คิงส์คอลเลจ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 04 Nov 2020 05:38:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเทอมแรก “คิงส์คอลเลจ” รร. นานาชาติที่ “สหพัฒน์” ร่วมหุ้น ผู้ปกครองดีมานด์สูงเกินคาด https://positioningmag.com/1304275 Tue, 03 Nov 2020 11:24:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304275
  • ชมบรรยากาศโรงเรียนนานาชาติ “คิงส์คอลเลจ” กรุงเทพฯ เปิดเทอมแรก ผู้ปกครองพาบุตรหลานสมัครเรียนสูงเกินคาด ปัจจุบันรับนักเรียนแล้วกว่า 300 คน จากเป้าหมาย 100 คน
  • โรงเรียนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นจาก ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ เล็งเห็นถึงระบบโรงเรียนนานาชาติในไทยยังสามารถพัฒนาให้ตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น และสุดท้ายสามารถดึงเครือสหพัฒน์ร่วมถือหุ้นกว่า 10% รวมถึงเป็นผู้ให้เช่าที่ดินกลางเมืองย่านพระราม 3 ทำเลที่ตั้งของโรงเรียน
  • มองกระแสผู้ปกครองไทยมีดีมานด์ต่อโรงเรียนนานาชาติสูงมาก โดยปัจจัยสถานการณ์ COVID-19 ระบาดมีส่วนทำให้ผู้ปกครองที่เตรียมส่งลูกเรียนมัธยมในต่างประเทศ กลับมาพิจารณาการเรียนในไทย โดยโรงเรียนหลักสูตรอังกฤษเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงหลัง
  • โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ หรือ King’s College International School Bangkok เปิดเทอมแรกแล้ว! โดยโรงเรียนแห่งนี้เป็นสาขาของ King’s College School, Wimbledon ประเทศอังกฤษ โรงเรียนชั้นนำที่สามารถส่งนักเรียนถึง 25% เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Oxford และ Cambridge ได้

    สาขาที่ประเทศไทยนั้นเป็นสาขานอกประเทศอังกฤษสาขาที่ 3 ของโลก (2 สาขาก่อนหน้านี้อยู่ในเมืองอู๋ซีและหางโจว ประเทศจีน) เริ่มต้นโครงการโดย ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหาร โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ ซึ่งพบประสบการณ์ตรงหลังจากลูกชายย้ายโรงเรียนจากโรงเรียนนานาชาติในไทยไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ทำให้เล็งเห็นว่าโรงเรียนนานาชาติในไทยยังสามารถยกระดับการศึกษาให้ดีขึ้นอีก เพื่อเทียบเคียงกับในอังกฤษได้

    โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ

    ในที่สุด ดร.สาคร สามารถติดต่อขอนำแบรนด์และระบบจาก King’s College School, Wimbledon มาเปิดการเรียนการสอนในไทยได้สำเร็จ พร้อมประสานเช่าที่ดินขนาด 22.5 ไร่ ย่านพระราม 3 ของ “เครือสหพัฒน์” เป็นทำเลก่อสร้างโรงเรียน และสหพัฒน์ได้เข้าร่วมถือหุ้นด้วยประมาณกว่า 10% โครงการนี้ใช้งบลงทุนทั้งหมด 4,000 ล้านบาท ก่อนจะเปิดเรียนวันแรกไปเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563

     

    ดีมานด์สูงเกินคาด รับนักเรียนปีแรกกว่า 300 คน

    ดร.สาครกล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ชั้น Pre-nursery ถึง Year 10 ก่อนจะทยอยเปิดเพิ่มจนถึง Year 13 ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าในปีการศึกษา 2565 จะสามารถเปิดเพิ่มถึง Year 12 ได้หรือไม่ และจะมีการลงทุนก่อสร้างตึกเรียนเพิ่มเติมรองรับนักเรียน

    ออกแบบสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการใช้ชีวิตนอกห้องเรียน

