ค้าปลีก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 15 Mar 2024 11:32:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘โลตัส’ ชูจุดแข็งช่องทางออนไลน์ ส่งฟรี ส่งของสดภายใน 1-3 ชั่วโมง จูงใจลูกค้า ตั้งเป้าปีนี้โต 30% https://positioningmag.com/1466486 Fri, 15 Mar 2024 10:26:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466486 โลตัส (Lotus’s) ชูจุดแข็งช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งสินค้าฟรีไม่มีขั้นต่ำ ส่งของสดภายใน 1-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะจูงใจลูกค้า โดยตั้งเป้าปีนี้โต 30% ขณะเดียวกันก็ยังมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรม My Lotus’s ให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data

ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส ได้กล่าวถึงแอปพลิเคชัน Lotus’s ในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นมียอดดาวน์โหลดแอปฯ รวมมากถึง 10 ล้านดาวน์โหลดแล้ว ซึ่งเขาชี้ว่าตัวเลขจำนวนการสั่งซื้อรวมแตะระดับ 1 ล้านครั้ง และเป็นครั้งแรกนั้นยากเสมอ บริษัทต้องใช้เวลาถึง 7 เดือนหลังจากบริษัทได้เปิดตัวแอปฯ ในปี 2022

ขณะที่จำนวนการสั่งซื้อรวมแตะระดับ 1.5 ล้านครั้งภายในเดือนมกราคมปี 2024 ที่ผ่านมา และในปี 2023 มียอดสั่งซื้อรวมกันมากถึง 1 หมื่นล้านบาทแล้ว

กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของโลตัส ยังกล่าวว่า บริษัทเป็นค้าปลีกรายแรกของไทยที่พร้อมจัดส่งสินค้าภายใน 1 ชั่วโมงหากเป็นการจัดส่งจากสาขาของโลตัสโกเฟรช และภายใน 3 ชั่วโมงหากเป็นการจัดส่งจากสาขาใหญ่ ส่วนถ้าเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ จะจัดส่งภายในวันถัดไป หรือแม้แต่การรับสินค้าที่สาขา นอกจากนี้ยังมีค่าส่งที่ฟรีไม่มีจำกัดการสั่งซื้อขั้นต่ำ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้เป็นตัวเร่งให้ลูกค้าใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

เขายังชี้ว่าจุดแข็งที่โลตัสสามารถพร้อมส่งสินค้าได้ เนื่องจากบริษัทมีสาขาเล็กและสาขาใหญ่รวมกันกว่า 2,100 สาขาทั่วประเทศ และยังมีสินค้าถึง 30,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอาหารสด สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเสริมความงาม และสินค้าสำหรับแม่และเด็ก เป็นต้น

ธรินทร์ ธนียวัน – กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส / ภาพจากบริษัท

ออกแคมเปญใหม่

ขณะเดียวกันภายในเดือนมีนาคมนี้ Lotus’s ได้ออกแคมเปญมีโปรโมชั่น ให้ทุกคนที่เข้ามาสั่งสินค้านั้นมีความสุข ผ่านดีลพิเศษทุกวัน เช่น วันจันทร์ถ้าหากสั่งน้ำดื่ม มีแคมเปญซื้อน้ำแพ็คทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันจันทร์  วันอังคารมีโปรโมชั่นอาหารสดถ้าหากสั่งถึงจำนวนหนึ่ง หรือถ้าสั่งเกินจะมีคูปองออนท็อปด้วย เป็นต้น

ผู้บริหารของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส ได้กล่าวว่า การที่บริษัทสามารถทำแคมเปญต่างๆ ได้ทุกวันเนื่องจากบริษัทได้เห็นข้อมูลการสั่งสินค้าของลูกค้า เช่น ปริมาณการสั่งน้ำดื่มในวันจันทร์ถือว่าเยอะเป็นพิเศษ ทำให้โลตัสได้ออกแคมเปญดังกล่าวออกมา

