลาดขึ้นมาก คำตอบที่เรามักจะได้กลับมาจาก AI แชตบอต มีความลึกขึ้นมาก ผมได้ทดลองตั้งคำถามกับ Copilot ที่ทาง​ไมโครซอฟท์เพิ่ง เปิดตัวแชตบอต​ AI สำหรับทำงานด้านการเงินโดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ ผมลองตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนแบบ​ DCA ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนนิยมใช้กันด้วยการทยอยๆ ซื้อสินทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยจำนวนเงินเท่ากัน เป็นระยะๆ ข้อดีก็คือ ช่วยสร้างวินัยในการออมและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้นทำให้ไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด

ผมได้ทดลองพิมพ์คำถามเข้าไปว่า ‘DCA ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนหุ้นจริงๆ หรอ?’

และนี่คือคำตอบที่ผมได้รับครับ

Copilot :

การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA/ เป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในการลงทุนหุ้นโดยการทยอยซื้อสินทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในช่วงเวลาที่กำหนด

1. ข้อดีของ DCA คือช่วยสร้างวินัยในการออมและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้น ทำให้นักลงทุนไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด

2. อย่างไรก็ตาม, DCA อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาการลงทุน, ความสามารถในการรับความสี่ยง, และเป้าหมายการลงทุนของแต่ละบุคคล

3. สำหรับบางคนที่ต้องการผลตอบแทนสูงสุด และสามารถรับความเสี่ยงได้, การลงทุนแบบเลือกจังหวะ (timing the market) อาจเหมาะสมกว่า แต่สำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง และมีวินัยในการออม, DCA อาจเป็นทางเลือกที่ดี

ในท้ายที่สุด, การเลือกวิธีการลงทุนควรพิจารณาจากสถานการณ์ส่วนบุคคลและคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่มีความรู้ และประสบการณ์เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

เป็นอย่างไรครับคำตอบที่ได้ ค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าหากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงแล้ว DCA คือคำตอบที่ดี

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการใช้ AI ที่รู้เรื่องการเงิน รู้จักและเข้าในเรื่องของการ DCA ส่วนคุณในฐานะนักลงทุนจำเป็นต้องรู้ตัวเองว่า คุณเป็นนักลงทุนแบบไหน นี่คือสิ่งที่ AI ยังตอบไม่ได้ เพราะยังเรีนนรู้ไปไม่ถึงจิตใจของคุณในเวลานี้ แต่อนาคตไม่แน่นะครับ หาก AI ได้เห็นพฤติกรรมการลงทุนของคุณบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้เพราะในโลกการลงทุน ผมได้มีการใช้ AI กับการลงทุนมาเป็นเวลานานมากแล้วครับกองทุนระดับโลกหลายแห่งก็ได้นำ AI มาใช้บริหารพอร์ตลงทุน ไม่ว่าจะเป็น JPMorgan Chase & Co, Morgan Stanley, Vanguard Group, Deutsche Bank AG, ING Groep NV, Fidelity และ Wealthfront ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 บริษัทจัดการลงทุนที่นำ AI มาใช้บริหารจัดการพอร์ตลงทุนมากที่สุดนั่นเอง

และปัจจุบัน 70% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดสหรัฐฯ มาจาก AI ทั้งการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์และมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจลงทุน และการใช้ AI ทำการซื้อขายหุ้นเองแบบเบ็ดเสร็จ และนับวัน AI จะฉลาดมากขึ้นจากข้อมูลที่เราป้อนเข้าไป บวกกับการเรียนรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลานั้น

ผมขอยกตัวอย่าง Jitta Intel ซึ่งเป็น AI ของ Jitta ทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อตั้งจิตตะเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ทำการประมวลผลข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวันเพื่อวิเคราะห์หุ้นทั่วโลกกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เพื่อหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing: VI) ที่ใช้ศาสตร์ของ ‘Quant VI’ ช่วยคัดหุ้นดีราคาถูก สร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว

และต่อมาก็ได้เพิ่มศักยภาพของ AI ด้วยการนำมาพัฒนาเทคโนโลยีการลงทุนอัตโนมัติ (Automated Investing) ให้กับลูกค้า Jitta Wealth ช่วยในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนส่วนบุคคลให้กับนักลงทุนกว่า 68,000 พอร์ต ในทุกๆ มิติการลงทุน ​ทั้งการบริหารความเสี่ยง การจัดสินทรัพย์ให้กระจายทั่วโลก รวมถึงการปรับพอร์ตรายบุคคลอัตโนมัติอีกด้วย

ข้อดีอย่างนึงของการบริหารพอร์ตด้วย AI นอกจากการประมวลผลจาก Big Data ในระยะเวลาอันสั้นแล้ว สิ่งที่ AI เหนือกว่ามนุษย์ชนิดที่เลียนแบบไม่ได้เลยคือเรื่องของ ‘อารมณ์’ ครับ เพราะ AI ไม่มีอารมรณ์ ทุกครั้งที่ตลาดได้รับข่าวบางอย่างจนเกิด Panic นักลงทุนมักเทขายหุ้นออกมาเพราะความกลัว โดยไม่ได้สนใจว่านั่นคือหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ​และนั่นก็จะเป็นโอกาสสำหรับ AI โดยเฉพาะ AI ของ Jitta Wealth ที่ยังถูกตั้งโปรแกรมให้ค้นหา ‘หุ้นดีราคาถูก’ เพื่อเข้าลงทุน AI ไม่ได้รู้สึกกลัวไปตามภาวะตลาดนะครับ

และสิ่งนึงที่พิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของ AI คือเรื่องของผลตอบแทนที่ AI สามารถบริหารพอร์ตได้ดีกว่าหลายๆ กองทุนที่ใช้คนในการบริหาร เช่น Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทน 140.27% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม

AI ที่ผ่านการเรียนรู้และบททดสอบในแต่ละวิกฤติทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง​มันพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ผมเองในฐานะผู้ใช้ AI ก็ต้องไม่หยุดนิ่งเช่นกัน การเรียนรู้ระหว่างผมและ AI ดำเนินไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้อย่าง AI Predictive Analytics ที่เป็นการนำฐานข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ในทุกมิติ สร้างโมเดลการลงทุน เพื่อค้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น

หากถาม AI ว่าในเวลานี้ ตลาดหุ้นใดที่กำลังน่าสนใจ Jitta Intel ซึ่งเป็น AI ที่ Jitta ฝึกฝนมาตลอด 12 ปี จะประมวลผลจากหุ้นทั่วโลก บวกกับพฤติกรรมการลงทุนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในมิติต่างๆ และยังได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา เราพบว่าอัตราส่วนหุ้นถูกแพงในตลาดต่างๆ ทั่วโลก มีนัยต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว ซึ่งคำถตอบที่ Jitta Intel พบในเวลานี้ ชี้ไปที่ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง เป็นตลาดที่มีจำนวนหุ้นดีราคาถูกมากที่สุด หรือมีมากกว่าหุ้นดีที่ราคาแพง จึงบอกได้ว่าเป็นตลาดที่น่าลงทุนและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุด

นี่คือความล้ำหน้าของ AI ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ซื้อขายตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น แต่ยังสามารถนำข้อมูลในอดีตมาคาดการณ์อนาคตให้เราลงทุนได้เสียด้วย แน่นอนครับ AI เพื่อการลงทุนยังได้รับการพัฒนาต่อไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินและการลงทุนในมิติต่างๆ ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ตรงตามรูปแบบการลงทุนเฉพาะบุคคล ความเสี่ยงและ Lifestyle ของแต่ละบุคคล ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและออกแบบได้เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น