    สำหรับปีการศึกษาแรกนี้ มีนักเรียนเข้าเรียนแล้วมากกว่า 300 คน ถือว่าเหนือความคาดหมาย เพราะเดิมมองว่าปีแรกน่าจะมีนักเรียนราว 100 คนเท่านั้น และกว่า 300 คนที่ได้เข้าเรียนนี้ยังต้องผ่านการสอบแข่งขันและสอบสัมภาษณ์ด้วย ไม่สามารถรับได้ทุกคน ทำให้เห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองยุคนี้มีความต้องการการศึกษาในระบบนานาชาติสูงมาก

    “ดีมานด์โรงเรียนนานาชาติสูงกว่าซัพพลายมาตลอด ระยะหลังมีโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่เยอะมากก็จริง แต่ดีมานด์ก็ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีซัพพลายไม่เพียงพอ” ดร.สาครกล่าว

     

    ทัศนคติใหม่ สอนให้เด็กมีเป้าหมายชีวิตและดีรอบด้าน

    การมีโรงเรียนนานาชาติใหม่ๆ นั้นมักจะมาตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างออกไปของผู้ปกครอง และวิธีคิดใหม่ในการให้การศึกษายุคนี้

    ดร.สาครเล่าย้อนให้ฟังว่า ในอดีตยุคแรกของการตั้งโรงเรียนนานาชาติที่ประเทศไทย จุดแข็งสำคัญคือเรื่อง “ภาษา”
    ที่ทำให้ใครๆ ต้องการส่งลูกหลานเข้าเรียน ต่อมาพัฒนามาเป็นเรื่องของ “โอกาสทางการศึกษา” เพราะโรงเรียนจะปูทางให้เด็กมีโอกาสมากกว่าเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

    ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ของ “คิงส์คอลเลจ” กรุงเทพฯ ก่อสร้างตามมาตรฐานความปลอดภัยของอังกฤษ

    แต่ยุคนี้ ดร.สาครมองว่า สังคมโลกรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองไทยมองการศึกษาอีกแบบหนึ่ง โรงเรียนนานาชาติไม่ได้ตอบโจทย์แค่เรื่องภาษากับโอกาส แต่ต้องสร้างให้เด็ก “มีเป้าหมายชีวิตของตัวเองและดีรอบด้าน” คือไม่ใช่แค่เรียนเก่ง แต่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร มีทักษะอื่นในชีวิต และมีจิตใจที่ดี

    โดยดร.สาครมองว่าปรัชญาการให้การศึกษาของ King’s College School ซึ่งโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ ถอดแบบมาใช้ด้วยนั้น สามารถตอบโจทย์นี้ได้ เพราะโรงเรียนจะให้คุณค่า 3 เสาหลัก ทั้งด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ หลักสูตรร่วมผสมส่งเสริมกิจกรรมอื่น และดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด พร้อมกับส่งเสริมให้เป็นคนที่ดีผ่านคุณค่าเรื่องกิริยามารยาท จิตใจเมตตา และใฝ่ปัญญา

    สระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก เป็นสระในร่มที่ยังมีช่องแสงเพิ่มความอุ่นให้น้ำในสระ

    “โรงเรียนมีเรื่องความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ไม่ได้ต้องการเป็นโรงเรียนที่กลายเป็นโรงงานฝึกทำข้อสอบ แต่ต้องการส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมอื่นด้วยเพื่อให้เป็นคนที่เติบโตมาแบบรอบด้าน รวมถึงฝึกด้านจิตใจ ทำให้เรามี House System เพื่อสร้างสัมพันธ์พี่น้อง และอบรมเรื่องมารยาทนอบน้อม เคารพผู้ใหญ่ ยังมีความเป็นไทย ที่นี่เด็กยังรู้จักการไหว้ทุกคน” ดร.สาครกล่าว

     