มองว่าเทรนด์ของผู้บริโภคจะมาช่องทางออนไลน์แน่นอน

ธรินทร์ ยังชี้ว่าปัจจุบันยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ตั้งแต่เปิดตัวแอปฯ ในปี 2022 มีสัดส่วน 1% แต่ปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวกำลังจะแตะเลข 2 หลักในเร็วๆ นี้แล้ว และเขามองว่าเทรนด์การซื้อสินค้าของคนไทยจะคล้ายกับประเทศจีนที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และการไปซื้อสินค้าแบบปกตินั้นเหมือนมาซื้อสินค้าให้สนุก

นอกจากนี้ ธรินทร์ ได้ชี้ถึงว่า ในการสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์นั้นมีดีลส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้า ซึ่งแตกต่างกับการไปซื้อที่สาขาที่จะไม่มีส่วนลด และโลตัสเตรียมนำสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้    ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อภายในแอปฯ ได้ด้วย โดยถ้าเป็นสินค้าใหญ่ๆ จะใช้เวลาจัดส่งไม่เกิน 7 วัน

วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ – ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส / ภาพจากบริษัท

ปรับสิทธิประโยชน์ Lotus’s Reward Program ใหม่

วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส กล่าวว่า นอกเหนือจากความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้นในการจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์แล้ว โลตัสยังมอบสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งกว่า ด้วยรีวอร์ดโปรแกรมมายโลตัส (My Lotus’s) ที่เปลี่ยนจากการเป็นเพียงบัตรสะสมคะแนน สู่ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มแบบปัจเจกบุคคล

เธอชี้ว่าโปรแกรม My Lotus’s พัฒนามาจาก Club Card สมัยที่ยังเป็น Tesco Lotus ซึ่งมีการสะสมแต้ม แต่ต้องรอคูปองนานถึง 3 เดือน ซึ่งโปรแกรมใหม่นั้นสามารถที่จะสะสมแต้มได้สะดวกมากกว่าเดิม

ตัวเลขในปี 2023 ที่ผ่านมาโปรแกรม My Lotus’s มีลูกค้ามากถึง 17 ล้านคน มีการแจก Coin ไปแล้วมากกว่า 1,600 ล้าน Coin นอกจากนี้ วรวรรณ ยังได้กล่าวเสริมว่าลูกค้าโปรแกรมดังกล่าวนั้นมีการใช้จ่าย 3 เท่าเยอะกว่าคนไม่ได้เป็นสมาชิกโปรแกรมดังกล่าวอีกด้วย

โปรแกรม My Lotus’s เองยังมีการทำโปรโมชั่นส่วนบุคคล ผ่านเทคโนโลยี AI และ Big Data และมีการทำโปรโมชั่นไปแล้วกว่า 150 ล้านโปรโมชั่น เช่น ในวันเกิดของสมาชิก ฯลฯ และการสั่งสินค้าผ่านแอปฯ Lotus’s ยังมีสิทธิพิเศษคือได้ Coin เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปแลกในภายหลังได้

โดย Lotus’s ตั้งเป้าที่จะมีการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ในปีนี้

]]>
1466486
Walmart กำลังเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา สื่อนอกชี้เป็นอีกช่องทางในการหารายได้จากธุรกิจโฆษณา https://positioningmag.com/1462617 Wed, 14 Feb 2024 05:01:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462617 วอลมาร์ท (Walmart) กำลังเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยไม่น้อยกว่า 72,000 ล้านบาท ซึ่งยักษ์ใหญ่ค้าปลีกจะได้ทั้งการขายสมาร์ททีวี และรายได้จากค่าโฆษณา รวมถึงยังเป็นช่องทางโฆษณาให้กับลูกค้าด้วย

Wall Street Journal รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Walmart ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 72,000 ล้านบาท

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Walmart ต้องซื้อกิจการของ Vizio เนื่องจากต้องการขยายตลาดในการขายสมาร์ททีวีราคาถูกให้ลูกค้า เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Amazon หรือแม้แต่ Roku ได้ลงมาขายสมาร์ททีวีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันให้กับค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องลงมาเล่นเกมดังกล่าวด้วย

