Columnist – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 25 Sep 2025 05:04:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ประเทศไทยไม่ได้ถูกอีกต่อไปแล้ว https://positioningmag.com/1539392 Wed, 24 Sep 2025 11:54:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1539392

ประเทศไทยเคยเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ไม่ใช่เพียงเพราะวัฒนธรรม อาหาร หรือชายหาดที่สวยงาม แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนเลือกมาที่นี่คือ ความคุ้มค่าในราคาที่เอื้อมถึงได้ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น “Value for Money” ที่ใครๆ ก็อยากมาเยือน

แต่วันนี้ ภาพนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

จริงๆ แล้วไม่เพียงนักท่องเที่ยวต่างชาติ คนไทยเองก็เริ่มรู้สึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้นทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยแรงกดดัน

ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็เริ่มสังเกตว่า ประเทศไทยไม่ได้ถูกอย่างที่เคยเป็น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ราคาห้องพัก ค่าเดินทาง และอาหารเริ่มสูงกว่าเมืองใหญ่ในหลายประเทศ เช่น เซินเจิ้น และอีกหลายเมืองในจีน หรือแม้กระทั่งบางพื้นที่ใน ญี่ปุ่น ที่เคยถูกมองว่ามีค่าใช้จ่ายสูง แต่ปัจจุบันคนไทยกลับเริ่มมองว่าท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้น “ถูก”

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นสัญญาณสำคัญของการสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะนักท่องเที่ยวรู้ว่าที่นี่ได้มากกว่าที่จ่ายไป แต่วันนี้เมื่อข้าวของต่างๆ ในไทยราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความคุ้มค่าที่เคยเป็นปัจจัยดึงดูดหลัก จึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวจะเริ่มมองหาทางเลือกอื่นๆ ที่ทั้งใหม่และราคาย่อมเยากว่า

สิ่งที่ประเทศไทยต้องตั้งคำถามคือ หากราคาข้าวของยังสูงขึ้นเรื่อยๆ และไทยไม่สามารถสร้างจุดขายใหม่ๆ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่า “คุ้มค่า” ประเทศไทยจะยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการท่องเที่ยวได้อีกหรือไม่?

สิ่งนี้ไม่เพียงกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายที่คนไทยต้องเผชิญในการใช้ชีวิตประจำวันที่แพงขึ้น หากประเทศไทยไม่ปรับตัว การสูญเสียความได้เปรียบด้านราคาและความคุ้มค่า อาจหมายถึงการสูญเสียทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ไทยนั้นพึ่งพามาโดยตลอด

เราคงต้องยอมรับความจริงว่าประเทศไทยไม่ได้ถูกอีกต่อไปแล้ว รัฐบาลรวมถึงเราทุกคนต้องตั้งคำถามว่า จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพื่อให้ประเทศของเรานี้ยังคงน่าสนใจและคุ้มค่า ไม่เพียงสำหรับนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนไทยทุกคนที่ยังคงอยากใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีความสุขในบ้านเกิดของตัวเอง

]]>
1539392
จากขุนเขาสู่ความเหลื่อมล้ำ: เรื่องเล่าของเนปาลที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง https://positioningmag.com/1523496 Wed, 28 May 2025 04:40:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523496
เวลาที่คนส่วนใหญ่พูดถึงเนปาลก็มักจะพูดถึงการแสวงบุญ trekking หรือการปีนเขา โดยเฉพาะการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งเป็นจุดหมายของนักปีนเขาทั่วโลก แต่น้อยคนที่จะพูดถึงเนปาลในมุมเศรษฐกิจหรือสังคม ทราบมั้ยครับว่าความคล้ายคลึงของไทยและเนปาลนั้นคือทั้งสองเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก

ที่ต่างกันคือปัจจุบันไทยก้าวขึ้นมาเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ในขณะที่เนปาลนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย มี GDP per capita (PPP) อยู่เพียง 4,062 USD ต่ำกว่าทั้งลาว และพม่า ด้วยซ้ำไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเนปาล?

หากย้อนไปในช่วงที่อังกฤษเริ่มขยายแสนยานุภาพเข้าสู่เอเชียใต้และเริ่มยึดครองประเทศต่างๆ ในขณะที่อินเดียและหลายประเทศพ่ายแพ้และตกเป็นเมืองขึ้น กองทหารเนปาลได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญจนได้รับความเคารพจากฝั่งอังกฤษ ทหารเนปาล – กูรข่าถูกยกย่องและได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทหารที่แกร่งที่สุดโลก จนอังกฤษตัดสินใจจ้างทหารกูรข่าเข้าสู่กองทัพเพื่อทำการสู้รบให้กับชาติตัวเอง

หลังสงครามใหญ่ระหว่าง 2 ประเทศในปี ค.ศ. 1814 อังกฤษและเนปาลตกลงเซ็นสนธิสัญญา Sugauli ที่ถึงแม้เนปาลจะสูญเสียพื้นที่ไปบางส่วนแต่ยังสามารถรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่และรักษาเอกราชของชาติไว้ได้ ซึ่งบทสรุปนี้มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ไทยนั้นพยายามที่จะปรับตัว ปฏิรูปและพัฒนาประเทศมาโดยตลอด เนปาลก็ได้เข้าสู่ยุคที่ตระกูล Rana เข้าครอบงำประเทศและกุมอำนาจสูงสุด สามารถกล่าวได้ว่าการปกครองของตระกูลนี้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศเนปาลยังด้อยพัฒนาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งมีข้อถกเถียงที่ว่า ประเทศเนปาลน่าจะพัฒนากว่านี้หากถูกปกครองโดยอังกฤษ ไม่ใช่ด้วยด้วยชนชั้นนำของตัวเอง

เพราะความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจ ตระกูล Rana จงใจจำกัดการเข้าถึงการศึกษาของประชาชน กดให้ประชาชนไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีความรู้ อยู่กับความเชื่อเดิมๆ เหตุผลเพียงเพราะง่ายต่อการปกครอง และทำให้สถานภาพของตระกูลมีความมั่นคงสูงที่สุด ในเวลาราว 100 ปีที่ตระกูลนี้ปกครอง แทบไม่มีการสร้างถนน ไฟฟ้า สถานพยาบาล ระบบกฏหมาย หรือระบบสาธารณูประโภคต่างๆ เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศและจำเป็นต่อการยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน

ตระกูล Rana ยังมีการใช้นโยบาย “โดดเดี่ยวประเทศ” กล่าวคือ ไม่ให้คนต่างประเทศเข้าประเทศ และไม่ให้คนในประเทศออกนอกประเทศ ทั้งยังจำกัดการเข้าถึงข่าวสารต่างๆ ทำให้การเข้าถึงแนวคิดใหม่ๆ การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกของประเทศเนปาลนั้นไม่เกิดขึ้น

ในขณะที่หลากหลายประเทศต้องการทลายความแตกต่างทางชาติพันธ์ุเพื่อให้เกิดความปรองดองและสมานฉันท์ในสังคม ตระกูล Rana กลับยิ่งเน้นย้ำถึงความเหนือกว่าของตระกูล เผ่าพันธุ์ และวรรณะ จำกัดสิทธิของแต่ละกลุ่ม ทั้งในเรื่องอาชีพ สวัสดิการ และโอกาสในการพัฒนาชีวิต ทำให้สังคมนั้นยิ่งเกิดความแตกแยกและไม่เท่าเทียม และทำให้ความเชื่อเหล่านี้ยิ่งฝังรากลึกลงในความรู้สึกของประชาชน

โดยหากมองมาที่ภาพเนปาลในยุคปัจจุบัน ถึงแม้เนปาลจะเข้าสู่การปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย แต่จากราว 125 กลุ่มวรรณะ/ชาติพันธุ์ของทั้งประเทศ วรรณะ Chhetri, พราหมณ์ และ Newar เพียงแค่ 3 วรรณะนี้กลับมีสัดส่วนถึง 89.2% ของตำแหน่งทั้งหมดในระบบราชการ กลุ่มธุรกิจหลักๆ ก็ยังถูกครอบงำด้วยสามวรรณะนี้ ตระกูล Rana ที่เคยครองอำนาจก็ยังมีอิทธิพลอยู่โดยเฉพาะในแวดวงเศรษฐกิจและสังคมชั้นสูง หากมองรายได้ของแต่ละวรรณะแล้วจะพบว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยสามกลุ่มที่ได้กล่าวมานั้นเป็นกลุ่มวรรณะที่มีรายได้สูงที่สุดอีกเช่นกัน

ความเชื่อที่ฝังรากลึกก่อให้เกิดรูปแบบของระบบที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ วรรณะ ชนชั้น คอนเนกชันมากกว่าความรู้ความสามารถที่แท้จริง ถึงแม้ปัจจุบันเนปาลจะมีพรรคการเมืองหลักร้อย แต่ที่น่าผิดหวังคือคนที่อยู่ในสถานะปกครองส่วนใหญ่กลับไม่ต้องการที่จะพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง แต่กลับต้องการให้ระบบทุกอย่างอยู่คงเดิมเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจและเอื้อประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้อง ถึงจะมีการออกนโยบายแต่ส่วนมากก็เป็นเพียงกระดาษที่ไม่ได้มีการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เรียกได้ว่าแทบไม่มีผลใดๆ ในทางปฏิบัติเลย

ทำให้ปัจจุบันเศรษฐกิจของเนปาลมีความล้าหลัง ผลิตภัณฑ์ส่งออกที่สำคัญยังจำกัดอยู่ในกลุ่มจำพวกสิ่งทอ พรม ชา และเครื่องเทศ ไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและนวัตกรรรมใดๆ นอกเหนือจากบริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่บริษัทที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาล เนปาลแทบไม่มีบริษัทขนาดใหญ่เลย จากจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนราว 900,000 บริษัท มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่มีการจ้างงานเกิน 50 คน เรียกได้ว่าเนปาลมีภาคเอกชนที่เล็กมาก

จากปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้คนจำนวนมากในเนปาลมองไม่เห็นโอกาสและอนาคตในประเทศ ซ้ำยังต้องเผชิญกับปัญหาคุณภาพชีวิตที่เข้าข่ายวิกฤติ ทั้งขยะ น้ำดื่ม ถนน ระบบบำบัดของเสีย โดยเฉพาะปัญหามลภาวะทางอากาศที่คร่าชีวิตคนในเนปาลถึง 35,000 คนต่อปี ทำให้คนเนปาลจำนวนมากตัดสินใจย้ายถิ่นฐานหรือเลือกที่จะไปทำงานนอกประเทศ โดย 25% ของ GDP ของประเทศเนปาลมาจากเงินที่คนเนปาลที่ทำงานอยู่นอกประเทศส่งกลับมายังประเทศตัวเอง นับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากเกินค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ราว 5% ของ GDP เท่านั้น

ปัจจุบันเริ่มมีคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามกับโครงสร้างเดิมๆ กลุ่มองค์กรภาคประชาชนที่พยายามผลักดันความเสมอภาค และเกิดแรงขับจากพลเมืองที่เคยได้สัมผัสโลกภายนอก แต่เนื่องด้วยระบบที่ฝังรากลึก และการเมืองที่ไม่เปิดกว้าง การปฏิรูปคงไม่ง่าย ที่น่ายินดีคือการที่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เริ่มเห็นว่าความเหลื่อมล้ำไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคชะตา หากแต่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่เลือกจะกดทับไม่ให้ผู้คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอนาคตตัวเองได้

น่าติดตามนะครับว่าต่อไปเนปาลจะเดินไปในเส้นทางไหน เพราะหลายอย่างที่เนปาลเผชิญ จริงๆ แล้วก็แทบไม่ต่างจากที่เรากำลังเผชิญอยู่ที่ไทยเลย

]]>
1523496
AI อาจกำลังแย่ง “การคิด” ของเราไป https://positioningmag.com/1522208 Mon, 19 May 2025 10:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522208