    COVID-19 มีส่วนทำให้พ่อแม่เลือกโรงเรียนในไทยมากขึ้น

    ด้านผลกระทบจาก COVID-19 ต่อโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ ดร.สาครกล่าวว่า มีผลกับการนำครูและบุคลากรจากต่างประเทศเข้ามาในไทย มีความท้าทายสูงขึ้น แต่สุดท้ายสามารถนำคุณครูเข้ามาได้ตามเป้า ปัจจุบัน โรงเรียนทำการสอนด้วยครูต่างชาติทั้งหมด (ยกเว้นคุณครูภาษาไทย) โดยครูหลายท่านเป็นครูระดับ Tier 1 จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ซึ่งโรงเรียนทุ่มทุนจ้างในอัตรารายได้เดียวกับที่ประเทศอังกฤษ เพราะครูคือหัวใจสำคัญที่สุดของระบบการศึกษา

    ส่วนผลต่อดีมานด์ของผู้ปกครอง ในเชิงเศรษฐกิจนั้นมีผลกระทบกับรายได้ของผู้ปกครองกลุ่มนี้น้อยมาก และยิ่งส่งให้ดีมานด์สูงขึ้นด้วย เพราะในระดับมัธยม ปกติผู้ปกครองมักจะส่งลูกหลานเข้าเรียนในต่างประเทศโดยตรง แต่เมื่อสถานการณ์ COVID-19 ระบาดหนักในต่างประเทศ ทำให้บางส่วนหันกลับมาพิจารณาทางเลือกในไทยมากขึ้น

    ดร.สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหาร โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ

    ขณะที่ตัวเลือกโรงเรียนนานาชาติในไทยที่มักจะแบ่งการศึกษาออกเป็นระบบอังกฤษกับอเมริกัน ดร.สาครมองว่า ในแง่หลักสูตรเชิงวิชาการไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ต่างกลับเป็นคุณค่าและทักษะประเภท soft skills ซึ่งกระแสระบบอังกฤษจะเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะยังปลูกฝังเรื่องกิริยามารยาท จะเห็นได้ว่าโรงเรียนนานาชาติที่เปิดใหม่เป็นระบบอังกฤษเกือบทั้งหมด

    ดร.สาครยังมองภาพระบบการศึกษาไทยว่าสามารถพัฒนาได้ โดยควรจะหันมายึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ มีกฎระเบียบที่ยืดหยุ่นให้ครูแต่ละโรงเรียนปรับวิธีการเรียนการสอนให้เข้ากับท้องถิ่นนั้นๆ

    “เรายังติดกับดักระบบการศึกษาในอดีต คือต้องมีหลักสูตรตายตัวและครูเป็นคนถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก แต่วันนี้เทคโนโลยีทำให้ความรู้สามารถหาได้จากทุกที่ ครูจึงกลายเป็น facilitator มากกว่า เป็นผู้ชี้แนะช่องทางการไปค้นคว้าหาความรู้ สร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กหาเป้าหมายของตัวเองเจอ และนำการอภิปรายในชั้นเรียน ช่วยให้เด็กมีทักษะที่จำเป็นในชีวิต เช่น การคิด การพูด” ดร.สาครกล่าว “ครูต้องผู้สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กเติบโตด้วยความสุข”

    ]]>
    1304275
    “สหพัฒน์” ขยายธุรกิจบริการ ลุยไลเซ่นส์ “คุมะมง” ปั้น “คิงส์ คอลเลจ” จุดหมายโรงเรียนอาเซียน https://positioningmag.com/1236633 Thu, 27 Jun 2019 13:45:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236633 องค์กรอายุกว่า 70 ปี เครือสหพัฒน์มีนโยบายชัดเจน มุ่งสู่ New Growth Engine ด้านการให้บริการและการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอสร้างรายได้ใหม่ๆ จากเดิมโฟกัสลงทุนสร้างโรงงาน ผลิตสินค้าเป็นหลัก ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและแฟชั่นเกือบทุกอย่าง

    ขณะที่แนวโน้มธุรกิจสิ่งทอทั่วโลกอยู่ในภาวะถดถอย กลุ่มสินค้าแฟชั่นของเครือสหพัฒน์เองก็มีอัตราการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มอาหารที่ขยับขึ้นมาเป็นพอร์ตรายได้หลักเมื่อ 2 ปีก่อน ยุทธศาสตร์จากนี้จึงมุ่งสร้างการเติบโตจากพัฒนานวัตกรรมใหม่และขยายธุรกิจบริการมากขึ้น