ทุกวันนี้คนที่ไม่เคยออกไปลงทุนต่างประเทศได้ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่ไม่ต้องสูงมากเหมือนในอดีตแล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ยังพบว่ามีคนอีกกลุ่มที่สนใจลงทุน แต่ยังติดอุปสรรคหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของวินัยทางการเงินที่ไม่สามารถเก็บออมจนมีเงินเริ่มต้นเพียงพอที่จะลงทุนได้ และรู้สึกว่าการลงทุนเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงได้ ผมถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะเรื่องของการลงทุนเป็นพื้นฐานสำคัญหนึ่งในการใช้ชีวิต และเป็นพื้นฐานที่จะพาไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่ง AI ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาช่วยออกแบบวิธีการเก็บออมให้เป็นเรื่องง่าย ใครจะรู้เงินเล็กๆ น้อยๆ ของคุณอาจสร้างมูลค่ามหาศาลได้ในอีกไม่นานนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ ให้คุณได้เข้าถึงการลงทุนด้วยวิธีที่คุณเอง อาจจะคาดไม่ถึงก็ได้นะครับ

แล้วคุณจะมีความสุขเมื่อเห็นเม็ดเงินที่งอกเงยและผลตอบแทนเติบโตสวยงามได้ด้วยเทคโนโลยี AI

]]>
1477404
เคล็ดลับปรับแพลตฟอร์มให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละประเภท https://positioningmag.com/1474681 Thu, 23 May 2024 03:51:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474681

บทความโดย ณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

การปรับ User Experience (UX) และ User Interface (UI) ให้เหมาะสมกับบุคคล ไม่ใช่เพียงคำฮิตในโลกดิจิทัลเท่านั้น แต่เป็นแรงผลักดันสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ จากสถิติพบว่ามีผู้คนถึง 80% ที่มีแนวโน้มจะทำธุรกิจกับบริษัทที่ให้การปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization)* (*ที่มา การศึกษา Accenture Interactive, 2020*) 

การแนะนำผู้ใช้ตามผู้ใช้แต่ละประเภท (Contextual Onboarding) คือการสร้างประสบการณ์การใช้ Platform ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ในแต่ละช่วงการใช้งาน มาดูกันว่าธุรกิจจะนำวิธีนี้ไปใช้ได้อย่างไรกันค่ะ พร้อมตัวอย่างจากบริษัทจริง ๆ มาด้วย

กรอบแนวคิดการแนะนำผู้ใช้ตามบริบท (Contextual Onboarding Framework)

1. ผู้ใช้ใหม่ 

สถานะ มีความสับสน 

เป้าหมาย ช่วยให้พวกเขาเริ่มต้นใช้งานได้ 

กลยุทธ์ จัด Tutorial แนะนำที่ง่าย เพื่อแนะนำฟีเจอร์พื้นฐานต่าง ๆ 

ตัวอย่าง เมื่อผู้ใช้ใหม่สมัครใช้งาน Netflix พวกเขาจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีสร้างโปรไฟล์ เลือกหมวดหมู่รายการโปรด และใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างเช่นการสร้างรายการรับชม (Watchlist) การแนะนำนี้ทำให้ผู้ใช้ใหม่สามารถค้นพบความบันเทิงที่ตรงกับความสนใจได้ทันที

2. ผู้ใช้ที่ไม่ค่อยเข้ามาใช้งาน

สถานะ สนใจเล็กน้อย คิดว่าแพลตฟอร์มมีประโยชน์ แต่ยังไม่มีความสำคัญมากพอในการเข้ามาใช้งานอย่างสม่ำเสมอ

เป้าหมาย ช่วยให้พวกเขาเข้าใจฟีเจอร์พื้นฐานที่เหมาะกับเค้า (รู้ได้อย่างไรหรอคะ ก็ถามทำความรู้จักกับเค้าในข้อ 1 ไงล่ะ

กลยุทธ์ เน้นฟีเจอร์สำคัญสำหรับผู้ใช้และค่อย ๆ ให้รางวัลหรือคำชม เพื่อช่วยให้เห็นสิ่งที่เราต้องการให้เค้าเห็น

ตัวอย่าง Shopee ใช้การตลาดผ่านอีเมลและการแจ้งเตือนในแอปเพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน โดยการส่งคูปองส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ดีล Flash Sale หรือโค้ดส่งฟรี เพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาช้อปปิ้งบนแพลต ฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Top Picks For You” ที่จะแนะนำสินค้าที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ช่วยให้พวกเขาค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้า