ขณะเดียวกัน Vizio เองมีข้อมูลลูกค้าจำนวนมากถึง 18 ล้านราย ทำให้ Walmart สามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากกว่าเดิม และยังรวมถึงรายได้จากโฆษณาที่ได้จากการเผยแพร่บนสมาร์ททีวี

ในปีที่ผ่านมา Insider Intelligence คาดว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาของ Walmart จะมีมากถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่บริษัทได้ตั้งธุรกิจด้านโฆษณาขึ้นมาในปี 2021 เพื่อที่จะดำเนินธุรกิจดังกล่าวภายใต้ชื่อ Walmart Connect

ปัจจุบัน Walmart Connect มีลูกค้าที่เป็นบริษัทขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ บางรายได้ใช้ช่องทางดังกล่าวแทนที่จะลงโฆษณากับบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple หรือแม้แต่ Google

อย่างไรก็ดี ดีลดังกล่าว Wall Street Journal ได้รายงานว่ากำลังอยู่ในช่วงการเจรจาเท่านั้น และอาจมีสิทธิ์ที่ดีลดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้

ที่มา – Reuters, The Verge

]]>
1462617
“โลตัส” สร้างตำนานบทใหม่กับแคมเปญระดับชาติ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” ช่วยคนไทยลดค่าพี่วินมอไซค์ครึ่งหนึ่ง! https://positioningmag.com/1459602 Mon, 22 Jan 2024 09:51:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459602

“โลตัส” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำค้าปลีกสินค้าแบรนด์ดังคุณภาพสูงในราคาสุดคุ้มค่า ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยแคมเปญใหญ่แห่งปีโรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง ลดราคาสินค้าจำเป็นกว่า 500 รายการตลอดปี 2567 เพื่อลดค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภค ที่โลตัสทุกสาขา และช่องทางออนไลน์ผ่าน Lotus’s SMART App ปีนี้ได้จัดเต็มด้วยกิมมิกสุดพิเศษ โลตัสช่วยคนไทยประหยัดค่าพี่วินมอเตอร์ไซค์ลงครึ่งราคา เพียงแค่ทำท่าหมุนมือ “โรลแบ็ค” ตอกย้ำสัญลักษณ์ Symbolic ประจำแคมเปญ

แคมเปญ “โรลแบ็ค” ขึ้นชื่อว่าเป็นแคมเปญคู่บุญของโลตัสมายาวนานถึง 20 ปี ที่เริ่มคิ๊กอ๊อฟตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ช่วยให้คนไทยได้ช้อปสินค้าราคาประหยัดจริงๆ ในแต่ละปีจะมีความพิเศษที่แตกต่างกันออกไป

ในปีนี้โลตัสได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ เรียกได้ว่าเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนที่สัญจรไปมาแถวย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยาม รวมไปถึงสีลม อาจจะได้เห็นผู้คนจำนวนมากทำท่ากำมือทั้ง 2 ข้าง และหมุนมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง จากนั้นก็ขึ้นวิมอเตอร์ไซต์รับจ้างไปในทันที

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่านี่เป็นเบื้องหลังของแคมเปญอะไรหรือไม่ จนได้คำตอบที่ว่า ที่แท้จริงนั้นคือส่วนหนึ่งของแคมเปญโรลแบ็คของโลตัสนี่เอง โดยที่กิมมิกของแคมเปญนี้อยู่ที่ว่า  หากใครที่ทำท่าหมุนมือนี้ จะได้รับส่วนลดครึ่งราคาในการเดินทางไปกับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปเลยทันที โดยราคาอีกครึ่งที่เหลือ ทางโลตัสจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้เอง เพื่อเป็นการช่วยช่วยคนไทยในการประหยัดค่าครองชีพนั่นเอง

โดยปกติแล้วแคมเปญโรลแบ็คจะอยู่แค่ในสโตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะเป็นการลดราคาสินค้า แต่ในปีนี้โลตัสได้นำเอาสัญลักษณ์การหมุนมือออกมานอกสโตร์ เปรียบเหมือนการลดราคาลง ออกมาใช้เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น