ผู้อำนวยการ – ฝ่ายวิศวกรข้อมูลและการวิเคราะห์ บริษัท CPAXTRA

บริบทที่สังคมมักพูดถึง AI คือ ความเสี่ยงที่เอไอกำลังจะเข้ามาแย่งหรือแทนที่งานของคนเรา หรือพูดอีกนัยหนึ่ง มนุษย์เราอาจกำลังสูญเสียตำแหน่งงานให้กับเอไอซึ่งความเสี่ยงนั้นไม่ได้อยู่เพียงแค่ประเภทงานทักษะต่ำอีกต่อไป แต่ยังรวมไปถึงงานที่ใช้ทักษะสูงอาทิเช่น นักกฎหมาย หรือกระทั่งสายงานแพทย์เองก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่น่ากลัวกว่าอาจไม่ใช่การสูญเสียตำแหน่งงาน แต่คือความเสี่ยงที่เราอาจกำลังสูญเสียความสามารถในการคิดให้กับเอไอ ซึ่ง “การคิด” นั้นเป็นความความสามารถที่ทำให้มนุษย์สามารถก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร เป็นความสามารถที่ทำให้เราพิเศษและแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งหมดบนโลกนี้

หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ จากประสบการณ์ที่มีโอกาสได้สอนนักศึกษาที่มหาลัย ผมเริ่มสังเกตได้ว่ามีนักศึกษาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ใช้เอไอในการทำ assignment โดยคัดลอกคำถามไปให้เอไอตอบ และนำคำตอบที่เอไอให้กลับมาเสนอ จะเห็นได้ว่าทั้งกระบวนเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้น นักศึกษาไม่ได้มีการใช้ “การคิด” ของตัวเองเลย ซึ่งเชื่อได้ว่าการใช้งานเอไอในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับนักศึกษา แต่ยังรวมไปถึงคนทำงานทำหลากหลายสายอาชีพที่อาจใช้ AI ให้ช่วย “คิด” โดยไม่ได้ผ่านการคิดของตัวเองเลย

ไม่เพียงแต่เราเริ่มที่จะ “outsource” “การคิด” ไปให้ AI คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ยังเลือกที่จะ “เชื่อ” คำตอบที่เอไอให้มาโดยไม่มีการตั้งคำถามหรือกลั่นกรองใดๆ ว่าคำตอบที่ได้มานั้นถูกต้องจริงหรือไม่ หรือยังมีความเป็นไปได้ในมุมอื่นๆ อีกมั้ย แปลว่าเราไม่ได้เพียงเลือกให้เอไอ “คิด” แทนเรา แต่ยังเลือกที่จะ “เชื่อ” สิ่งที่เอไอตอบ และยังรวมไปถึงการ ”ทำ” ตามคำแนะนำนั้นๆ

ในความเป็นจริงแล้ว AI ไม่ใช่ผู้ร้าย เพราะหากใช้ให้ถูก มันสามารถช่วยเหลือมนุษย์ในทางความคิดได้อย่างมหาศาลไม่ว่าจะเป็นการชวนให้คิดมุมใหม่ จำลองผลลัพธ์ ท้าทายแนวคิดของเรา หรือแม้แต่ช่วยตรวจตราเหตุผลให้รอบด้าน หากมนุษย์ใช้งานเอไอในลักษณะนี้ เอไอ ก็จะเปรียบเสมือนพาร์ทเนอร์ทางความคิดที่ทรงพลังสำหรับมนุษย์เรา

สิ่งที่น่ากังวลคือ เราเริ่มเห็นทรนว่าคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ใช้ AI เพื่อเสริมหรือเป็นพาร์ทเนอร์ ทางการคิด แต่ใช้มันเพื่อคิดและตัดสินใจแทนเราโดยสิ้นเชิง ยิ่งมนุษย์เริ่ม “ขี้เกียจคิด” ยิ่งยอมให้ AI คิดแทนในทุกเรื่อง เราก็อาจค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการคิดไป วันนึงที่มนุษย์เรา “outsource” การคิดให้เอไอจนเคยชิน วันนั้นเราอาจจะขี้เกียจคิดและไม่สามารถ คิด ด้วยตัวเองไปเลยก็เป็นได้

เราอาจจะต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเราว่าถึงแม้ในความเป็นจริงเอไออาจจะสามารถ “คิด” แทนเราได้ แต่เราควรจะหรือยอมให้เอไอ “คิด” แทนเราจริงๆ ไหม เราอาจจะต้องกลับมาหวงแหนและปกป้องสิ่งที่ทำให้เราเป็นเรา มนุษย์เป็นมนุษย์ ซึ่งก็คือความสามารถใน “การคิด” ของเรานั่นเอง

]]>
1522208
7 สิ่งที่ควรคำนึงถึง เพื่อเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งผ่านข้อมูล https://positioningmag.com/1501951 Wed, 04 Dec 2024 03:47:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501951

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด

พิ้งค์ได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายที่เรียกว่าสุดคูล จากศาสตราจารย์ Amir Goldberg เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลและการเรียนรู้ของ Machine Learning (ML) ในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างความเข้าใจในตัวลูกค้า ที่ Stanford Business School มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก วันนี้พิ้งค์เลยอยากจะแชร์เนื้อหาจากบรรยายนี้ให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของข้อมูลและนวัตกรรมในธุรกิจ

Stanford Business School (ที่มารูปจากเว็บไซต์ www.gsb.stanford.edu)

1. ภาวะผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการเรียนรู้ของ ML

ศาสตราจารย์ Amir Goldberg เริ่มต้นด้วยการเน้นถึงความสำคัญของภาวะผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยอธิบายว่าถึงแม้ว่าอัลกอริทึมของการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) จะสามารถทำนายแนวโน้มได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดนั้นยังคงต้องอาศัยการตัดสินใจของมนุษย์ ผู้นำที่ใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องเข้าใจว่า ML ทำอะไรได้และทำไม่ได้ และต้องมีความสามารถในการตั้งคำถามที่ถูกต้อง ตีความการทำนายของเครื่องจักร และตัดสินใจอย่างรอบคอบจากข้อมูลที่ได้มา

 ศาสตราจารย์ Amir Goldberg (ที่มารูปจากเว็บไซต์ www.utsc.utoronto.ca)

Machine Learning (ML) เป็นเทคโนโลยีหนึ่งในสาขาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้จากข้อมูลและทำการตัดสินใจหรือทำนายได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกตั้งโปรแกรมอย่างเฉพาะเจาะจงทุกขั้นตอน

หลักการพื้นฐานของ ML คือการ “ฝึก” คอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลจำนวนมาก จากนั้นให้คอมพิวเตอร์ใช้ข้อมูลนั้นเพื่อเรียนรู้รูปแบบและลักษณะต่างๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การแนะนำสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การรู้จำใบหน้าในรูปภาพ หรือการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด

2. บทบาทของการทำนายธุรกิจ 

จุดแข็งของ ML อยู่ที่ความสามารถในการทำนายจากข้อมูลที่มีอยู่ เช่น ในช่วงโควิด-19 บริษัทต่างๆ อย่าง Target และ Kaiser Permanente ใช้ AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า Target ใช้ข้อมูลการซื้อของลูกค้าเพื่อแนะนำสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะที่ Kaiser Permanente ใช้การรู้จำภาพเพื่อวินิจฉัยผิวหนังจากรูปถ่ายที่ผู้ป่วยอัปโหลด ซึ่งแม้ว่า AI จะช่วยทำนายได้ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงขึ้นอยู่กับผู้เชี่ยวชาญ พิ้งค์ขอให้ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ML ของการที่ Target ใช้ข้อมูลการซื้อของลูกค้าเพื่อแนะนำสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ กับ ML ของ Kaiser Permanente ใช้การรู้จำภาพเพื่อวินิจฉัยผิวหนังจากรูปถ่ายที่ผู้ป่วยอัปโหลด อันไหนน่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่ากัน

Target ประสบปัญหาการใช้ ML ซึ่งคือข้อมูลระหว่างโควิด และก่อนโควิดทำนายพฤติกรรมหลังโควิด ทำให้มีตัวแปรแปลกๆ ในสมการ เช่น การซื้อเจลฆ่าเชื้อโรค หรือซื้อเสื้อใส่อยู่บ้าน ในขณะที่ปกติผู้บริโภคไม่ได้ซื้อของเหล่านั้น แต่หลังจากสถานการณ์ปกติ ML ก็ทำการปรับข้อมูล และทำงานได้ดีขึ้น

The doctor signs a document approving the patient’s treatment. medical concept. medical treatment concept.

ส่วน Kaiser Permanente ความท้าทายคือ ML ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และป้อนข้อมูลกลับไปยัง ML ตลอดเวลา เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ดีขึ้น หรือภาพข้อมูลบางอย่างอาจเป็นโรคที่ต้องการอาศัยการวินิจฉัยประกอบกับการซักถามคนไข้เพื่อประกอบการตัดสินใจ ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังคงมีบทบาทสำคัญในการวิเคาระห์ข้อมูลอยู่ และใช้ ML เพื่อประกอบการตัดสินใจเท่านั้น

3. การนำ ML ไปใช้ในบริบทธุรกิจต่างๆ 

ยกตัวอย่าง 3 กรณีที่ ML มีประโยชน์มากเป็นพิเศษ ได้แก่

ข้อมูลหลายมิติ เช่น การทำนายความชอบของเพลงหรือลักษณะการซื้อของลูกค้า ML สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและหาแบบแผนที่มนุษย์อาจมองข้าม

การปรับแต่งเฉพาะบุคคล ML ช่วยตรวจจับปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อผู้ใช้ เช่นในกรณีของยารักษาโรคเฉพาะบุคคล

เหตุผลที่ไม่ทราบ ML มีบทบาทมากเมื่อไม่สามารถเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างชัดเจน

4. กรณีศึกษา Netflix กับการพลิกโฉมวงการบันเทิง 

ความสำเร็จของ Netflix ที่ใช้ข้อมูลในการแนะนำภาพยนตร์และขยายไปสู่การสตรีมมิ่ง โดย Netflix ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนาเนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มผู้ชม เช่น ซีรีส์ House of Cards ซึ่งจากการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่พบว่าผู้บริโภคมีความชื่นชอบซีรีส์ ประเภทการเมือง ซึ่งมองไม่เห็นในเทรนด์ขนาดใหญ่มาก่อน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งทำให้ Netflix อัปเกรด ซีรีส์ ของตัวเอง และกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบันเทิง ขณะที่ Blockbuster พลาดโอกาสนี้เพราะไม่ได้ปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภค

5. ความแตกต่างและนวัตกรรมในธุรกิจ 

บริษัทบางบริษัทก็มีความ “ไม่เหมือนใคร” ในบริษัทที่มีผู้นำที่ทำในสิ่งที่ต่างจากคนอื่น เช่น Tesla ที่มี Elon Musk ผู้นำที่ท้าทายการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินศักยภาพบริษัทผิดไปในบางครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของภาพลักษณ์ต่อการประเมินทางการเงิน สะท้อนในผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ซึ่งทำให้หุ้นของ Tesla ขึ้นไปวันเดียว มากกว่า 20%

6. ความท้าทายในการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างความได้เปรียบ 

การมีข้อมูลจำนวนมากเป็นข้อได้เปรียบ หากใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การใช้บริการ Drive-Up ของ Target ที่ใช้ข้อมูลลูกค้าในการปรับปรุงกระบวนการสั่งซื้อและส่งมอบสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สิ่งที่ Target ค้นพบคือลูกค้ามีการสั่งสินค้าจำนวนมาก แต่สุดท้ายไม่ได้จ่ายเงิน หรือไม่ได้เอาสินค้ากลับไปหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลก็พบว่า ลูกค้ามีพฤติกรรมการสั่งสินค้าขนาดใหญ่ และเมื่อนำรถมารับสินค้าก็ ไม่สามารถบรรทุกสินค้าชนิดนั้น เช่น โซฟา หรือตู้เก็บของขึ้นรถได้ ทำให้ต้องละทิ้งสินค้าเหล่านั้น และไม่ได้จ่ายเงิน Target จึงปรับข้อมูลในการขายให้มีเฉพาะสินค้าที่สามารถรับขึ้นรถได้เท่านั้น ส่วนสินค้าขนาดใหญ่ ก็ให้ใช้บริการจัดส่งแทน

ที่มารูปจากเว็บไซต์ www.leahingram.com

บริการ Drive Up ของ Target เป็นบริการที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Target และรับสินค้าที่สั่งได้โดยไม่ต้องลงจากรถ เมื่อสั่งซื้อสินค้าและเลือกตัวเลือก Drive Up ในแอป ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อสินค้าพร้อมรับ จากนั้น ลูกค้าสามารถขับรถไปยังพื้นที่จอดรถที่กำหนดสำหรับ Drive Up ที่ร้าน Target สาขาที่เลือก เมื่อมาถึง ให้กดปุ่ม “I’m here” ในแอป พนักงานของ Target จะนำสินค้ามาส่งถึงรถของคุณภายในไม่กี่นาที