3. ผู้ใช้ที่มีการใช้งานสูง 

สถานะ ต้องการทำอะไรเพิ่มเติม Cross Sell หรือ Up Sell

เป้าหมาย แนะนำฟีเจอร์ขั้นสูง และสร้างโปรแกรมให้ผู้ใช้ชวนคนอื่นมาใช้งาน

กลยุทธ์ แนะนำฟีเจอร์ขั้นสูงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และให้รางวัลจาก Referral Program

ตัวอย่าง BEES’ Benefits โดยบัซซี่บีส์เอง เป็นโปรแกรมที่ให้รางวัลแก่พนักงาน ผ่านระบบการสะสมแต้ม ผู้ใช้ที่มีการใช้งานสูงสามารถสะสมแต้มผ่านการเข้าร่วมกิจกรรม การบรรลุเป้าหมายที่กำหนด หรือการแนะนำเพื่อนร่วมงานเข้าร่วมแพลตฟอร์ม แต้มสะสมนี้สามารถแลกเป็นของรางวัลได้หลากหลาย ตั้งแต่บัตรกำนัล เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการเปลี่ยนสิทธิประโยชน์แบบดั้งเดิมอย่างประกันสุขภาพเป็นรางวัลอื่นที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เงินสดร่วมกับคะแนนเพื่อแลกของรางวัลในกรณีที่แต้มไม่พอได้อีกด้วย ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วมมากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่ดี และยังเพิ่มความภักดีต่อบริษัท

4. ผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญและเป็น Key Influencer

สถานะ แฟนพันธุ์แท้

เป้าหมาย ช่วยให้พวกเขาโปรโมตแพลตฟอร์มด้วยข้อเสนอการแนะนำพิเศษ 

กลยุทธ์ จ้างหรือให้ใช้แพลตฟอร์มฟรี แล้วให้โพสต์ลงสื่อโซเชียล

ตัวอย่าง Elon Musk กับ Twitter Elon Musk ใช้บัญชี Twitter ส่วนตัวของเขาเพื่อโปรโมตและสื่อสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแนวคิดของบริษัทต่าง ๆ ของเขา ตั้งแต่ Tesla SpaceX ไปจนถึง The Boring Company และ Starlink การใช้ Twitter อย่างต่อเนื่องของเขาทำให้มีผู้ติดตามหลายล้านคน เขาใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างกระแสและกระตุ้นความสนใจในผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ส่งผลให้แบรนด์ของเขามีฐานแฟนพันธุ์แท้ที่เหนียวแน่นและกลายเป็น  Key Influencer ที่สำคัญของ Twitter

5. ผู้ที่กำลังตัดสินใจ

สถานะ พยายามทำความเข้าใจ และยังไม่ตัดสินใจใช้

เป้าหมาย สร้างโปรแกรมทางการตลาด ด้าน Awareness และ Promotion 

กลยุทธ์ ทุกวิดีโอที่ผู้ใช้อัปโหลดลงบน TikTok จะถูกปิดท้ายด้วยโลโก้และชื่อของ TikTok พร้อมกับเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้ใช้โพสต์คลิปเหล่านี้บนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง Facebook, Instagram, Twitter หรือ YouTube ซึ่งช่วยสร้างการรับรู้ (Awareness) เกี่ยวกับแพลตฟอร์มและเชิญชวนให้ผู้คนมาเข้าร่วม ด้วยการใช้กลยุทธ์นี้ TikTok สามารถขยายฐานผู้ใช้และเพิ่มการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มของตัวเองได้

วิธีการใช้ Contextual Onboarding ให้ได้ผลดี

การแบ่งกลุ่มแบ่งฐานผู้ใช้งานออกเป็นกลุ่มที่มีความหมายโดยอิงจากพฤติกรรม ข้อมูลประชากร หรือการใช้งานผลิตภัณฑ์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีระบบอัตโนมัติ ที่ใช้เครื่องมือการตลาด Marketing Automation เพื่อส่งข้อความแนะนำผู้ใช้ที่ปรับในแต่ละพฤติกรรมให้เหมาะสมได้ โดยวางไว้ในระดับกลยุทธ์ด้านแพลตฟอร์ม มีการรวบรวมความคิดเห็นผู้ใช้งาน อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ User Experience ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อวัดความสำเร็จของอัตรา Active User (อัตราการใช้งาน) Chern Rate (อัตราการจากไป) และคะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้ 