ไม่ใช่แค่ทำท่าหมุนมือเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนไทยในการเดินทาง ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ค่าครองชีพในเมืองกรุงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โลตัสจึงทำการโรลแบ็คไปกับวินมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ในการลดครึ่งราคากันเลยทีเดียว เป็นการจุดกระแสสร้างการรับรู้แก่คนที่สัญจรไปมาใน 3 โลเคชั่นหลักอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยาม และสีลม ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจที่มีคนพลุกพร่านตลอดทั้งวัน


สำหรับแคมเปญ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” ในปีนี้ ได้จัดเต็มในการลดราคาสินค้ากว่า 500 รายการ อาทิ ข้าวสาร น้ำยาล้างจาน กางเกงผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป ของใช้ในชีวิตประจำวันจากแบรนด์ชั้นนำนำมาจัดโปรโมชั่นราคาโรลแบ็ค ลดแบบจัดหนัก เพื่อช่วยคนไทยประหยัดเพิ่มความคุ้มค่า และมอบความรู้สึกดีดีทุกวันให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังสอดรับกับมาตรการลดหย่อนภาษีของภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนช้อปลดหย่อนภาษีที่คุ้มขึ้นอีกขั้นและลูกค้าสามารถขอรับใบกำกับภาษีแบบ e-Tax Invoice ผ่านการจับจ่ายที่สาขาและแอปพลิเคชั่น Lotus’s SMART App โดยโปรโมชั่นราคาโรลแบ็คจะประเดิมจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 และมีแผนจะจัดราคาโรลแบ็คต่อเนื่องตลอดทั้งปีซึ่งจะสลับหมุนเวียนสินค้าจำเป็นที่ครอบคลุมต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถสะสมแต้มสมาชิกมายโลตัส เพื่อรับสิทธิประโยชน์และส่วนลดพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย

นางสาววรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการตลาด โลตัส กล่าวว่า

“โลตัส ในบทบาทผู้นำค้าปลีกที่ยืนหนึ่งเรื่องความคุ้มค่า ขอส่งความสุขให้ประชาชนฉลองการเริ่มต้นปี 2567 อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการนำแคมเปญโด่งดังอย่าง “โรลแบ็ค” ที่เป็นภาพจำของโลตัสตั้งแต่ปี 2546 และอยู่คู่โลตัสมาหลายสิบปีอีกทั้งยังเป็นแคมเปญโดนใจลูกค้าเพราะช่วยลดราคาสินค้าลดภาระค่าครองชีพ พร้อมการันตีความประหยัดที่สุดที่โลตัส ซึ่งครั้งนี้โลตัสได้กลับมาเล่นใหญ่อีกครั้งผ่านการจัดแคมเปญ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง”

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งในปีนี้ โลตัสได้สร้างกิมมิกเล็กๆ ด้วยการ “โรลแบ็ค” นอกสถานที่ ลงพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯอย่างโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยาม และสีลม ทำการช่วยลดค่าโดยสารพี่วินมอเตอร์ไซค์ตั้งครึ่งราคา เพียงแค่แสดงท่าหมุนมือที่เป็นท่าประจำแคมเปญโรลแบ็ค เพื่อเป็นการตอกย้ำไอคอนของแคมเปญที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 20 ปี”

สำหรับสินค้าที่ร่วมแคมเปญ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” มีหลากหลายกลุ่มสินค้า ที่ครอบคลุมในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น