 7. อนาคตของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล 

ปิดท้ายด้วยมุมมองที่มองไปข้างหน้าโดยเน้นว่าเมื่อการประมวลผลถูกลง ธุรกิจต้องคิดอย่างจริงจังว่าจะใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร การปรับเปลี่ยนส่วนต่างๆ ของธุรกิจให้เป็นข้อมูลที่เครื่องจักรเข้าใจได้ และการใช้ข้อมูลเพื่อคิดค้นนวัตกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดในอนาคต

พิ้งค์เลยอยากมาสรุปหลักการให้เป็นกรอบแนวคิดในการใช้ข้อมูล เพื่อนำเสนอวิธีการใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า ตั้งแต่การใช้ข้อมูลเชิงกลยุทธ์ไปจนถึงกรณีศึกษาที่เห็นภาพอย่าง Netflix เน้นให้เห็นว่าความสำเร็จในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนั้นต้องการมากกว่าแค่การมีข้อมูล แต่ยังรวมถึงความสามารถในการแปลงข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง

]]>
1501951
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 3) https://positioningmag.com/1496388 Wed, 30 Oct 2024 07:38:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496388

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ตอนที่ผ่านๆ มาผมได้ฉายภาพคุณสมบัติของ ETF (Exchange Traded Fund) หลักการลงทุนและประเภทของ ETF ที่มีหลากหลายและแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงชี้เป้าวิธีการศึกษาหาข้อมูล ETF

เพราะ ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีจำนวนกองเปิดใหม่ที่มากขึ้นทุกๆ ปี และหลายๆ ETF มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน เช่น ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีนับร้อยนับพัน ใช้ดัชนีอ้างอิงที่แตกต่างกัน แต่ก็มี ETF หลายสิบหลายร้อยกองที่ใช้ดัชนีอ้างอิงเดียวกัน และมีนโยบายลงทุนเหมือนกัน แต่ผลตอบแทนและความผันผวนของ ETF ไม่เท่ากัน

แล้วคุณจะเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุดได้อย่างไร หากคุณยังมีความรู้ความเข้าใจไม่มากพอ…

บทความนี้ ผมจะพาคุณไปส่องวิธีการเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด ซึ่งไม่มีเกณฑ์อะไรยากและซับซ้อน ขอเพียงคุณทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน

เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณจะสามารถใช้วิธีการเพื่อนำมาเปรียบเทียบและคัดเลือก ETF ที่อยู่กลุ่มหรือประเภทเดียวกัน เพื่อเฟ้นหา ETF ตรงใจคุณมากที่สุด

วิธีการคัดเลือก ETF ที่น่าลงทุน

แต่ละคนมีความต้องการ ระดับความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนที่แตกต่างกัน ก่อนจะคัดเลือก ETF เพื่อมาจัดพอร์ตลงทุน คุณควรรู้จักตัวเองก่อนว่า คุณสามารถและเต็มใจรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

หากคุณรับความเสี่ยงได้ต่ำ และไม่ต้องการขาดทุน หรือได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก คุณควรเลือก ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ รวมไปถึงพันธบัตรรัฐบาล หรือ Bond ETF ที่สำคัญ คือ ตราสารหนี้และพันธบัตรควรมีความน่าเชื่อถือสูง อยู่ในกลุ่มระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ผ่านการจัดอันดับ Credit Rating จาก Fitch S&P และ Moody’s หมายถึง ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำนั่นเอง โดยให้น้ำหนักการลงทุนตั้งแต่ 80-100% ในพอร์ต

หากคุณรับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เงินลงทุนบางส่วนลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นได้ คุณสามารถเลือก Bond ETF ผสมกับ ETF ที่ลงทุนในหุ้น (Equity ETF) สัดส่วนผสมกันระหว่าง 40-60% ในพอร์ต ถ้าไม่ต้องการความผันผวนสูง คุณเลือก ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้น (Stock Market ETF) เพื่อกระจายความเสี่ยงในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม

หากคุณรับความเสี่ยงได้สูง และต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูง จากมูลค่าสินทรัพย์ที่เติบโต รวมทั้งยินดีรับความผันผวนขาลงระยะสั้น คุณสามารถเลือก Equity ETF ในสัดส่วนได้ตั้งแต่ 80-100% โดยจะเป็น Stock Market ETF หรือ ETF ที่ลงทุนในรายอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ (Sector ETF) หรือ ETF ที่ลงทุนในธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตระยะยาว (Thematic ETF) รวมไปถึงเลือก ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity ETF) หากรับความเสี่ยงได้สูงมาก หรือกระจายความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยใน Bond ETF เพื่อบรรเทาความผันผวนในช่วงขาลงของตลาดหุ้นได้

เมื่อคุณรู้จักระดับความสามารถ (Ability) และความเต็มใจ (Willingness) ในการรับความเสี่ยงจากการลงทุน ต่อมาคือ วิธีการเฟ้นหา ETF เพื่อมาจัดพอร์ตลงทุน ตามความเสี่ยงและผลตอบแทนคาดหวัง

ยิ่งคุณเจอ ETF หลายๆ กองที่ลงทุนในสินทรัพย์หรือมีนโยบายลงทุนเหมือนกัน จะเฟ้นหา ETF ไหนมาจัดพอร์ตดี คุณสามารถคัดเลือก ETF ที่น่าลงทุนที่สุด โดยพิจารณาจาก 4 เกณฑ์ ดังนี้

เกณฑ์ที่ 1 มูลค่า AUM ที่สูง

ETF ที่มีความแข็งแกร่งและมีความน่าเชื่อถือ นอกเหนือจากพิจารณาที่บริษัทจัดการลงทุนแล้ว มูลค่า AUM (Assets Under Management) หรือมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (หรือ Net Asset) มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ยิ่งมากยิ่งดี เพราะมูลค่า AUM ที่สูงมากพอ สะท้อนว่า โอกาสที่ ETF จะบริหารกองหรือสร้างผลตอบแทนเติบโตมีสูง เพราะมีกระแสเงินทุนมากพอที่จะลงทุนตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยคุณสามารถนำ ETF ประเภทเดียวกัน จัดอันดับมูลค่า AUM สูงที่สุด แล้วมาเปรียบเทียบกันได้

เกณฑ์ที่ 2 ค่า Total Expense Ratio ที่ต่ำ

ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของ ETF เป็นอีกเกณฑ์ที่มีสำคัญ ยิ่งถ้าคุณสนใจ Passive ETF เน้นให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนทำเพียงแค่ลงทุนตามดัชนี ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย ค่า Total Expense Ratio จะไม่สูงอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ไม่ปรับขึ้นกัน เพราะต้องแข่งขันกับ ETF ประเภทเดียวกันด้วย

แต่ถ้าเป็น Active ETF เน้นให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง ผู้จัดการกองทุนต้องคอยติดตามภาวะตลาดและปรับพอร์ตตลอดเวลา ค่า Total Expense Ratio จะสูงกว่า

เหตุผลคือ ค่า Total Expense Ratio ที่สูงจะมีส่งผลต่อผลตอบแทนที่ ETF นั้นทำได้ ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าดัชนีอ้างอิงหรือไม่สามารถชนะดัชนีอ้างอิงได้ โดยคุณสามารถนำ ETF ประเภทเดียวกัน จัดอันดับมูลค่า AUM สูงที่สุด เพิ่มส่วนค่า Total Expense Ratio เพิ่มเติม แล้วเลือก ETF ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด

เกณฑ์ที่ 3 ค่า Tracking Error ที่ต่ำ

ค่า Tracking Error สามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ ETF และผู้จัดการกองทุนได้ว่า ผลตอบแทนที่ทำได้ในแต่ละเดือน ไตรมาส และปี ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงหรือไม่ เหมือนเป็นค่าความคลาดเคลื่อน ETF ที่มีค่า Tracking Error ต่ำ ย่อมดีกว่า ETF ที่มีค่า Tracking Error สูงอย่างแน่นอน

ค่า Tracking Error นี้จะใช้วัด Passive ETF เพราะมีหลักการให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง แต่จะใช้วัด Active ETF ไม่ได้ ค่าความคลาดเคลื่อนจะสูงอยู่แล้ว เพราะมุ่งทำผลตอบแทนให้ชนะดัชนีอ้างอิง

หากคุณต้องการให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด นอกจาก 2 เกณฑ์แรกแล้ว ค่า Tracking Error ของ ETF ควรต่ำด้วยเช่นกัน

เกณฑ์ที่ 4 ค่าความเสี่ยงต่างๆ

ปกติแล้ว ETF จะทำ Fact Sheet (แผ่นข้อมูล) ที่จะระบุข้อมูลส่วนสรุปของ ETF นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลงทุน ดัชนีอ้างอิง ค่า Total Expense Ratio ผลตอบแทน และบริษัทที่ลงทุน รวมไปถึงแสดงค่าสถิติอื่นๆ ที่ระบุถึงความเสี่ยง ความผันผวน รวมไปถึงค่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่คุณสามารถพิจารณาได้

ค่าแรก คือ Standard Deviation (SD หรือ Volatility) เป็นค่าสถิติตัวแรกที่วัดความผันผวนของ ETF ค่ายิ่งสูง หมายถึงความผันผวนสูง ยิ่งต่ำ หมายถึงความผันผวนต่ำ มักจะเอามาคำนวณต่อในค่าสถิติอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง (หรือความผันผวน)

นอกจากนี้ยังมีค่า Sharpe Ratio ใช้วัดความสามารถในการบริหาร ETF และดูผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ควรมีค่ามากกว่า 1 หมายถึงทำผลตอบแทนได้มากกว่าความเสี่ยงนั่นเอง คุณจะได้รู้ว่า ความเสี่ยงนั้นคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่คาดหวังหรือไม่ โดยทั่วไป Passive ETF เปรียบเทียบค่า Sharpe Ratio ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนค่า Sortino Ratio ที่ใช้เฉพาะความผันผวนขาลงมาคำนวณ วัดความสามารถในการบริหาร ETF เหมือนกัน โดยดูผลตอบแทนต่อความเสี่ยง ค่ายิ่งสูง ยิ่งดี แต่มักใช้วัดประสิทธิภาพของ Active ETF ที่มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง

โดยปกติคุณสามารถดูค่า SD ค่า Sharpe Ratio และค่า Sortino Ratio ครบในที่เดียวได้จาก Morningstar เป็นเครื่องมือออนไลน์ที่เฟ้นหาข้อมูลพื้นฐานของ ETF โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

หากคุณต้องการรู้จัก ETF นั้นมากขึ้นไปอีก ลองเข้าไปอ่าน 10 หุ้นแรกที่ ETF นั้นลงทุน ว่าตรงตามเป้าหมายของคุณหรือไม่ โดยเฉพาะ Thematic ETF ที่ไม่มีกฎตายตัวในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตลงทุน วัดแค่ว่า เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจตามธีมที่ ETF กำหนดนโยบายไว้

นี่คือ 4 เกณฑ์วิธีการคัดเลือก ETF อย่างง่ายๆ เพื่อคุณสามารถมั่นใจได้ว่า ETF ที่เฟ้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มาแล้วนั้น เป็น ETF ที่น่าลงทุนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพิจาณาจากมูลค่า AUM ค่า Total Expense Ratio ค่า Tracking Error และค่าความเสี่ยงต่างๆ และเริ่มต้นจัดพอร์ตลงทุนได้อย่างสบายใจ เพราะคุณรู้จัก ETF นั้นอย่างรอบด้าน

เมื่อคุณเข้าใจถึงวิธีการคัดเลือก ETF และเริ่มสนใจอยากหาโอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF  ผมได้รวบรวมช่องทางลงทุนให้คุณแล้ว

โอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF

เทรนด์การลงทุนปัจจุบัน นักลงทุนไทยหลายคนเริ่มสนใจจัดพอร์ตลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเห็นโอกาสเติบโต เพราะ ETF ต่างประเทศมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย และบางกองลงทุนในธีมธุรกิจที่ไม่มีในไทย

ในสายตาหลายๆ คน พอพูดถึง ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก และต้องใช้เงินลงทุนเยอะ หากจะลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้นักลงทุนหลายคนถอดใจที่จะเริ่มต้น