การแนะนำผู้ใช้ที่เหมาะแต่ละกลุ่มพฤติกรรม ช่วยให้แพลตฟอร์มสร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ในทุกช่วงของเส้นทางการใช้งาน ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ความภักดี และสุดท้ายคือความสำเร็จของธุรกิจ 

คุณพร้อมที่จะปรับกลยุทธ์การแนะนำผู้ใช้ของคุณหรือยัง?

]]>
1474681
3 ปี ปั้นล้านแรกให้แตกได้ ด้วยขุมพลังแห่งผลตอบแทนทบต้น https://positioningmag.com/1471554 Tue, 30 Apr 2024 04:05:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471554

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาส Live Investor Exclusive ให้ลูกค้าของ Jitta Wealth ฟัง เพื่ออัปเดตโอกาสการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI ในปี 2567 ที่พวกเรายังมองว่ามีอยู่เสมอ เพราะที่ผ่านมาผมมักได้รับคำถามมาเสมอว่าตลาดหุ้นทั่วโลกตอนนี้มีตลาดไหนที่ดี ที่ไหนน่าลงทุนอยู่บ้าง ผมขอสรุปไว้สั้นๆ ว่าในเวลานี้โอกาสลงทุนของเหล่า VI ยังมีหลายตลาดที่น่าสนใจ เช่น จีนหรือฮ่องกง

แต่วันนี้ผมขออนุญาตไม่ขยายความมากนะครับ หากคุณสนใจ สามารถไปย้อนดู Live ในช่องทาง Facebook และ Youtube ของ Jitta Wealth ดูได้ เพราะสิ่งที่ผมตั้งใจจะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ไม่ใช่เนื้อหาส่วนนี้ครับ

เรื่องที่ผมอยากจะแชร์วันนี้ คือการอยากหยิบยกประเด็นตอนหนึ่งที่ผมได้พูดไปในวันนั้นขึ้นมา ซึ่งผมว่าน่าจะตรงใจใครหลายๆ คนอยู่ นั่นก็คือการสร้างล้านแรกให้ได้ภายใน 3 ปี

ใช่แล้วครับวันนี้ผมมีเคล็ด(ไม่)ลับ ปั้นพอร์ตเงินล้าน ที่พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง ในเวลาแค่ 3 ปี!

คุณอาจจะบอกว่าผมพูดเกินจริง!

ก็อาจจะใช่ครับ แต่เชื่อสิครับว่าคุณทำได้ เพราะนี่คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่คุณเองก็สามารถไปถึงได้…จะเป็นยังไงมาดูกันได้เลยครับ

Forex trade market concept with digital indicators, graphs, financial diagram at night Kuala Lumpur city background. Double exposure

คุณคงคุ้นเคยกับชื่อของ Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก แต่​สิ่งหนึ่งที่น้อยคนจะรู้คือ Einstein ได้ยก ‘ผลตอบแทนทบต้น’ ​เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกครับ

แล้วเราจะใช้สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกนี้มาสร้างล้านแรกได้อย่างไรหรอครับ ตามผมมาเลยครับ วันนี้ผมมีตัวอย่างที่จะทำให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น

เริ่มด้วยพอร์ตตัวอย่างของผมนั่นเอง!

พอร์ตที่ว่าก็คือ Global ETF ที่เป็นนโยบายการลงทุนแบบเน้นกระจายความเสี่ยงที่จัดพอร์ตลงทุนในหุ้นคุณภาพดีทั่วโลกผ่าน ETF ชั้นนำให้แบบอัตโนมัติ ​เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามตลาด ไม่อยากมานั่งเลือกประเทศ เลือกตลาดหุ้นให้วุ่นวาย แต่ต้องการโอกาสการลงทุนแบบ VI