  • เบญจรงค์ข้าวขาวหอมมะลิ 100% 5 กก. ราคาโรลแบ็ค 167 บาท จากราคาปกติ 198 บาท
  • มามี่โพโคแพ้นท์ แฮปปี้เดย์แอนด์ไนท์บางสบาย, แฮปปี้เดยแอนด์ไนท์ (ทุกไซซ์) ราคาโรลแบ็ค 355 บาท จากราคาปกติ 445 บาท
  • โดฟ แชมพู+แชมพู, แชมพู+ ครีมนวด 380 มล. แพ็กคู่ (สูตรที่ร่วมรายการ) ราคาโรลแบ็ค 198 บาท จากราคาปกติ 249 บาท
  • มาม่าบะหมี่ต้มยำกุ้ง 55 กรัม,เย็นตาโฟต้มยำหม้อไฟ 60 กรัม แพ็ก 10 ห่อ ราคาโรลแบ็ค 62 บาท จากราคาปกติ 65 บาท
  • โลตัส ขนมปังชนิดแผ่น 480 กรัม ราคาโรลแบ็ค 37 บาท จากราคาปกติ 40 บาท

สามารถพบกับ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” พบสินค้าราคาโปรโมชั่นสุดพิเศษ ที่โลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ผ่าน Lotus’s SMART App ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. ถึง 21 ก.พ. 2567

]]>
1459602
Walmart เตรียมนำระบบ AI แนะนำลูกค้าเวลาซื้อของผ่านแอป ไปจนถึงช่วยจัดทำเอกสารของพนักงานแต่ละสาขา https://positioningmag.com/1458675 Fri, 12 Jan 2024 11:11:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458675 แม้แต่แบรนด์ค้าปลีกเองก็ยังนำ AI มาใช้ ล่าสุด วอลมาร์ท (Walmart) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ก็เป็นอีกบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งาน เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ทั้งลูกค้า หรือแม้แต่พนักงานของบริษัท

Walmart ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศในงาน CES 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงศักยภาพเทคโนโลยีของหลายธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้นำเสนอถึงการนำระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้งานเพื่อช่วยให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้พนักงานทำงานเอกสารสะดวกมากขึ้น

Doug McMillon ซึ่งเป็น CEO ของ Walmart ได้กล่าวถึงการนำระบบ AI เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลูกค้าในการหาสินค้าเวลาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การพิมพ์ประโยค “ต้องการที่จัดปาร์ตี้ยูนิคอร์นภายในบ้านให้กับลูกสาว ให้ช่วยเลือกสินค้าหน่อย” โดยระบบจะแนะนำสินค้าขึ้นมาให้

หรือแม้แต่ระบบ AI ที่นำมาเรียนรู้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ละราย ไปจนถึงการนำระบบ AI มาจำลองเสื้อผ้าเสมือนจริง ถ้าหากลูกค้าสนใจที่จะซื้อเสื้อผ้า

ภาพจาก Walmart

ในขณะเดียวกัน Walmart เองได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาช่วยยืนยันว่าลูกค้านั้นจ่ายเงินซื้อสินค้านั้นจริงๆ โดยใช้กล้องถ่ายรถเข็นสินค้า หลังการสแกนใบเสร็จกับระบบ ทดแทนการใช้พนักงานดูใบเสร็จกับสินค้า นอกจากนี้ระบบ AI ที่ Walmart ได้นำมาใช้กับพนักงานของบริษัท เช่น การสรุปรายงาน การจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือแม้แต่การช่วยคิดไอเดียทำคอนเทนต์เพื่อขายสินค้า

สำหรับระบบ AI ที่นำมาช่วยเวลาค้นหาสินค้า หรือบริการอื่นๆ ทาง Walmart ได้ใช้ระบบ AI จาก Microsoft 

Suresh Kumar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาของ Walmart ได้กล่าวว่าในขณะที่การค้าปลีกแบบ Omnichannel นั้นถือว่ามีมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่การค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้ได้ถือว่าปรับเปลี่ยนโดยได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง (จากการใช้ AI)

ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐฯ​ ถือเป็นอีกบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการซื้อสินค้า ขณะเดียวกันพนักงานของบริษัทก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำงานเช่นกัน ซึ่งมุมมอง Walmart เองนั้นเริ่มไม่ได้มองถึงการตัดขาดระหว่าง E-Commerce กับการซื้อสินค้าในร้านออกจากกันแต่อย่างใด แต่ทั้ง 2 คือเรื่องเดียวกัน