จริงๆ แล้ว โอกาสลงทุนต่างประเทศไม่ยากอย่างที่คิด และด้วยเทคโนโลยีช่วยให้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมาก โดยเฉพาะลงทุนผ่าน ETF อีกทั้งยังได้กระจายความเสี่ยงลงทุนในอุตสาหกรรมและธีมธุรกิจที่น่าสนใจ ด้วย ETF เพียงกองเดียว

นอกจากนี้ ETF เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก มีความหลากหลายในแง่ของสินทรัพย์ อุตสาหกรรม และธีมธุรกิจต่างๆ จึงดีงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างมหาศาลจากนักลงทุนทั่วโลก

ผมได้รวบรวมวิธีการ ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ด้วย ETF ทั้งทางตรงและทางอ้อม มาให้คุณลองพิจารณาดู พร้อมทั้งจำแนกข้อดีและข้อด้อย เพื่อให้คุณเข้าใจและตัดสินใจเลือกช่องทางลงทุนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด 3 วิธีด้วยกัน

วิธีที่ 1 ลงทุนผ่านกองทุนรวม

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund – FIF) เป็นทางเลือกแรกของการลงทุน ETF ต่างประเทศ เพราะเข้าถึงง่ายที่สุด ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก และซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ

ปัจจุบัน FIF เปิดกองใหม่ๆ มีทางเลือกให้กับคุณเยอะมาก โดยเลือกลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ และ ETF หลากหลายประเภท โดยเป็นการลงทุนทางอ้อม มี 2 รูปแบบ คือ Feeder Fund (ลงทุนกองเดียว) และ Fund of Funds (ลงทุนหลายกอง)

อย่างไรก็ตาม FIF ไม่ได้จำกัดเฉพาะการลงทุนในรูปแบบกองทุน และ ETF เท่านั้น แต่สามารถไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ เช่น จัดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้และหุ้นโดยตรง ดังนั้นคุณควรอ่านศึกษานโยบายการลงทุนของ FIF นั้นๆ ให้เข้าใจก่อนที่จะลงทุน

จุดเด่น

  • ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก เพื่อซื้อหน่วยลงทุน
  • เปิดบัญชีลงทุนง่าย
  • ผู้จัดการกองทุนบริหารมูลค่าทรัพย์สินและผลตอบแทนตามนโยบายกองทุน

จุดด้อย

  • ค่าธรรมเนียมสูง ทั้งเก็บจากกองทุนรวมและผู้ถือหน่วยลงทุน
  • ผู้จัดการกองทุนสามารถเปลี่ยนกองทุนหรือ ETF ต้นทางได้

วิธีที่ 2 ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์

ปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ในไทยหลายแห่ง ให้บริการเปิดบัญชีเพื่อไปลงทุนในหุ้นและกองทุนต่างประเทศโดยตรงได้ และมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ และเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นสูง เพราะบางบล. อาจจะมีเงื่อนไขค่าธรรมเนียมซื้อขายขั้นต่ำ คุณจะต้องมีเงินมากพอ เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย

นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น การโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ หากคุณจะใช้บริการบล. ไทย ควรศึกษาอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศที่ไปลงทุนด้วย

ด้วยการพัฒนาระบบออนไลน์ต่างๆ คุณยังสามารถเปิดบัญชีผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเอง แต่คุณควรจะทำความเข้าใจเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำและค่าธรรมเนียมด้วยเช่นเดียวกัน

จุดเด่น

  • เข้าถึงการลงทุนโดยตรงและเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • เปิดบัญชีลงทุนง่าย ทั้งบล. ไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ
  • มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวก

จุดด้อย

  • ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียม
  • ค่าธรรมเนียมสูง มีขั้นต่ำ และมีต้นทุนการโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ
  • ใช้เวลาในการโอนเงินและแปลงสกุลเงิน

วิธีที่ 3 ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล

กองทุนส่วนบุคคลเป็นอีกทางเลือกที่ให้คุณลงทุนต่างประเทศผ่านหุ้นและ ETF โดยตรง โดยเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่มีใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)

บริการกองทุนส่วนบุคคลมีหลากหลายขึ้นอยู่กับบลจ. โดยจัดพอร์ตลงทุนและเลือกสินทรัพย์ให้ตามระดับความเสี่ยงของคุณ หรือวางรูปแบบกองทุนส่วนบุคคลไว้ให้คุณเลือก หลายๆ บลจ. อาจจะมีเงื่อนไขบริหารเงินลงทุนสูงมาก เช่น 5 ล้านขึ้นไป หรือ 10 ล้านขึ้นไป

แต่ด้วยเทคโนโลยีและการพัฒนาแพลตฟอร์มลงทุนทำให้บริการกองทุนส่วนบุคคลในปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากก็สามารถลงทุนใน ETF โดยตรง อย่างเช่น Jitta Wealth ที่นักลงทุนสามารถเริ่มต้นที่ 10,000 บาท และเพิ่มทุนครั้งละ 1,000 บาท

บริการกองทุนส่วนบุคคลจะมีค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมโอนเงินไปและกลับจากต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สิน และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่คุณควรศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

จุดเด่น

  • เข้าถึงการลงทุนโดยตรงและเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • เปิดบัญชีลงทุนง่ายผ่านบลจ. ไทย
  • บลจ. บริการพอร์ตลงทุนให้ และมีผู้รับฝากทรัพย์สิน
  • มีค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม ไม่กระทบต่อผลตอบแทน
  • บางบลจ. มีระบบดิจิทัลรองรับ เช่น AI คัดเลือกสินทรัพย์

จุดด้อย

  • บางบลจ. อาจจะมีเงื่อนไขด้านเงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงมาก
  • อาจจะมีสินทรัพย์ เช่น หุ้นและ ETF ให้เลือกไม่มาก
  • ใช้เวลาในการโอนเงินและแปลงสกุลเงิน
  • อาจจะมีเงื่อนไขค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สินขั้นต่ำ

นี่คือ 3 ทางเลือกที่คุณจะสามารถคว้าโอกาส ‘ลงทุนต่างประเทศ’ ง่ายๆ ด้วย ETF ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดผมหวังว่า ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ ETF ทั้ง 2 ตอน จะทำให้คุณรู้จักเครื่องมือการลงทุนอย่าง ETF มากยิ่งขึ้น และเห็นโอกาสสร้างพอร์ตลงทุนที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว

มูลค่าเงินลงทุนใน ETF ทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2563 เป็นเครื่องการันตีชั้นดีว่า ETF เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลก…แล้วคุณล่ะ เริ่มต้นสร้างพอร์ตลงทุน ETF ทั่วโลกแล้วหรือยัง

]]>
1496388
WOOPS Smoothie ปั้นแบรนด์น้ำปั่นฉบับ SME สมูทตี้ขวัญใจชาวออฟฟิศย่านสาทร  https://positioningmag.com/1491903 Thu, 26 Sep 2024 08:17:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491903 หากย้อนกลับไปในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญกับการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 เทรนด์การรักษาสุขภาพทั่วโลกรวมถึงในไทย มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามมา รวมถึงเทรนด์ อาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีแบรนด์เฉพาะเกิดขึ้นมากมาย โดยขายความเป็นสินค้าคุณภาพเพื่อสุขภาพที่ดี มีการใช้วัตถุดิบจากแหล่งเฉพาะ รวมถึงความเป็น Organic เป็นต้น

สอดคล้องกับข้อมูลจาก Mintel ที่เผยว่า ผู้บริโภคชาวไทยประมาณ 35% ให้ความสำคัญกับคุณค่าต่อสุขภาพมากกว่าเรื่องรสชาติ ส่วนผู้บริโภคประมาณ 22% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องรสชาติเมื่อซื้อเครื่องดื่มมากกว่าคุณค่าต่อสุขภาพ 

จึงในระยะหลายปีให้หลังมานี้ มีร้านน้ำผักผลไม้ที่เป็นที่น่าสนใจและได้รับความนิยมมากขึ้นหลากหลายแบรนด์ อาทิ Erewhon Smoothie น้ำปั่นจากอเมริกาที่สร้างความฮือฮาเรื่องสีสันที่น่าทาน รวมถึงราคาที่แค่เริ่มต้นก็ปาไป 800 กว่าบาท แต่ธุรกิจกลับมีการเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อเนื่องทุกปี 

หรือจะเป็น Boost Juice ร้านน้ำปั่นจากออสเตรเลีย ที่กำลังฮิตมาในหมู่วัยรุ่นไทย ซึ่งแบรนด์ขายแค่น้ำผลไม้ปั่น แต่สามารถขยายสาขาไปได้กว่า 600 แห่งใน 15 ประเทศทั่วโลก ตามมาด้วย Plantiful ร้านน้ำผักผลไม้ปั่นที่ได้ฉายาว่าเป็น น้ำปั่น Erewhon สาขาไทย และล่าสุด OH JUICE! แบรนด์น้ำปั่นเพื่อสุขภาพที่แตกไลน์ธุรกิจออกมาจาก โอ้กะจู๋ ร้านอาหารสุขภาพที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เป็นต้น

(ซ้ายมือ)ไอซ์-จักรภัทร มุ่งจิตภิญโญ และ (ขวามือ) ซันนี่-วีรสรณ์ ลิ้มเจริญ เจ้าของร้าน WOOPS Smoothie (วูบส์ สมูทตี้)

ความฝันคนรุ่นใหม่ มีธุรกิจก่อนวัยเลข 3

หากมองแนวโน้มของตลาดอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ ก็ถือเป็นอีกธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องขึ้นทุกปีและน่าสนใจไม่น้อย ซึ่ง ซันนี่-วีรสรณ์ ลิ้มเจริญ และ ไอซ์-จักรภัทร มุ่งจิตภิญโญ คู่เพื่อนซี้เจ้าของร้าน WOOPS Smoothie (วูบส์ สมูทตี้) ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่เลือกลาออกจากงานประจำ แล้วเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ

ซึ่งทั้งคู่เลือกทำธุรกิจร้าน สมูทตี้ เพราะมาจากประสบการณ์ตรงที่ซันนี่เจอตอนไปออกกำลังกายเสร็จ แล้วอยากดื่มอะไรเย็นๆ คลายร้อน จึงสั่งน้ำผลไม้ปั่นไม่ใส่น้ำเชื่อม แต่ก็ไม่มีความอร่อย จึงบ่นในวงเพื่อนขำๆ ว่า ทำไมไม่ใส่ผลไม้ล้วนลงไปปั่น 

บวกกับความชอบที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน คือ เป็นคนรักสุขภาพและชื่นชอบการกินน้ำปั่นกันเป็นทุนเดิม จึงลองใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในครัวบ้านนำผลไม้มาปั่นกินกันเอง โดยไม่ใส่น้ำเชื่อมและน้ำแข็งลงไป ปรากฏว่าเครื่องดื่มก็ออกมามีรสชาติที่ดี ได้ประโยชน์แถมความหวานก็ได้จากผลไม้

โดยเมนูแรกที่ลองทำคือ มิกซ์เบอร์รี่ ที่นำเบอร์รี่มาปั่นรวมกับนมและโยเกิร์ต เมื่อลองทำให้คนรอบตัวชิมและช่วยคอมเมนต์ ช่วยกันพัฒนาสูตรกันกว่า 2-3 เดือน จนมั่นใจว่าไปต่อได้ จึงลองเปิดขายสมูทตี้ทางออนไลน์เป็นครั้งแรกในช่วงเดือน มิถุนายน 2567 โดยใช้พื้นที่ชั้น 2 ของร้านอาหารเกาหลีในซอยสาทร 11 ซึ่งเป็นธุรกิจทางบ้านซันนี่ ที่กำลังจะปิดตัวลงเป็นครัวกลางทำสมูทตี้ 

ซึ่งทั้งซันนี่และไอซ์ ก็มีความรู้ด้านธุรกิจกันมาบ้าง เพราะไอซ์เรียนจบทางด้านนิเทศศาสตร์ แต่มีประสบการณ์การทำงานในแวดวงการตลาด รวมถึงทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองคือ MARTIN HANK ซึ่งก็มีแนวโน้มไปได้สวย ผนวกกับความชอบในด้านแฟชั่นที่มีมากกว่าการนั่งทำงานประจำเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ไอซ์จึงเลือกลาออกมาโฟกัสที่แบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองเต็มตัว 