    รุกธุรกิจบริหารไลเซ่นส์ “คุมะมง”

    บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากปี 2015 ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับจังหวัดคุมาโมโตะ ดูแลลิขสิทธิ์ “คุมะมง” เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวจังหวัดคุมาโมโตะและการทำตลาดไลเซ่นส์คุมะมงในประเทศไทย ปีนี้ได้เซ็นสัญญากับบริษัท เอดีเค อีโมชั่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากจังหวัดคุมาโมโตะ ให้ดูแลลิขสิทธิ์คุมะมงทั่วโลก โดยไอ.ซี.ซี. ได้รับ Master Licensee คุมะมง ในประเทศไทย 3 ปี (2019-2021)

    การทำตลาดไลเซ่นส์ คุมะมง ถือเป็นการขยายธุรกิจด้านบริการเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอของเครือสหพัฒน์ และเป็นการทำตลาดคาแรกเตอร์ในฐานะ Master Licensee ครั้งแรกของเครือ เนื่องจากเห็นโอกาสจากธุรกิจลิขสิทธิ์คุมะมงที่กำลังได้รับความนิยมจากต่างประเทศ ปัจจุบันจังหวัดคุมาโมโตะกำลังอยู่ระหว่างทำโปรเจกต์ภาพยนตร์แอนิเมชั่นคุมะมงกับค่ายหนังฮอลลีวูด ซึ่งจะทำให้คุมะมงเป็นรู้จักมากขึ้น

    วิริทธิ์พล ชัยถาวรเสถียร ผู้อำนวยการฝ่าย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ 4 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น Master Licensee คุมะมง ต่อจากจีน ไต้หวัน และฮ่องกง ไอ.ซี.ซี.ได้สิทธิทำตลาดทั้งสินค้าและบริการทุกประเภทในทุกช่องทาง ปัจจุบันได้รับความสนใจจากลูกค้าหลายธุรกิจติดต่อเข้ามาขอใช้ลิขสิทธิ์ รวมทั้งบริษัทในเครือสหพัฒน์ ทั้ง ไลอ้อน สหพัฒนพิบูลย์ รถเช่า BUDGET

    ประเมินปีแรกทำรายได้จากการบริหารลิขสิทธิ์คุมะมง 20-30 ล้านบาท จากลูกค้ากว่า 10 ราย โดยจะเก็บค่าลิขสิทธิ์ในอัตรา 7.5% ของยอดขายในแต่ละโปรเจกต์ที่เข้ามาขอใช้ลิขสิทธิ์ ปีหน้าคาดทำรายได้เพิ่มขึ้น “เท่าตัว” จากปีนี้ พร้อมทั้งศึกษาจัดตั้ง “ออฟฟิศเชียลช็อป” จำหน่ายสินค้าที่ระลึกคุมะมงอีกด้วย

    อิคุโอะ คาบาชิมะ ผู้ว่าราชการจังหวัดคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น บอกว่า “คุมะมง” ​เป็นมาสคอตตัวแทนจังหวัดคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น ที่กำเนิดขึ้นเมื่อเดือน มี.ค. 2011 ในโอกาสเปิดเส้นทางใหม่ของรถไฟชินคังเซ็น​สายคิวชู ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จากคาแร็กเตอร์ที่เป็นมิตรและความน่ารักทำให้คุมะมง หมีแก้มแดง ครองใจชาวญี่ปุ่นและคนทั่วโลก

    ปี 2018 คุมะมง มีผลงานหนังสือภาพถ่ายของตนเอง แสตมป์ที่ระลึก จำหน่ายได้ 3 ล้านดวง ของที่ระลึกคุมะมงสร้างรายได้ให้กับจังหวัดคุมาโมโตะ กว่า 42,000 ล้านบาท (กว่า 155,000 ล้านเยน)