ที่มา – Engadget, NPR, TechCrunch

]]>
1458675
สยามพิวรรธน์ ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ Future Ready Organization เสริมแกร่งบุคลากร ขับเคลื่อนรับการเปลี่ยนแปลง https://positioningmag.com/1453558 Tue, 28 Nov 2023 09:49:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453558

ในยุคปัจจุบันภาคธุรกิจเจอความท้าทายรอบด้าน จากทั้งความไม่แน่นอนทางสภาพอากาศ ภาวะเศรษฐกิจ รวมไปถึงโรคระบาดอย่าง COVID-19 ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ทำให้แต่ละองค์กรต้องปรับตัวเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที

นอกจากการปรับตัวทางด้านธุรกิจแล้ว การปรับตัวภายในองค์กรก็เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในเรื่องโครงสร้าง บุคลากร และสภาพแวดล้อมการทำงานต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการทำงานในรูปแบบใหม่ สำหรับคนรุ่นใหม่มากขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เราจึงได้เห็นหลายองค์กรในไทยตื่นตัวในด้านนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เป็นอีกหนึ่งองค์กรใหญ่ที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง เดินหน้าเสริมแกร่ง และยกระดับความเป็นเลิศด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resources -HR) ปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นมากขึ้น  และเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนองค์กรยุคใหม่ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เตรียมขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตที่ดีและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกภาคส่วน (Well-growing platform) ที่พร้อมรับมือต่อทุกการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคต (Future ready organization)

นางอัมพร โชติรัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า

“จากสถานการณ์โควิด-19  สยามพิวรรธน์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราก้าวผ่านวิกฤตมาได้ทุกยุคสมัย เพราะสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น มี Mindset Skillset ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กรในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เตรียมความพร้อมด้วย Digital Capability และเป็น Data-led organization ตลอดจนการเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีคุณภาพขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นใหม่ ทั้งที่เติบโตจากภายใน และผสมผสานความหลากหลายด้วยบุคลากรภายนอกจากหลากหลายสาขาที่มีความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญใหม่ๆ เข้ามาร่วมทีม เพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และสร้างการเติบโตได้สำเร็จ

สยามพิวรรธน์ มุ่งพัฒนาตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงาน มีการออกแบบเส้นทางการเติบโตของ Talent ให้สอดรับกับกลยุทธ์องค์กรในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการกลยุทธ์องค์กร (Strategic planning) การบริหารงานบุคคลและทักษะสำคัญที่จำเป็น เพื่อพร้อมสำหรับการแข่งขันในโลกอนาคต (Global Perspective)

ปัจจุบันสยามพิวรรธน์มีพนักงานที่เป็นกลุ่มเจน Y และ เจน Z จำนวน 67% ของพนักงานทั้งหมดกว่า 2,500 คน และในเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มีพนักงานเจน Z เพิ่มขึ้นประมาณ 6% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามแนวทางกลยุทธ์องค์กรที่ต้องการสร้างทีมที่มีศักยภาพ และผลักดันผู้บริหารคนรุ่นใหม่ (Middle Management) ให้ได้มีโอกาสก้าวเข้ามาทำโครงการใหญ่ๆ มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ในปี 2024 สยามพิวรรธน์ได้เตรียมพัฒนาองค์กรสู่การเป็น Future Ready Organization มีการวางรากฐาน และเตรียมความพร้อมขององค์กรในการขยายธุรกิจทั้งระดับโลคอลและโกลบอล โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาระดับความสามารถของพนักงานในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงระดับพนักงาน

รวมถึงมีการออกแบบเส้นทางการเติบโตของพนักงานศักยภาพสูงให้เชื่อมโยงกับกลยุทธ์การขยายธุรกิจ โดยเน้นการ Upskill ในเรื่องของ Strategic Planning, Management, People Management ด้วย Global Perspective