ส่วนซันนี่เรียนจบบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด และเคยทำงานในสายการตลาดให้บริษัทอุปกรณ์กีฬาแบรนด์ดัง แล้วก็เห็นว่าเพื่อนซี้อย่าง ไอซ์ ลาออกจากงานแล้วมาเป็นนายตัวเองทั้งธุรกิจก็ไปต่อได้ดี จึงอยากลองหาธุรกิจทำเป็นของตัวเองบ้าง เพราะด้วยวัยที่ใกล้เลข 3 บวกกับใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง จึงได้ปรึกษาและชักชวนนำเงินเก็บมาลงขันกันทำธุรกิจด้วยงบหลักล้านบาท 

เริ่มต้นธุรกิจ แม้จะทำการบ้านมาดี แต่ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

แม้ตอนนี้ธุรกิจน้ำปั่นจะมีแต่เจ้าใหญ่ๆ อาทิ Boost Juice Plantiful และล่าสุด OH JUICE! ที่ทุนหนากว่า แบรนด์ติดตลาด สามารถขยายสาขาเข้าไปตามศูนย์การค้าได้ แต่เทรนด์ของน้ำปั่นก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในเมืองไทย เพราะปัจจัยอย่างสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน ทำให้ผู้คนมีความต้องการในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความเย็นและสดชื่น ซึ่ง WOOPS Smoothies ที่เป็นแบรนด์น้ำปั่นที่ปั้นขึ้นด้วย SME ตัวเล็กๆ ได้เข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด

แต่ใช่ว่าธุรกิจขายสมูทตี้ออนไลน์ของทั้งคู่จะไปได้สวย เพราะในช่วงเปิดร้านแรกๆ ยอดขายดีเพราะเพื่อนๆ และคนรู้จักมาช่วยกันอุดหนุน แต่พอเวลาผ่านไปก็ได้พบความจริง ที่ทั้งคู่ก็คาดการณ์กันไว้อยู่แล้วว่ายอดขายจะหายไป เหลือเพียง 1-2 แก้วต่อวัน บางวันก็ไม่มียอดสั่งซื้อ และจำต้องทิ้งผลไม้และวัตถุดิบต่างๆ แม้จะเป็นการทิ้งต้นทุนไปเสียเปล่า แต่เพื่อความสดใหม่ของวัตถุดิบที่จะนำมาทำเครื่องดื่ม ทั้งคู่จึงยอมเฉือนเนื้อกันคนละหน่อย ไหนจะต้นทุนเรื่องค่าที่ที่ยังต้องเสียเท่าเดิม ซันนี่และไอซ์จึงกลับมานั่งวางแผนแก้ปัญหาและค่อยๆ เรียนรู้วิธีทำธุรกิจกันไป 

จนเมื่อเห็นว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาในซอยเยอะ ผนวกกับร้านอาหารเกาหลีได้ปิดตัวลงเหลือเพียงร้านและโต๊ะเก้าอี้ที่ทิ้งไว้เฉยๆ ซันนี่และไอซ์จึงลองย้ายอุปกรณ์ต่างๆ ลงมาที่ชั้นล่าง แบ่งใช้พื้นที่เล็กๆ ในร้าน แล้วปั่นน้ำขายคนที่เดินผ่านไปมา ทำให้ร้านเริ่มมีลูกค้าจากการ Walk in มากขึ้น จนคนยืนรอเต็มฟุตบาท

ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจรีโนเวตร้านเก่า เพื่อเปิดให้ลูกค้าเข้ามานั่งทานน้ำหลบร้อนกันข้างในได้ และซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ในการทำธุรกิจ เช่น เครื่องปั่นที่ใช้แบรนด์ราคาหลักพันปลายๆ ที่มีความแข็งแรงกว่าเดิม รวมถึง เครื่องสกัดเย็นราคาเกือบหมื่น (ที่ช่วยร่นระยะเวลาในการทำเครื่องดื่มได้เยอะ) มาทำเมนูน้ำผลไม้สกัดเย็น เพิ่มเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้า เป็นต้น

จนในเดือนสิงหาคม WOOPS Smoothie ที่ได้แรงบันดาลใจของชื่อมาจาก เสียงดูดน้ำตอนใกล้จะหมดแก้ว WOOPS (วูบส์) พร้อมคอนเซ็ปต์ ไม่ใส่น้ำแข็ง ไม่ใส่น้ำเชื่อม ก็ได้ฤกษ์เปิดในซอยสาทร 11 อย่างเป็นทางการ

เตรียมขยายอีก 3 สาขา จับโลเคชั่นออฟฟิศ

ด้วยความที่ร้านอยู่ในย่านสำนักงานยอดขายจึงดีในวันทำงาน โดยตลาดลูกค้าหลักๆ จึงเป็นกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ที่จะเข้ามาหาอะไรกินในซอยตอนเที่ยงๆ กลุ่มรองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวที่มาพักโรงแรมใกล้ๆ โดยราคาเครื่องดื่มของร้านมีตั้งแต่ราคา 59 บาทไปจนถึงหลักร้อยปลายๆ โดยมียอดขายเฉลี่ย 100 แก้วต่อวัน 

ซึ่งมาจากลูกค้าที่ Walk in กว่า 70% และอีก 30% เป็นลูกค้า Delivery ที่ตามมาจากช่องทาง Online ที่ทางร้านเองก็วางแผนไว้คือ การทำการตลาด ยิงโฆษณาบนแอปฯ Delivery เรียนรู้และศึกษาพฤติกรรมลูกค้า การทำคอนเทนต์ป้อนลงไปบนโซเชียลเพื่อโปรโมตร้าน การวางแผนจะใช้ KOL ให้เข้ามาช่วยทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงรสชาติเครื่องดื่ม งานอาร์ตเวิร์ก แบรนด์ดิ้งต่างๆ ที่ใช้ภายในร้าน 

ร้านเปิดมาได้ 4 เดือน ทั้งคู่ก็มีปรับแผนกันว่าจะปรับปรุงร้านใหม่ โดยจะแบ่งร้านทำธุรกิจ 2 อย่างคือ ฝั่งหนึ่งเป็นโซนร้านน้ำผลไม้ทำธุรกิจขายน้ำผลไม้ อีกโซนหนึ่งจะทำเป็นธุรกิจรับจัดดอกไม้ที่มีการร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นเพื่อนๆ กันด้วย 

ทำให้นอกจากสำนักงานใกล้ๆ จะมาสั่งดอกไม้เป็นของขวัญได้แล้ว ร้านยังมีดอกไม้เป็นตัวดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปและใช้บริการมากขึ้น รวมถึงแพลนที่จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ในการเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา โดยแบ่งเป็นหน้าร้าน 2 ที่ คือ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ กับ ตลาดละลายทรัพย์ และย่านงามวงศ์วาน ที่จะเปิดเป็นเดลิเวอรี

ทั้งนี้ ทั้งคู่มองว่าตลาดอาหารเครื่องดื่มและของกินต่างๆ เป็นตลาดที่กว้างมาก โดยเฉพาะกับเทรนด์เฮลท์ตี้ที่กระแสมาแรงกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเทรนด์เครื่องดื่มสมูทตี้ ที่มีอยู่ในตลาดในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องของการแต่งแก้ว เน้นความสวยงาม แต่ที่ร้าน WOOPS ไม่ได้เน้นความหวือหวาในเรื่องการตกแต่ง หรือเมนูแปลกแหวกกว่าใคร แต่เป็นร้านที่อยู่ในคอนเซ็ปต์ Every Day Smoothies กินง่าย ใครๆ ก็มากินกันได้ทุกวัน 

แม้ว่าความสวยงามก็ถือเป็นจุดดึงดูดลูกค้า แต่ทั้งคู่มองอยากเน้นให้ลูกค้ามาซื้อกินมากกว่า เพราะจากที่ลองเปิดร้านเป็นธุรกิจเสริม กลายเป็นว่าธุรกิจสมูทตี้สามารถสร้างรายได้ให้กับซันนี่และไอซ์ได้อย่างจริงจัง ทั้งคู่จึงไม่ได้คิดว่า ธุรกิจที่ทำจะมีการแข่งขันสูงจนร้านไม่สามารถพัฒนาหรือเติบโตต่อไปได้ในอนาคต มีแต่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ไปอีกพักใหญ่ๆ 

]]>
1491903
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 2) https://positioningmag.com/1488911 Thu, 05 Sep 2024 08:52:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488911

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ในตอนที่แล้ว ผมได้เกริ่นถึง กองทุนดัชนี และประเภทของกองทุน ETF และประเภทสินทรัพย์ที่ ETF ลงทุนไปแล้ว คุณน่าจะพอเห็นภาพว่าทุกวันนี้ นักลงทุนอย่างเราไม่ได้ถูกจำกัดสินทรัพย์ลงทุนไว้เพียงหุ้นหรือตราสารหนี้เท่านั้น  เราสามารถเลือกลงทุนในธุรกิจต่างๆ ได้ผ่านกองทุน ETF ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายทีเดียว

และทุกวันนี้ก็เกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นมาที่คุณๆ อาจจะเคยได้ยินผ่านๆ หูมาบ้าง อย่าง การลงทุนในธีมธุรกิจ (Thematic Investment) ใน ETF เรียกว่า Thematic ETF ที่ถือได้ว่า เป็นเครื่องมือการลงทุนในธีมธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว โดยเป็นการเติบโตในรูปแบบ Structural Trend ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตหรือการดำเนินธุรกิจในอนาคตข้างหน้า

ธีมของธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจปัจจุบันและส่อแววว่าจะเฉิดฉายต่อไปในอนาคตได้ ยกตัวอย่าง เช่น บทบาทของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่แทรกซึมเข้ามา เพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อของ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือห้างสรรพสินค้า จึงทำให้เกิดธีมอีคอมเมิร์ซเพื่อลงทุนในรูปแบบ ETF หากจำกันได้ในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤติ Covid-19 ในช่วงแรกของการแพร่ระบาด ผู้คนออกไปไหนไม่ได้ การซื้อของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจึงเติบโตสูงมากในปี 2563 ส่งผลให้บริษัทที่ให้บริการอีคอมเมิร์ซ หรือ ETF อย่าง ProShares Online Retail ETF (ONLN) เติบโตสูงถึง +111.37% ในปีเดียวกัน

ธุรกิจคลาวด์ (Cloud Computing) กลายเป็น Thematic ETF เช่นเดียวกัน และได้รับอานิสงส์จากวิกฤต Covid-19 ที่ทำให้ผู้คนและองค์กรทั่วโลกหันมาลงทุนกับระบบคลาวด์ เพื่อใช้ในการทำงานจากที่บ้าน เก็บไฟล์งานต่างๆ ที่ดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงความบันเทิงในบ้าน เช่น ดูภาพยนตร์ ดูซีรีส์ และฟังเพลง ในปี 2563 ETF อย่าง WisdomTree Cloud Computing Fund (WCLD) เติบโตสูงถึง +109.71%

แต่การเติบโตแบบ Structural Trend ไม่ได้วัดที่ผลตอบแทนปีใดปีหนึ่งเท่านั้น เป็นมุมมองและความเชื่อมั่นในธีมธุรกิจนั้น ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว ที่ว่ากันเป็น 10-20 ปี คุณอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณยังจะใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่อไปหรือไม่ หรือแพลตฟอร์มคลาวด์มีความจำเป็นในชีวิตและการทำงานของคุณหรือเปล่า

รวมไปถึงธีมธุรกิจอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น ฟินเทค เกมและอีสปอร์ต หุ่นยนต์และ AI จีโนมิกส์ หรือพลังงานสะอาด ถ้ามองภาพระยะยาว…ธีมธุรกิจเหล่านี้จะมีศักยภาพเติบโตหรือเข้ามามีอิทธิพลกับผู้คนทั่วโลกหรือไม่

นี่คือความเป็น ‘เมกะเทรนด์’ ของธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต  บริษัทจัดทำดัชนีอ้างอิงต่างเล็งเห็นถึง  เทรนด์การลงทุนใน Thematic ETF จึงรวบรวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับธีมนั้นๆ และจัดทำดัชนีอ้างอิงขึ้นมา โดยแต่ละบริษัทจัดการลงทุนสามารถออกแบบนโยบายได้ทั้ง Passive ETF หรือ Active ETF

คุณสามารถเลือกสร้างพอร์ตให้เติบโตไปตามอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจที่เลือก พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายสิบหลายร้อยบริษัทผ่าน ETF กองเดียว