    ปั้น “คิงส์ คอลเลจ” จุดหมายโรงเรียนนานาชาติอาเซียน

    เครือสหพัฒน์ยังได้ลงนามบันทึกความร่วมมือทางการศึกษาร่วมกับโรงเรียนนานาชาติ คิงส์ คอลเลจ วิมเบิลดัน จากประเทศอังกฤษ จัดตั้งโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจ กรุงเทพ ซึ่งเป็นความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์จากยุโรปครั้งแรก ที่ถือเป็นอีกโปรเจกต์ในการขยายธุรกิจด้านบริการ

    ดร.สาคร สุขศรีวงค์

    ดร.สาคร สุขศรีวงค์ ประธานบริหารโรงเรียนนานาชาติ คิงส์ คอลเลจ กรุงเทพ กล่าวว่าโรงเรียนจัดตั้งบนที่ดินของเครือสหพัฒน์ ขนาด 23 ไร่ ย่านพระราม 3 มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 41,000 ตารางเมตร โครงการนี้จะมีการลงทุนต่อเนื่อง 7 ปี มูลค่าโครงการ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดสอนในปี 2020 ตั้งแต่ชั้น Pre-Nursery ถึง Year 13  หรืออายุ 2-18 ปี ปีแรกรับนักเรียนได้ราว 200 คน รองรับนักเรียนได้เต็มที่ 1,500 คน

    คิงส์ คอลเลจ กรุงเทพ เป็นโรงเรียนนานาชาติที่ออกมาเปิดนอกอังกฤษ เป็นประเทศที่ 2 หลังจากปีก่อนเปิดที่จีน 2 แคมปัส วางเป้าหมายให้เป็น “จุดหมาย” โรงเรียนนานาชาติของกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ผู้ปกครองส่งลูกมาเรียน จากแบรนด์โรงเรียนชั้นนำระดับโลกและค่าใช้จ่ายต่ำกว่าส่งไปเรียนที่คิงส์ คอลเลจ อังกฤษ คาดมีนักเรียนไทย 70% และนักเรียนต่างชาติ 30% สำหรับค่าเรียนระดับก่อนอนุบาลและอนุบาลอยู่ที่ 5 แสนบาทต่อปี  ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 7 แสนบาทต่อปี

    “ครอบครัวไทยมีลูกลดลง เฉลี่ย 1 คน ทำให้ผู้ปกครองทุ่มเทด้านการศึกษาให้ลูกเต็มที่ ทำให้โรงเรียนนานาชาติเป็นตัวเลือกของผู้ปกครองในยุคนี้ ค่าเรียนในไทยถือว่าต่ำกว่าการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ 30-50%”

    โรงเรียนคิงส์คอลเลจกรุงเทพ

    ปี 2018 มีโรงเรียนนานาชาติในไทยทั้งที่เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งในไทยและสาขาโรงเรียนนานาชาติจากต่างประเทศ จำนวน 205 แห่ง มีนักเรียน 72,800 คน จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นปีละ 4-6% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงเมื่อเทียบกับอัตราเด็กเกิดใหม่ของไทยที่มีแนวโน้มลดลง

    กำลังซื้อเงียบรอตั้งรัฐบาลใหม่หนุน

    บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน กำลังซื้อถือว่า “เงียบมาก” หลังจากยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และหากจัดตั้งรัฐบาลได้ช้าจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะปัจจุบันได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า 10% จาก 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 30บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงกระทบส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าภาคเกษตร

    “หลังจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ต้องการให้คณะรัฐมนตรีเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตรและค่าเงิน ระดับที่เหมาะน่าจะอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ”

    ภาพรวมเครือสหพัฒน์ครึ่งปีแรกโตเล็กน้อย สินค้ากลุ่มอาหารและอุปโภคบริโภคยังเติบโตดี สินค้าแฟชั่นหดตัว แต่ปีนี้คาดว่ายอดขายรวมยังโต 2-3%