ต้องออกตัวก่อนว่าพอร์ตนี้ผมตั้งใจที่จะเก็บไว้เป็นเงินทุนให้ลูก ก็จะค่อยๆ เก็บสะสมไปยาวๆ โดยวิธีการลงทุนใน Global ETF จนได้ล้านใน 3 ปีนั้น ผมเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท และ DCA อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนจากแรกๆ 10,000 บาทต่อเดือน และต่อมาก็ขยับเพิ่มเป็น 20,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลาลงทุนตั้งแต่ 31 สิงหาคม 2563 – 3 เมษายน 2567

ระหว่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร​ แค่ปล่อยให้มหัศจรรย์ผลตอบแทนทบต้นทำงานต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ครบ 1 ล้านบาท หรือมีผลตอบแทนรวม +53.83% (Money-weighted Return)

นี่แหละครับพลังแห่งการ DCA ที่สร้าง ‘ผลตอบแทนทบต้น’ ที่คุณเองก็สามารถปั้นเงินล้านได้เหมือนกันครับ

คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นที่ 100,000 บาทเหมือนผม สามารถลงทุนแบบเบาๆ ได้ครับ แต่นั่นก็ต้องยอมแลกกับระยะเวลา เพราะจำนวนเงินที่จะ DCA เข้าพอร์ตในแต่ละเดือนที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลต่อระยะเวลาพิชิตเป้าหมาย ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีการปั้นเงินล้านแรกมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ รายได้ต่อเดือน สไตล์การ DCA หรือระยะเวลาที่อยากพิชิตเป้าหมายของแต่ละคน

ผมอาจจะเป็นตัวอย่างที่ฮาร์ดคอร์เกินไป คุณอย่าเพิ่งถอดใจครับ เพราะผมยังมีตัวอย่างมาให้คุณได้ลองพิจารณาและเลือกว่า สายไหนที่เหมาะกับคุณ โดยผมได้ตั้งสมมติฐานให้ทุกคนเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทเท่ากันใน Global ETF แผนเติบโตที่มีผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 8% ต่อปี แล้ว DCA ทุกๆ เดือนด้วยจำนวนเงินที่ต่างกัน และหักค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 0.5% เรียบร้อยแล้ว

Photo : Shutterstock

ตัวอย่างที่ 1 เงินล้านแรกสำหรับสายชิล

  • นางชิลใจ สายชิลๆ เน้นค่อยๆ DCA เดือนละ 2,000 บาท ใช้ระยะเวลาในการปั้นพอร์ตล้านแรกที่ 19 ปี

ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 20 ตอนอายุ 39 ก็จะมีเงินล้านแรกพอดี และพอมีล้านแรกแล้วล้านต่อไปก็ไม่ยากแล้ว

ตัวอย่างนี้เหมาะกับคนค่อยๆ เก็บ หรือมีภาระค่าใช้จ่าย เป็นการลงทุนแบบชิลๆ อาศัยวินัยในการลงทุนปั้นพอร์ตเงินล้าน

ตัวอย่างที่ 2 เงินล้านแรกสำหรับสายสบายใจ

  • นางสบายใจ DCA เดือนละ 3,000 บาท เพิ่มเงิน DCA มากกว่านางชิลใจมาแค่ 1,000 บาทเท่านั้น แต่ย่นระยะเวลาปั้นเงินล้านได้ถึง 4 ปี รวมใช้เวลาแค่ 15 ปี

ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 20 ปี นางสบายใจจะมีเงินล้านแรกตั้งแต่อายุ 35 ปีเท่านั้น ฉะนั้น หากอยากเร่งฝีเท้าขึ้นสักหน่อย สำหรับสายสบายใจตัวอย่างนี้เหมาะกับคนค่อยๆ เก็บ หรือมีภาระค่าใช้จ่าย แต่ต้องการลงทุนมากกว่านางชิลใจเล็กน้อย ก็สามารถเร่งความเร็วในการปั้นเงินล้านแรกได้แล้ว​

ตัวอย่างที่ 3 เงินล้านแรกสำหรับสายมุ่งมั่น

  • นายวินัย มุ่งมั่นในการมีเงินล้านให้ได้ช่วงอายุ 30 ปี จึงเลือก DCA เดือนละ 5,000 บาท