อย่างไรก็ตามการลงทุนใน ETF รายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจ ราคาและผลตอบแทนจะมีความผันผวนมากกว่า ETF ตลาดหุ้นที่มีกรอบการลงทุนกว้างกว่าและลงทุนในหุ้นหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นคุณควรศึกษาสินทรัพย์แต่ละอุตสาหกรรมก่อนจะลงทุน เพื่อความเข้าใจในธรรมชาติของแต่ละอุตสาหกรรมหรือธีมธุรกิจ และมั่นใจในศักยภาพเติบโต พร้อมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ และธีมธุรกิจ

ETF นโยบาย
iShares Global Healthcare ETF (IXJ) มากกว่า 100 บริษัททั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare
Global X FinTech ETF (FINX) มากกว่า 50 บริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี Fintech ทั่วโลก
ETFMG Alternative Harvest ETF (MJ) มากกว่า 40 บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมการเพาะปลูกและแปรรูปกัญชา
Global X Video Games & E-sports ETF (HERO) มากกว่า 40 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับวงการเกมและจัดการแข่งขันอีสปอร์ต

 

ETF อีกประเภทที่ออกแบบมา เพื่อคว้าโอกาสลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมันดิบ เงิน หรือสินค้าการเกษตรต่างๆ เรียกว่า Commodity ETF ซึ่งจะมีนโยบายการลงทุนที่แคบกว่า ETF ประเภทอื่นๆ  เนื่องจากลงทุนเจาะจงไปที่สินค้าโภคภัณฑ์ตัวนั้นๆ ราคาและผลตอบแทนจึงมีความผันผวนสูงมาก เป็นไปตามวงรอบเศรษฐกิจ ตามอุปสงค์อุปทาน หากมีข่าวสารเชิงลบ ที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง

ยกตัวอย่างการลงทุนในทองคำ ราคาจะมีความเคลื่อนไหวไปตามวงรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง จนธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ราคาทองคำจะอยู่ไต่ระดับเป็นขาขึ้น ไปจนถึงช่วงเศรษฐกิจเริ่มถดถอย เงินเฟ้อไม่เร่งตัว ธนาคารกลางเริ่มลดดอกเบี้ย ราคาทองคำอาจจะทำนิวไฮได้ในช่วงนี้ เพราะนักลงทุนทั่วโลกจะหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ตลาดการเงินการลงทุนผันผวน ที่เรียกว่า Safe Heaven

ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจและหาความรู้ในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงรับมือกับความเสี่ยงด้านราคา การปรับพอร์ตใน Commodity ETF ตามรอบวงจรเศรษฐกิจมีความสำคัญมาก หากคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีโอกาสเร่งตัวในอนาคต ค่อยปรับพอร์ตให้น้ำหนักการลงทุนใน Commodity ETF มากขึ้น แล้วลดสัดส่วนในพอร์ตเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มปรับตัวลดลง

Commodity ETF จะรวบรวมและคัดสรรบริษัทชื่อดังที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่ ETF นั้นลงทุน และเป็น Passive ETF ที่ให้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์

ETF นโยบาย
SPDR Gold Shares (GLD) กองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีชื่อเสียงที่สุดในโลกด้วย
United States Oil Fund LP (USO) กองทุน ETF น้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองน้ำมันหลายชนิด ครอบคลุมน้ำมันทั่วโลก
Invesco DB Agriculture Fund (DBA) สินค้าการเกษตรแบบคลอบคลุม ซึ่งรวบรวมหลายประเภท เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี และทุกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร

 

จะเห็นได้ว่า การลงทุนใน Commodity ETF จะมีความแตกต่างกันในสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้น ราคาและผลตอบแทน จะมีความผันผวนและความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน ในช่วงราคาน้ำมันขาลง ราคาทองอาจจะเป็นขาขึ้นได้ แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกัน คือ เป็น Passive ETF สร้างผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง ขึ้นอยู่กับคุณว่า จะเลือกลงทุนและเชื่อมั่นในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทไหน

นอกจากนี้ยังมี ETF ที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป เช่น ETF เงินตราต่างประเทศ และ ETF คริปโทเคอร์เรนซี

อ่านมาจนถึงตอนนี้คุณอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า ‘มีวิธีในการคัดเลือก ETF ต่างประเทศเพื่อลงทุนอย่างไร’ หรือ ‘ถ้าอยากจะลงทุนใน ETF ต่างประเทศโดยตรงสามารถทำยังไงได้บ้าง’ ซึ่งในตอนต่อไป ผมจะพาคุณไปลงลึกถึงวิธีการเลือก ETF และโอกาสลงทุนต่างประเทศ และเมื่ออ่านจนจบ คุณจะตัดสินใจได้ว่า เลือกลงทุน ETF ต่างประเทศอย่างไรให้ตรงจริตของคุณ

]]>
1488911
คู่มือลงทุน ETF เปิดประตูสู่หุ้นโลก (ตอนที่ 1) https://positioningmag.com/1484702 Thu, 01 Aug 2024 10:46:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484702

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ภาวะการลงทุนในประเทศที่ไม่ได้เอื้อต่อจิตใจของนักลงทุนยามนี้ ทำให้เชื่อว่าหลายต่อหลายคนกำลังมองหาการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนกำลังใจในการลงทุนให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะการออกไปลงทุนต่างประเทศ แต่ก็อาจจะยังมีความลังเลและไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี วันนี้ผมมีเครื่องมือการลงทุนที่จะมาช่วยเพิ่มทางเลือกให้คุณได้ลองเปิดใจ และอาจจะกลายเป็นติดใจได้ไม่ยาก

เครื่องมือทางการลงทุนยอดนิยม ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก คือ ‘กองทุนดัชนี’ ที่ผมจะพาไปทำความรู้จักบทเรียนแรกๆ หรือจะเรียกว่าเป็น ETF 101 ก็ว่าได้นะครับ

กองทุนดัชนี คือ สินทรัพย์ทางการเงินในรูปแบบกองทุน มีนโยบายบริหารกองทุนแบบ Passive ที่ให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิง เช่น S&P500 DJIA NASDAQ100 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ CSI300 ของตลาดหุ้นจีน หรือ NIKKEI225 ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือ SET50 ตลาดหุ้นไทย โดยมาในรูปแบบของกองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF (Exchange Traded Fund)

กองทุนดัชนีเป็นการลงทุนระยะยาว เนื่องจากเป็น Passive Fund ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีอ้างอิง เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้น ผลตอบแทนก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อดัชนีปรับลดลง ผลตอบแทนก็จะลดลง เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น มีทั้งขาขึ้นและขาลง

ถ้าคุณลงทุนอย่างมีวินัย หมั่นเพิ่มทุนสม่ำเสมอในกองทุนดัชนี พอร์ตระยะยาว…จะมีผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นอย่างยั่งยืน เพราะเงินในพอร์ตทำงานได้อย่างเต็มที่ ผลตอบแทนสูงในช่วงขาขึ้น มักชดเชยการขาดทุนช่วงขาลงได้

Invesco บริษัทจัดการลงทุน ทำวิจัยออกมาว่า ในช่วงพฤศจิกายน 2511 ถึงธันวาคม 2563 ช่วงดัชนี S&P500 เป็นขาขึ้นต่อเนื่องนานที่สุดอยู่ที่ 1,764 วัน หรือประมาณ 58 เดือน ขณะที่ช่วงดัชนีขาลงนานที่สุดอยู่ที่ 349 วัน หรือประมาณ 11-12 เดือน ส่วนผลตอบแทนสูงสุดช่วงขาขึ้นอยู่ที่ +180.04% ช่วงขาลงอยู่ที่ -36.34%

หากลงทุนนานถึง 30 ปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 จะอยู่ที่ 10.7% ต่อปี…นี่คือ ความมหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ Passive ในตลาดหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

ทำไมการลงทุนใน ETF ถึงน่าสนใจ

ETF หรือ Exchange Traded Fund กองทุนรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้น โดยไม่ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือบริษัทจัดการลงทุน

ปัจจุบัน ETF ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพราะเป็นเครื่องมือการลงทุนที่เปิดทางให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ตราสารหนี้และหุ้นในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก

ETF

นอกจากนี้ยังมี ETF หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นธีมธุรกิจ และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งยังขยายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซี

จุดเริ่มต้นของ ETF มีนโยบายลงทุนแบบ Passive ตามดัชนีอ้างอิง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด เหมือนกับกองทุนรวมดัชนี แต่แทนที่จะประกาศราคาซื้อขายตอนสิ้นวันเหมือนกองทุนรวม นักลงทุนสามารถซื้อขาย ETF ได้ในตลาดหุ้น…เสมือนซื้อขายหุ้นนั่นเอง

ดังนั้นความน่าสนใจของ ETF คือ ซื้อง่ายขายคล่องบนกระดานหุ้น เพราะเป็นการผสมผสานคุณสมบัติของหุ้นและกองทุนรวมเข้าด้วยกัน

ปัจจุบัน ETF ขยายรูปแบบการลงทุนนอกเหนือจาก Passive ETF มาเป็น Active ETF รวมไปถึงหลักการลงทุนและนโยบายที่หลากหลายมากขึ้น บทความนี้ ผมจะพาคุณได้ไปทำความรู้จักกับ ETF ในหลากหลายแง่มุม

ข้อแตกต่างระหว่าง Passive ETF และ Active ETF

อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว Passive ETF มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีอ้างอิงที่ ETF กองนั้นระบุไว้ใน Fact Sheet (แผ่นข้อมูล) ปัจจุบันมีดัชนีอ้างอิงหลายร้อยหลายพัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนีผลตอบแทนตราสารหนี้และดัชนีตลาดหุ้นในระดับประเทศ ภูมิภาค และทั่วโลก นอกจากนี้หลายๆ สถาบันการเงินยังออกดัชนีหุ้นรายอุตสาหกรรม ดัชนีหุ้นธีมการลงทุน และดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์

หากคุณเลือกลงทุนใน Passive ETF คุณต้องมั่นใจว่า ตลาดการเงินการลงทุนและดัชนีอ้างอิงมีประสิทธิภาพที่จะสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว และความเสี่ยง คือ ตลาดหุ้นเป็นช่วงขาลง ผลตอบแทนจะน้อยลงตามกัน คุณทำเพียงเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือ DCA (Dollar Cost Averaging) แล้วปล่อยให้เงินทำงาน สร้างมูลค่าให้เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ตามดัชนีอ้างอิง

Passive ETF จะมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย (Total Expense Ratio) ที่ต่ำมาก เพราะผู้จัดการกองทุนจะลงทุนตามดัชนีอ้างอิง ไม่ต้องติดตามดูกราฟราคาสินทรัพย์และปรับพอร์ตตลอดเวลา โดยคุณสามารถตรวจสอบได้ว่า Passive ETF ที่สนใจมี Total Expense Ratio เท่าไร ลงทุนอยู่ในสินทรัพย์อะไรบ้าง

ตัวอย่าง Passive ETF

  • Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) อ้างอิงจากดัชนี CRSP US Total Market Index ที่รวมหุ้นทุกขนาดมาร์เก็ตแคปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
  • ThaiDex SET50 Exchange Traded (TDEX) อ้างอิงจากดัชนี SET50 ที่รวมหุ้น 50 ตัวแรกตามขนาดมาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทย
  • VanEck Vectors Vietnam ETF (VNM) อ้างอิงจากดัชนี MVIS Vietnam Index ที่ลงทุนประมาณ 30 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปอย่างน้อย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มีรายได้หลักมาจากเวียดนาม

ในปี 2563 มูลค่า AUM (Assets Under Management) ของ ETF ทั่วโลกอยู่ที่ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างที่ได้เกริ่นมาแล้วว่า ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีวิวัฒนาการมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้เป็น Passive ETF เพียงอย่างเดียว แต่มี Active ETF เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนทั่วโลก

ETF

สำหรับ Active ETF มีนโยบายลงทุนให้ผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง ดังนั้นผู้จัดการกองทุนจะจัดพอร์ตตามนโยบายที่ได้ระบุไว้ใน Fact Sheet หากคุณเลือก ETF ประเภทนี้ คุณต้องมีแนวคิดที่ว่า ตลาดการเงินการลงทุนและดัชนีอ้างอิงไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องเลือกเครื่องมือการลงทุนที่จะทำผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิง และความเสี่ยง คือ โอกาสที่ Active ETF จะมีผลตอบแทนแพ้ดัชนีอ้างอิง ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เหมือนกับกองทุนรวมแบบ Active Fund (การบริหารจัดการเชิงรุก) ส่งผลให้ Active ETF จะมี Total Expense Ratio ที่สูงกว่า เพราะผู้จัดการกองทุนต้องติดตามสินทรัพย์ที่ลงทุนและปรับพอร์ต ETF ตลอดเวลา รวมไปถึงการซื้อขายสินทรัพย์ถี่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง

ตัวอย่าง Active ETF

  • ARK Innovation ETF (ARKK) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนบริษัทนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาดิสรัปรูปแบบธุรกิจเดิม และมีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจในอนาคต เช่น เทคโนโลยี AI เทคโนโลยี DNA เทคโนโลยีคลาวด์ และฟินเทค
  • ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่พัฒนาการรักษาให้ลึกลงไปในระดับพันธุกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงหรือโรคที่รักษายาก
  • First Trust Preferred Securities & Income ETF (FPE) เป็น ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นหุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้แปลงสภาพกว่า 80% เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงในความผันผวนที่ต่ำ และรายได้ที่มั่นคงให้กับนักลงทุน

รูปแบบการลงทุนของ Passive ETF และ Active ETF จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องนโยบายการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวัง การบริหารจัดการพอร์ต และค่าธรรมเนียม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจกับ Active ETF เช่นเดียวกัน ด้วยมูลค่า AUM ทั่วโลกในสัดส่วน 2.9% อยู่ที่ 303,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2563

ในความแตกต่างนี้ อยู่ที่ตัวคุณ ว่ามีเป้าหมายใช้เครื่องมือการลงทุนรูปแบบไหน ที่ตรงกับความต้องการและจริตการลงทุนของคุณ หากต้องการลงทุน Passive ETF เพื่อเติบโตในระยะยาวไปตามดัชนีอ้างอิงด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ หากต้องการลงทุน Active ETF เพื่อผลตอบแทนชนะดัชนี ด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

ประเภทสินทรัพย์ที่ ETF ลงทุน

ปัจจุบันมี ETF อยู่เกือบ 8,000 กองทั่วโลก กลายเป็นเครื่องมือการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาลงทุนเรื่อยๆ เพราะเปรียบเสมือนหุ้นบนกระดานซื้อขาย และได้กระจายความเสี่ยงเพียงลงทุนแค่ ETF กองเดียว ทำให้สินทรัพย์ที่ ETF มีมากมายหลายประเภท ที่เป็นทางเลือกให้กับคุณ

ผมได้รวบรวมสินทรัพย์ยอดนิยมที่ ETF เข้าไปลงทุนมากที่สุดได้แก่ หุ้นและตราสารหนี้ ทำให้มูลค่า AUM ของสินทรัพย์ทั้ง 2 ตัวมีขนาดใหญ่มาก ETF จึงมีความแข็งแกร่งในแง่ของโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลาย และจัดพอร์ตลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีมากที่สุด จึงมีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้น

ETF

นโยบาย

Vanguard Total Stock Market ETF (VTI)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO)

หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา

ตัวอย่าง ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้

ETF

นโยบาย

iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG)

พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ

iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)

หุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังมี ETF ที่ลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ ที่เรียกว่า Sector ETF เพื่อเปิดโอกาสลงทุนในหุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ บางช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นขาลงหรือเกิดวิกฤต จะมีบางอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่เจอผลกระทบเลย จึงยังมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

ETF

Sector ETF มีนโยบายลงทุนได้ทั้ง Passive และ Active ขึ้นอยู่กับบริษัทจัดการลงทุน โดยจะใช้ดัชนีอ้างอิงและตะกร้าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจตามเกณฑ์ Global Industry Classification Standard (GICS) จัดทำโดยบริษัทจัดทำดัชนีตลาดอย่าง MSCI และ S&P แบ่งเป็น 4 ลำดับชั้นจากยอดสู่ฐานของสามเหลี่ยม ได้แก่

  • 11 Sectors (ภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 24 Industry Groups (กลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 68 Industries (อุตสาหกรรมหรือธุรกิจ)
  • 157 Sub-industries (อุตสาหกรรมหรือธุรกิจย่อย)

ยกตัวอย่างภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ เช่น พลังงาน (Energy) สินค้าจำเป็น (Consumer Staples) การเงิน (Financials) หรือบริการสุขภาพ (Healthcare)

จริงๆ แล้ว ทุกวันนี้มีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ที่คุณสามารถเข้าไปเลือกลงทุนได้ผ่าน ETF ซึ่งในครั้งหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงธุรกิจที่น่าสนใจ และเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ผมหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นทางเลือกสำหรับมือใหม่ที่ต้องการออกไปลงทุนต่างประเทศ ได้ศึกษาและพิจารณาโอกาสใหม่ๆ ที่จะให้พอร์ตของคุณเติบโตได้ยั่งยืนไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม   

]]>
1484702
การเปลี่ยนแปลงด้วย AI: ข้อคิดจากการมาเยือนประเทศไทยของ Prof. Andrew Ng https://positioningmag.com/1484687 Thu, 01 Aug 2024 10:43:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484687

บทความโดยณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES)

เมื่อ Prof. Andrew Ng มาเยือนประเทศไทย การบรรยายของเขานับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของประเทศไทย ระดับปรมาจารย์ด้าน AI ระดับโลกมาทั้งที พิ้งค์ขอมาสรุปเนื้อหาสำคัญให้ฟังแบบเข้าใจง่าย พร้อมทั้งเชื่อมโยงตัวอย่างจริงจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งเป็น 5 ด้านดังนี้

1. ความสำคัญและบทบาทของ AI

AI เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่มีผลต่อโลกเทียบเท่าการกำเนิดของไฟฟ้าเมื่อร้อยปีที่แล้ว ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงและยกระดับการดำเนินชีวิตของเรา มันไม่ใช่เครื่องมือ แต่เหมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนพัฒนาการ และนวัตกรรมของโลกในอนาคตทั้งหมด เราควรมอง AI เป็นกลุ่มเครื่องมือที่รวมถึง Supervised, Unsupervised, Reinforcement และ Generative AI

Prof. Andrew อธิบายการฝึกสอนโมเดล Supervised Learning ที่ค้นหาความสัมพันธ์ ระหว่าง Input และ Output ในช่วงปี 2010-2020 เป็นยุคของ Large Scale Supervised Learning ซึ่งข้อมูลและโมเดลขนาดใหญ่ช่วยให้ประสิทธิภาพดีขึ้น ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เราเข้าสู่ยุคของ Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ๆ เช่น ภาษา รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

Supervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ใช้ข้อมูลที่มีการติดป้ายกำกับ (labeled data) กล่าวคือ ข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวอย่างของอินพุต (input) และเอาต์พุต (output) ที่ถูกต้อง โมเดลจะเรียนรู้การคาดการณ์จากข้อมูลเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น การจำแนกภาพ (Image Classification) ที่โมเดลจะได้รับภาพพร้อมป้ายกำกับ เช่น ภาพแมวหรือสุนัข จากนั้นโมเดลจะเรียนรู้ที่จะจำแนกภาพใหม่เป็นแมวหรือสุนัขตามข้อมูลที่เรียนรู้มา

Unsupervised Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่ไม่มีป้ายกำกับในข้อมูล กล่าวคือ ข้อมูลไม่มีเอาต์พุตที่ถูกต้อง โมเดลจะต้องหาความสัมพันธ์หรือโครงสร้างในข้อมูลด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น การจัดกลุ่มข้อมูล (Clustering) ที่โมเดลจะพยายามหากลุ่มของข้อมูลที่คล้ายคลึงกัน โดยไม่มีการกำหนดหมวดหมู่ล่วงหน้า การใช้ Unsupervised Learning มักจะใช้ในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจและค้นพบโครงสร้างที่ซับซ้อนในข้อมูล

Reinforcement Learning คือรูปแบบของการเรียนรู้ที่โมเดลจะเรียนรู้ผ่านการทดลองและข้อผิดพลาด โดยโมเดลจะได้รับรางวัล (rewards) หรือบทลงโทษ (punishments) จากการกระทำในสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเล่นเกมหรือการควบคุมหุ่นยนต์ โมเดลจะพยายามหานโยบาย (policy) ที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มผลตอบแทนรวมในระยะยาว การเรียนรู้แบบนี้มักใช้ในปัญหาที่ต้องการการตัดสินใจในแต่ละขั้นตอนและผลของการตัดสินใจมีผลต่ออนาคต

2. การใช้งานและผลกระทบของ AI

Generative AI ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงโลก แต่ยังเปลี่ยนวิธีการที่มนุษย์ทำงานร่วมกับ AI

ตัวอย่าง บริษัท Associated Press ใช้ AI เขียนข่าวทางการเงินและกีฬาในปี 2023 หรือ Amazon Alexa ถูกใช้ในบ้านกว่า 200 ล้านหลังทั่วโลกในปี 2023

จากการเขียนโค้ดจำนวนมาก กลายเป็นการเขียนPrompt” ภาษาธรรมชาติ ทำให้การใช้งาน AI เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน และ การเขียน Prompt ช่วยลดเวลาในการพัฒนา Software Applications จากหลายเดือนเหลือไม่กี่สัปดาห์ หรือชั่วโมง

ตัวอย่าง GitHub Copilot ช่วยนักพัฒนาเขียนโค้ดได้เร็วขึ้น 55% ตามรายงานของ GitHub ในปี 2022

การสร้าง Software ในยุค AI ประกอบด้วยการพัฒนา Prompt และการนำไปใช้งาน

3. AI ในธุรกิจและการพัฒนา

AI Stack ประกอบด้วย Hardware, Cloud, AI Tools และ Applications โดยมักเน้นที่ AI Tools Layer อย่าง OpenAI โดยมีบริษัทที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ใน App Layers เช่น Workera, Workhelix, NETAIL

ตัวอย่าง ธนาคารกสิกรไทยใช้ AI Chatbot “K PLUS Buddy” ให้บริการลูกค้าในปี 2022 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายรังสีทรวงอกเพื่อคัดกรองวัณโรคปอด ในปี 2021

การสร้าง AI Startup ใน Silicon Valley มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ Idea + Validate, Recruit CEO, Build, Pre-Seed Growth และ Scale โดยการเลือก CEO ที่ช่วยสร้าง MVP ต้องเป็น Technical CEO ที่มีความเข้าใจทั้งเทคนิคและธุรกิจ AI ช่วยลดต้นทุนและสร้างการเติบโตได้พร้อมกัน โดย Knowledge Workers จะได้รับผลกระทบจาก Generative AI มากที่สุด

MVP หรือ Minimum Viable Product คือผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันและคุณสมบัติพื้นฐานที่สุดที่สามารถนำเสนอคุณค่าและแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้ได้ ด้วยการสร้าง MVP สตาร์ทอัพสามารถทดสอบแนวคิดทางธุรกิจและรับคำติชมจากผู้ใช้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนมากเกินไป

4. อนาคตและความท้าทายของ AI

AI จะเข้ามาแทนที่งานบางส่วน โดยจะอัตโนมัติเฉพาะงานบางอย่างไม่ใช่ทั้งหมด สถิติแสดงว่าประมาณ 20-30% ของงานปัจจุบันจะถูก Automate ด้วย AI ส่วนที่เหลือ 70-80% ยังต้องพึ่งพามนุษย์ เราควรกำกับการใช้งาน  Applications มากกว่าตัวเทคโนโลยี เช่น การควบคุม Fake News บน Social Media และควรมีนโยบายปกป้อง Open-Source AI หลายประเทศมีบริษัทใหญ่ๆ ที่พยายามจำกัดการใช้งาน Open-Source ด้วยเหตุผลด้าน “Safety” AI Application ที่มีโอกาสเติบโตในประเทศไทย ได้แก่ Healthcare, Tourism, และ Agriculture

5. ข้อคิดและคำแนะนำจาก Prof. Andrew Ng

AI จะมีบทบาทในการลดและแก้ปัญหา Climate Change ในอนาคต การเขียนโค้ดยังคงมีความสำคัญในอนาคต เพราะเป็นทักษะที่สร้างความเข้าใจใน AI การเรียนเขียนโค้ดง่ายขึ้นในยุค Generative AI เนื่องจากมีโมเดลภาษาที่ช่วยสอนทุกเรื่อง การมี Community สำคัญต่อการยกระดับความรู้ด้าน AI ในประเทศไทย Andrew ปิดท้ายว่าผมอยากให้ทุกคนเรียนรู้และเติบโตให้เก่งกว่าผม