    ]]>
    1236633
    เสี่ยใหญ่เครือสหพัฒน์ สั่งว้าวเข้าถึงทุก Gen! ไฟเขียวลงทุน “ร้านค้าไร้พนักงาน-โรงแรม-คอนโด” https://positioningmag.com/1232938 Tue, 04 Jun 2019 12:59:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1232938 ถือเป็นงานแฟร์แห่งปีจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 สำหรับสหกรุ๊ปแฟร์งานจำหน่ายสินค้าในเครือสหพัฒน์กว่า 1,000 บูธ พร้อมโชว์นวัตกรรมที่จะเป็นทิศทางขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต วันนี้โฟกัสไปที่ New Growth Engine จากการผลิตสินค้าสู่บริการและวัฒนธรรม อีกยุทธศาสตร์สำคัญคือต้องทำให้ ทุกเจน” Wow กับสินค้าในเครือ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นฐานลูกค้าให้แบรนด์ไปอีกยาวนาน  

    ก่อนถึงวันงาน “สหกรุ๊ปแฟร์” ที่ปีนี้จัดวันที่ 27 – 30 มิ.ย. 2562 ไบเทค บางนา “เสี่ยบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ ในวัย 83 ปี ยังทำหน้าที่เป็นผู้บอกเล่าสิ่งที่เป็นไฮไลต์ของงานแฟร์แต่ละปี สำหรับปีนี้เริ่มตั้งแต่คอนเซ็ปต์งาน “ว้าวถูกใจทุก Gen” ที่ “เสี่ยบุณยสิทธิ์” เป็นผู้ออกไอเดีย เพื่อสื่อว่างานนี้ จะมีสินค้า บริการ และวัฒนธรรมที่หลากหลายมาตอบโจทย์ “ทุกเจน”  

    ที่ออกมาเป็นคอนเซ็ปต์ “ว้าวถูกใจทุก Gen” เพราะต้องการสร้างความ Wow ในทุกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้เข้ามามีส่วนร่วมกับสินค้าของเครือสหพัฒน์ ผ่านงานสหกรุ๊ปแฟร์ เพราะหากคนรุ่นใหม่รู้จักและคุ้นเคยกับแบรนด์ จะทำให้สินค้ามี Life Cycle อยู่กับคนรุ่นใหม่ไปอีกยาวนาน พร้อมต้องพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์เจนใหม่ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็น Old Fashion

    ขณะที่คนทั่วไปที่รู้จักสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่มแฟชั่น ของเครือสหพัฒน์ดีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องกระตุ้นให้ทุกคนรู้สึก Wow กับสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาเสนอด้วยเช่นกัน

    โชว์สมาร์ทช้อป ไม่ต้องมีพนักงาน

    นโยบายการเติบโตของเครือสหพัฒน์หลังจากนี้ จะมุ่งสู่ New Growth Engine ด้านการให้บริการและการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น จากเดิมลงทุนสร้างโรงงาน ผลิตสินค้าจำนวนมาก ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและแฟชั่นเกือบทุกอย่าง

    แต่ปีนี้จะโฟกัสที่การนำเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้ง AI, Big Data และ IoT มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้กับผู้บริโภคมากขึ้น ในงาน สหกรุ๊ปแฟร์ จะเป็นครั้งแรกที่จะโชว์ “ร้านค้าอัจฉริยะไร้พนักงาน” His & Her Smart Shop ที่ได้ร่วมกับทรู คอร์ปอเรชั่น พัฒนาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี AI ที่จะเปิดให้ลูกค้าเข้าไปทดลองใช้บริการภายงาน ซื้อสินค้าและจ่ายเงินเองผ่านสมาร์ทเพย์เมนต์ โดยไม่มีพนักงานขาย

    แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในอนาคต จะใช้คนลดลง เพราะแรงงานหายากมากขึ้น และให้บริการ Smart Shop ก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็เป็นแนวคิดการให้บริการรูปแบบเดียวกับ Vending Machine แต่เปลี่ยนจากตู้มาเป็นร้านค้า และเครือสหพัฒน์เองได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ร่วมกับพันธมิตรในประเทศขึ้นมารองรับแล้วเช่นกัน เพราะต้องการให้บริการที่ล้ำหน้ากว่าคนอื่นๆ หลังจากเปิดให้ทดลองใช้บริการในงานสหกรุ๊ปแฟร์แล้วจะพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้บริการจริงหลังจากนี้

    การพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้งานมากขึ้น เพื่อทำให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและความต้องการของตลาด เพื่อให้เครือสหพัฒน์ทำธุรกิจได้ครบวงจรและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุด เพราะการเป็นผู้ผลิตสินค้าโดยไม่รู้เทรนด์ตลาดว่ามีความต้องการอย่างไร ไม่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน

    สำหรับสินค้าไฮไลต์ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ปีนี้ จะมีการเปิดตัว มาม่า OK บิ๊กคัพ โจ๊กและข้าวต้มรสชาติใหม่ เช่น เล้งแซ่บ กุ้งกระเทียม, เสื้อ ARROW ที่ผลิตจากกระบวนการ Upcycling โดย PTTGC, เทคโนโลยี 3D Printing  ของ PAN เป็นการออกแบบพื้นรองเท้านตามขนาดของเท้า, กลุ่มสินค้าชำระล้าง ออร์แกนิกของแบรนด์ ENFANT

    อีกไฮไลต์ปีนี้คือประธานเปิดงานคนใหม่ เพราะ “เสี่ยบุณยสิทธิ์ ขอสละตำแหน่งประธานตีฆ้องเปิดงาน หลังจากทำหน้าที่ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต่อจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ที่เป็นประธานเปิดงานสหกรุ๊ปแฟร์ตั้งแต่ปีแรก 2540

    ลงทุนโรงเรียน-โรงแรม-คอนโด

    ด้านแผนการลงทุนปีนี้ ตามยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมในกลุ่มโรงเรียน ปีนี้ได้ลงทุน โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ บนพื้นที่ 25 ไร่ ย่านพระราม 3 พื้นที่ติดกับบริษัทไอ.ซี.ซี. ใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านบาท โดยร่วมมือกับโรงเรียน คิงส์คอลเลจ วิมเบิลดัน ประเทศอังกฤษ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านบุคลากรให้ประเทศ

    นอกจากนี้ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ จะมีการเซ็นสัญญาลงทุนกลุ่มบริการเพิ่มเติม กับกลุ่มโตคิว ญี่ปุ่น เพื่อร่วมลงทุนโรงแรม 4 – 4 ดาวครึ่ง ขนาดกว่า 100 ห้อง ลงทุน 1,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมขนาดกว่า 200 ห้อง ลงทุน 1,000 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมสหพัฒน์ ศรีราชา เพื่อรองรับอีอีซี

    พร้อมกันนี้จะเซ็นสัญญาร่วมกับ Sojostu จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะทำหน้าที่ดึงบริษัทจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง ที่กบินทร์บุรี ลำพูน และแม่สอด

    จับตาการเมืองส่งผลชะลอลงทุน

    เครือสหพัฒน์ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคและอีกหลากหลายธุรกิจ ปี 2561 ทั้งเครือมีรายได้กว่า 3 แสนล้านบาท มุมมองของ เสี่ยบุณยสิทธิ์ จึงสะท้อนภาพรวมสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศในฐานะภาคเอกชน โดยมองว่าหลังจากประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งในเดือน มี.ค. 2562 และยังไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาล จึงลังเลเรื่องการลงทุน

    เครือสหพัฒน์เองครึ่งปีแรกยังไม่มีแผนลงทุนใหญ่ เพราะพันธมิตรต่างชาติต้องการรอดูนโยบายรัฐบาลเช่นกัน จากเดิมที่มองว่าปีนี้ ที่มีการเลือกตั้ง โอกาสการลงทุนใหม่น่าจะมากกว่าปีก่อน 2 – 3 เท่า แต่มาถึงขณะนี้การลงทุนคงไม่มากกว่าปีก่อน ขณะที่การเติบโตเดิมวางไว้ที่ 5% ก็น่าจะเหลือเพียง 2 – 3%

    “การตัดสินใจลงทุนจะต้องดูเสถียรภาพของรัฐบาลด้วยเช่นกัน เปรียบได้กับการขับรถยนต์หากเหตุการณ์ดี ก็จะเหยียบคันเร่งเต็มที่ แต่หากเหตุการณ์ไม่ชัดเจนก็ต้องแตะเบรก”

    ]]>
    1232938