ถ้านายวินัยเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุ 20 ปี ความฝันของนายวินัยก็จะเป็นจริงได้ตอนอายุ 31 ปี หรือใช้เวลาปั้นพอร์ตเงินล้านเพียง 11 ปีเท่านั้น

สำหรับนักลงทุนที่อยากเปลี่ยนจากเดินเร็ว เป็นวิ่งเร็ว ก็ดูนายวินัยเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ แต่ต้องจัดสรรตัวเองหน่อยนะครับ เพราะตัวอย่างนี้เหมาะกับคนที่อาจจะไม่ค่อยมีภาระค่าใช้จ่าย หรือมีรายได้หลายทาง ทำให้มีเงินเหลือเก็บต่อเดือนเยอะกว่าคนอื่นๆ สักหน่อย ความมุ่งมั่นในช่วง 10 ปีนิดๆ นี้ก็สามารถพิชิตเงินล้านได้

ตัวอย่างที่ 4 เงินล้านแรกสำหรับสายเร่งรัด

  • นายเติบโต ที่เริ่มต้นลงทุนตอนอายุ 45 ปี และอยากมีเงินล้านก่อนเกษียณ จึงเลือก DCA เดือนละ 14,000 บาท
Photo : Shutterstock

สำหรับคนที่อยากเร่งเวลาปั้นเงินล้านให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องดูตัวอย่างจากนายเติบโตที่จะมีเงินล้านใน 5 ปี และเงินล้านนั้นก็จะเติบโตได้อีกเยอะในช่วง 10 ปีก่อนเกษียณ

ตัวอย่างของนายเติบโตใช้ได้กับคนที่อยากเร่งให้ตัวเองมีเงินล้านเร็วๆ ภายใน 5 ปี ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ เยอะ หรือมีรายได้หลายทาง มีรายได้เพียงพอให้ DCA เดือนละ 14,000 บาท

หรือคนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนตอนอายุเยอะขึ้นมาหน่อย ในช่วงที่เงินเดือนมากกว่าตอนทำงานแรกๆ แล้วอยากเร่งให้พอร์ตเติบโตก่อนเกษียณ

นี่คือตัวอย่างการปั้นเงินล้านแรกง่ายๆ สบายใจ แต่ไม่ว่าจะเป็น 19 ปี 15 ปี 11 ปี หรือ 5 ปี หรือแม้กระทั่งพอร์ตของผมที่ใช้เวลา 3 ปี ตัวอย่างเหล่านี้มาจากผลตอบแทนคาดหวังของ Global ETF แผนเติบโตที่ 8%

ซึ่งในความเป็นจริงผลตอบแทนในแต่ละปีก็อาจจะสูงกว่า 8% ก็ได้ เช่นในปี 2566 ที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยของ Global ETF แผนเติบโตก็สูงถึง 15.37% เลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้ คุณสามารถปรับเปลี่ยนจำนวนเงิน DCA ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือตามภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงก็ได้ ก็จะย่นระยะเวลาปั้นเงินล้านลงได้เช่นกัน และถ้าคุณถึงล้านแล้วยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ลงทุนต่อจากหลักล้าน ก็กลายเป็นสิบล้านได้เช่นกันครับ ด้วยพลังของผลตอบแทนทบต้นที่ช่วยให้เงินของคุณเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

ที่สำคัญมากกว่าผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ยังมีเรื่องของการกระจายความเสี่ยง จัดสรรสินทรัพย์อย่างดี ทำให้พอร์ตของคุณไม่ผันผวนมากเกินไป เป็นการเก็บเงินล้านแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป และสบายใจ

ให้โลกรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร…มาจากไหน ก็ปั้นเงินล้านแบบ VI ระดับโลกได้ ด้วยหลักการที่ดี และวินัยของเราเอง!

ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถพิชิตเป้าหมายได้แค่เริ่มเลย และมีวินัย ที่เหลือก็ปล่อยให้สิ่งมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้นช่วยปั้นพอร์ตของคุณให้โต​ ส่วนคุณก็แค่คอยดูเงินพอกพูนไปสู่เป้าหมายอย่างสบายใจ
มาปั้นพอร์ตเงินล้านแล้วเติบโตไปด้วยกันนะครับ

]]>
1471554
วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ยกระดับการตลาดให้ล้ำไปกับ Generative AI https://positioningmag.com/1469949 Thu, 11 Apr 2024 10:00:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469949

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

การเป็นนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ต้องการแค่ความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้วย ซึ่งอาจเป็นงานที่ท้าทาย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะพิ้งค์มีเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

สมมติว่าเราเป็นนักการตลาดของบริษัทที่มีคู่แข่งคือ NVIDIA เราสามารถใช้เครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน โดยเริ่มจากการอัปโหลดไฟล์เอกสารเข้าสู่ระบบ แล้วให้ AI ทำการสรุปข้อมูล จัดแยกหมวดหมู่ และแปลงเป็นกราฟแสดงภาพรวม

ในที่นี้เราจะใช้ ChatGPT 4 ในการทดสอบ เพราะมันคิดเลขแม่นสุดตอนนี้ พิ้งค์ได้ทดลองหลายแบบตั้งแต่อัปโหลดไฟล์ Excel เข้าไปใน ChatGPT มันทำไม่ได้ จากนั้นก็ลองเปลี่ยนไฟล์นั้นเป็น .CSV Comma Limited ก็ยังให้ค่าเอ่อๆ ออกมา หลังสุดก็เลยก๊อบปี้ แล้วก็วางลงไปตรงๆ เลย ปรากฏว่ามันอ่านได้แฮะ และนี่คือข้อสรุปของมัน

ขั้นแรกก็บอกมันก่อนว่าให้เอาข้อมูลทั้งหมด สรุปลงเป็นตารางง่ายๆ ให้ดูหน่อย โดยใช้ Prompt “Act as FP&A expert, analyze enclosed Excel data and present financial key performance indicator for CEO in tabula format” ก็ออกมาได้เป็นข้อมูลแบบนี้

ลองตรวจสอบตัวเลขดูแล้วก็ปรากฏว่า ตัวเลขถูกต้องต่างกันนิดหน่อย ต่างกันส่วนจุดทศนิยม เชื่อถือได้เนื่องจากมาวิเคราะห์ภาพรวม ก็เลยถามมันต่อไปว่าให้สรุปตัวชี้วัดที่สำคัญจากมุมมองตลาด โดยใช้คำสั่ง Prompt “Generate key financial ratio from data in Thai” ChatGPT ก็สรุปมาให้ดังต่อไปนี้

ทีนี้ก็เลยส่งคำสั่งมันบอกว่าให้เอาตัวเลขจริงๆ จากงบการเงิน มาใส่เป็นอัตราส่วนเป็นตารางให้หน่อย โดยใช้ Prompt คือ “add actual number of NVIDIA in tabula format” นี่คือผลลัพธ์ที่ได้ คือ

ตรวจตัวเลขแล้ว ถูกต้อง สุดท้ายก่อนที่เราจะไปคุยกับเจ้านาย เราก็บอกให้ ChatGPT มันทำการวิเคราะห์ กำไรขาดทุน ของ NVIDIA เลย โดยใช้ Prompt “from NVIDIA financial data and ratio above, analyze data based on marketing perspective” ผลที่ได้เป็นดังนี้

ด้วยวิธีนี้ นักการตลาดจะสามารถเข้าใจสถานะทางการเงินและประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลในการวางกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยถ้าพิ้งค์นำมาใช้งาน ก็จะนำข้อมูลของบริษัทเราเองมาเปรียบเทียบ แล้ววิเคราะห์ออกมาดูว่า สมมติว่าถ้าเทียบกับคู่แข่งคือ NVIDIA แล้ว บริษัทเราจะมีฐานะทางการเงินโดยเปรียบเทียบกันจะเป็นอย่างไร โดยใช้ ChatGPT ช่วยแบบตัวอย่างข้างต้น

สรุปแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมการตลาดในปัจจุบัน คือการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งช่วยให้นักการตลาดมีเวลามากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์สร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ ไปลองเล่นกันดูนะคะ
]]>
1469949