แนะนำ Prof. Andrew Ng

Prof. Andrew Ng เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ Stanford University และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Coursera ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Baidu และหัวหน้าฝ่ายปัญญาประดิษฐ์ของ Google

Prof. Andrew Ng มีผลงานวิจัยที่สำคัญหลายประการในด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาระบบที่สามารถเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมากๆ เขายังเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ฟรี ที่นำเสนอความรู้ด้าน AI และ Machine Learning แก่ผู้เรียนทั่วโลก

นอกจากนี้ Andrew ยังเป็นนักพูดที่มีความสามารถในการอธิบายแนวคิดที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและเป็นที่เคารพนับถือในวงการ AI และเทคโนโลยี นอกจากบทบาทในวงการศึกษาและวิจัยแล้ว เขายังมีบทบาทในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้าน AI ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นถึงการนำ AI มาใช้จริงในประเทศไทยและทั่วโลก แนวโน้มการพัฒนาและการใช้งาน AI ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เราควรติดตามและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ เนื่องจากเทคโนโลยี AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่ง หวังว่าคำแนะนำและข้อคิดจาก Prof. Andrew Ng จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับ AI และเทคโนโลยีในอนาคต

]]>
1484687
อารมณ์-ค่าธรรมเนียม ต้นทุนลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม https://positioningmag.com/1481143 Thu, 04 Jul 2024 03:47:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481143

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

“The Greatest Enemies of Equity investors are Expenses and Emotions”
“ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของนักลงทุนในหุ้น ก็คือค่าใช้จ่ายและอารมณ์”
วลีของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไอดอลนักลงทุนสายเน้นคุณค่าหรือ VI ของใครหลายคนเคยว่าไว้

คุณเองอาจจะคิดว่าในการลงทุนมีแค่ ไม่ ‘กำไร’ ก็ ‘ขาดทุน’ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังกว่าจะทำให้คุณมีกำไรหรือขาดทุนมีอยู่มากมาย

“ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” คือ 2 สาเหตุหลัก มีส่วนสำคัญให้นักลงทุนทำผลตอบแทนได้แย่ลงกว่าเดิม บางคนอาจขาดทุนหนักจนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้ด้วยซ้ำ

เรามาเริ่มกันที่เรื่องใกล้ตัวอย่างเรื่องอารมณ์กันก่อนนะครับ

อารมณ์ VS การลงทุน

หากคุณลงทุนด้วยตัวเอง ย่อมรู้ว่าการเป็นนักลงทุนคุณภาพต้องใช้ทักษะวิเคราะห์เชิงเหตุและผลสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์เชิงตัวเลข วิเคราะห์เชิงคุณภาพ การคาดการณ์ความน่าจะเป็นในอนาคต และอื่นๆ การจะเป็นนักลงทุนที่ดีจึงต้องติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุนในหุ้นที่เราลงทุนอยู่อย่างใกล้ชิด

ยิ่งใกล้ชิดข้อมูลอาจจะยิ่งได้เปรียบ เมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ในโลกที่ข้อมูลกำลังล้นโลก ไม่ต่างจากขยะจากครัวเรือน เราจะแยกแยะอย่างไรว่า เรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหน ‘ปั่น’

แม้ว่าคนที่มีทักษะในการวิเคราะห์หุ้นมากกว่า ก็จะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนดีกว่า แต่เรื่องทักษะ แค่มีความเพียรก็ไล่ตามกันทันได้ แต่สติเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณมองทะลุตลาดที่ขมุกขมัวไปได้  ซึ่งเราก็ได้เห็นกันแล้วว่าการใช้อารมณ์ในการลงทุน ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีข่าวที่สร้าง Panic ให้นักลงทุนจนตลาดเหวี่ยงขึ้นลงจนยากจะทำใจว่าขาลงจะสิ้นสุดที่เท่าไร

มาดูกันครับนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นตาม “อารมณ์” อย่างเดียวโดยไม่มีการวิเคราะห์ใดๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ข้อผิดพลาดของการลงทุนโดยใช้ “อารมณ์”

  • ซื้อหุ้นตามข่าว ตามเพื่อนบอก โดยไม่เคยรู้จักธุรกิจจริงๆ
  • กระจายความเสี่ยงไม่เป็น ทำให้พอร์ตขาดทุนหนัก
  • หุ้นกำไรนิดหน่อยขาย หุ้นขาดทุนเยอะๆ ยังเก็บไว้
  • หุ้นที่กำไร กำไรนิดเดียว หุ้นที่ขาดทุน ขาดทุนหนักมาก
  • ไม่กล้าลงทุนตอนหุ้นดีๆ ราคาลดลงมา เพราะกลัวราคาจะลงมาอีก
  • รอซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้ว เพราะกลัวจะขึ้นไปอีก
  • และอื่นๆ

ข้อผิดพลาดเหล่านี้เอง ที่ส่งผลให้ผลตอบแทนของนักลงทุนกลุ่มนี้ ได้ผลตอยแทนต่ำกว่าตลาด หรือบางคนอาจขาดทุนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้เลยครับ

ถ้าลองประมาณตัวเลขแบบง่ายๆ ในมุมมองของผมเอง ก็จะขอแบ่งนักลงทุนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 50 คน หรือ 25% ตามทักษะการลงทุน โดยกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่มีทักษะการลงทุนสูงสุด และ กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่ใช้อารมณ์ในการลงทุนมากสุด ผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มจะเป็นดังต่อไปนี้

  • กลุ่มที่ 1 : ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 2 : ทำผลตอบแทนได้ 6% – 12% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 3 : ทำผลตอบแทนได้ 0% – 6% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 4 : ขาดทุน

กลุ่มที่ 1 ที่ใช้ช่วงผลตอบแทนเป็น 12% – 20% เพราะคือ กลุ่มที่ชนะตลาดหุ้นไทยได้ เลยต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 11.87% และให้สูงสุดที่ 20% ต่อปี เทียบเท่ากับสถิติที่ปู่ Warren Buffett ทำได้ครับ (ต้องเป็นคนที่ลงทุนเก่งมากๆ เลยทีเดียว ถึงจะทำได้เท่ากับคุณปู่ครับ)

ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าคุณไม่ได้มีทักษะการลงทุนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การพยายามเข้ามาซื้อขายหุ้นด้วยตนเอง มากๆ คือความเสี่ยงอย่างที่สุด เพราะจะมีคนที่ลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหุ้นอยู่แค่ 25% เท่านั้น อีก 75% ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าการนั่งอยู่เฉยๆ และลงทุนทั้งตลาดเสียอีกครับ

ถัดจากเรื่องอารมณ์ ผมจะพาไปดูเรื่องค่าใช้จ่ายกันบ้างครับ

ค่าใช้จ่าย VS การลงทุน

เพราะในการลงทุนต้องมี “ต้นทุน” แฝงอยู่ด้วยเสมอ นั้นก็คือ ค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทหลักทรัพย์ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 0.25% ของมูลค่าการซื้อหรือขายแต่ละครั้ง

ดังนั้นถ้าในแต่ละปี มีการซื้อขายหุ้น 4 รอบ (8 ครั้ง) ก็จะต้องเสีย ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นราวๆ 2% แล้วครับ ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้แค่ 12% ต่อปี พอหักค่าคอมมิชชั่นตรงนี้ไปแล้ว ผลตอบแทนก็จะเหลือแค่ 10% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งทำให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นทันทีครับ

หลายๆ คนที่มีการเก็งกำไรกันมากๆ อาจจะซื้อขายหุ้นกันปีนึงอย่างต่ำเป็น 10 รอบ คิดเป็นค่าคอมมิชชั่นราวๆ 5% เลยทีเดียว เท่ากับว่าถ้าซื้อขายบ่อยขนาดนี้ ต้องทำผลตอบแทนได้ประมาณ 17% ต่อปี ก่อนหักค่าคอมมิชชั่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสุทธิชนะตลาดหุ้น ที่ 12% ต่อปี

เมื่อรวมเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” เข้าไปด้วย นักลงทุนกลุ่มที่ 1 ที่ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี จำนวน 50 คนนั้น หักกับค่าคอมมิชชั่นเหล่านี้ไปแล้ว ก็จะเหลือแค่ประมาณ 20 คน ที่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นครับ

ทีนี้คุณลองนึกภาพตามผมนะครับ ในขณะที่เรากำลังเก็งกำไร เราต้องลงทุนอยู่บน  ‘อารมณ์’ และ ‘ค่าใช้จ่าย’ ยิ่งซื้อขายบ่อย ต้นทุนเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วยเสมอ

สุดท้ายแล้วนักลงทุนที่เลือกวิถีการเก็งกำไรก็จะยิ่งมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนในที่สุดก็ขาดทุน  เทียบกับ การถือครองหุ้นอยู่เฉยๆ ตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ยังจะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าคนที่พยายามจะซื้อขายหุ้นกันไปมา

ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยครับ เพราะผู้จัดการกองทุนเอง ก็ไม่สามารถหลีกหนีหลักการเรื่องอารมณ์ และค่าใช้จ่ายได้ครับ หากนักลงทุนสายเก็งกำไรมีผู้จัดการกองทุนที่พยายามแข่งขันกันทำผลตอบแทน จึงต้องซื้อๆ ขายๆ หุ้นกันเอง สุดท้ายแล้ว สถิติก็จะออกมาแบบเดียวกันครับ หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกส่วนนึงครับ

แล้วยิ่งกองทุนมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ยิ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่แตกต่างกันด้วยครับ

ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ

สมมติว่าคุณลงทุนเริ่มต้น 10,000 บาท ผ่านไปประมาณ 50 ปี เทียบกัน 2 พอร์ตที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่างกัน พอร์ตแรกหากเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิหักค่าธรรมเนียม 0.5% ต่อปี มูลค่าของพอร์ตสุทธิจะอยู่ที่ 1,859,487.30 บาท แต่มูลค่าของพอร์ตที่ 2 ที่ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.5% ต่อปีจะมีมูลค่าสุทธิของพอร์ตอยู่ที่ 1,165,333.93 บาท

และยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมก็จะมีผลกับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว​ เชื่อว่าคุณคงกำลังฝึกที่จะตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ผมแนะนำว่าให้ตั้งกฏเหล็กให้กับตัวเอง ที่นิยมใช้กันเช่นการตั้งตัวเลขไว้ที่ 10% หากราคาหุ้นขึ้นถึงระดับดังกล่าว ก็ให้ขายออกเสีย แล้วไม่ต้องไปสนใจราคาหลังจากนั้นครับ หรือหากยังทำไม่ได้ก็ให้ AI ลงทุนให้ครับ เพราะ AI ไร้อารมณ์​เสมอครับ ให้ AI คอยเลือกธุรกิจที่ดีและปล่อยให้เงินลงทุนเติบโตไปตามการเติบโตของธุรกิจและปันผล มีการกระจายความเสี่ยง และการปรับพอร์ตอย่างเป็นระบบตามหลักการให้เรียบร้อย สะดวกสบายกว่าเยอะครับ

ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น หากคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แทนการเก็งกำไร ก็อาจจะลดต้นทุนส่วนนี้ไปได้ หรือหากเป็นกองทุนที่มีค่าบริหารจัดการ คุณควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำไว้ก่อน เช่นกองทุนดัชนี หรือลงทุนกับ Jitta Wealth เองก็คิดค่าบริหารจัดการที่ต่ำมากเพียง 0.5% เท่านั้นครับ

การลงทุนในตลาดหุ้นสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ อยู่แล้ว ขอเพียงแค่อดทนกับความผันผวนระยะสั้นและถือครองการลงทุนไปได้เรื่อย ในทางกลับกันการเก็งกำไรในตลาดหุ้น เป็นเกมศูนย์ (Zero Sum Game) ​​ถ้ามีคนนึงขายหุ้น ก็ต้องมีคนนึงซื้อหุ้น และเมื่อมีคนนึงได้กำไร อีกคนก็ต้องขาดทุนเสมอครับ

ดังนั้นหากคุณสามารถตัด “ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” ออกไปได้จากการลงทุนได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำผล    ตอบแทนระยะยาวได้เหนือกว่านักลงทุนคนอื่นๆ ไปก็มีสูงมากขึ้นเท่านั้นครับ

]]>
1481143