สำหรับพนักงานได้มีแผนพัฒนาทักษะให้มี Mixed Skill เชิงกว้าง และเพิ่ม Digital Skill เพื่อเปิดโอกาสด้านสายอาชีพให้พนักงานสามารถปรับเปลี่ยนสายงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือ เน้นพัฒนา Growth Mindset เพื่อสร้างกรอบความคิดที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายในการขยายธุรกิจในอนาคต

รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานอย่างไร้ขีดจำกัด (Empower limitless possibilities) ให้พนักงานมีความมั่นใจ สามารถบริหารจัดการ หรือตัดสินใจภายใต้บทบาทและความรับผิดชอบของตนเอง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้พนักงานอีกทางหนึ่ง

ทางด้าน นายณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “สยามพิวรรธน์ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรสำหรับการทำงานในโลกยุคใหม่ โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในทุกเจนเนอเรชั่นให้ได้พัฒนาศักยภาพอย่างไร้ขีดจำกัด (Empower limitless possibilities) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการขยายตัวธุรกิจขององค์กรในอนาคต โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์ 4 ด้าน ดังนี้

1.Future Workforce : เตรียมความพร้อมตั้งแต่การรับสมัครพนักงาน หรือ Talent เข้ามาร่วมงาน โดยคัดสรรจาก Candidate ที่เป็น Profile ที่แตกต่าง หลากหลาย และมีความชำนาญในเรื่องใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจรีเทลที่เปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัลยิ่งขึ้น อย่างเช่น ล่าสุดบริษัทได้พัฒนาและเปิดตัว ONESIAM SuperApp เรือธงในการทำธุรกิจแบบออมนิชาแนล ทำให้มีกลุ่มพนักงานสายดิจิทัลและดาต้า (Data) เข้ามาเพิ่ม มาผสมผสาน และทำงานร่วมกับกลุ่มพนักงานรีเทลมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มนี้คิดเป็น 10% ของพนักงานทั้งหมด

2.ปรับเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานให้เหมาะกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงานในยุคปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับความหลายหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของพนักงาน ด้วยการสร้างพื้นที่ทำงานร่วมกัน (Co-working Space) ในมุมต่างๆ ของสำนักงาน ใช้การออกแบบที่เน้นความทันสมัย เปิดโล่งเน้นความโปร่งใส สะท้อนการผสานการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกัน (Work-life Integration) พร้อมทั้งมีการดูแลพนักงานทั้งทางด้าน Physical และ Mental Well-being อย่างดีครบทุกด้าน

3.ตรียมพร้อมพนักงานให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในปัจจุบันที่นอกเหนือจาก Functional Skill โดยสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาทั้ง Digital Skill และ Human Skill ให้มีการเทรนนิ่งคอร์สใหม่ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น จัดการอบรมเรื่อง ChatGPT ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานทั้งองค์กร โดยล่าสุดได้เซ็น MOU กับ LinkedIn Learning แพลตฟอร์มการเรียนรู้ระดับโลก ซึ่งพนักงานสามารถเลือกเรียนรู้คอร์สออนไลน์ และพร้อม Upskill – Reskill ด้วยตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา ได้มากกว่า 21,000 คอร์ส

4.Future Culture : ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบ Work as One พร้อมสร้าง Mindset ให้พนักงานในเรื่องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (Make the Impossible Possible) เพื่อให้กล้าคิด กล้าทำ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างไร้ขีดจำกัด ผ่านการสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจระหว่างพนักงานในองค์กร ด้วยการเปิดรับฟังเสียงของพนักงานผ่านแคมเปญ We Care We Dare ที่ส่งเสริมให้ผู้บริหารระดับสูง Engage กับพนักงานมากยิ่งขึ้น และเปิดเวทีให้พนักงานได้รับ Empowerment ในการทำงานด้วยศักยภาพที่มีอยู่อย่างสูงสุด

ความสำเร็จจากการปรับทัพองค์กรในช่วงที่ผ่านมา สามารถการันตีด้วยรางวัลมากมายจากสถาบันด้านการบริหาร และพัฒนาทรัพยากรบุคคลจากหลายเวที ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ

ปี 2566

  • รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 ซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันที่สยามพิวรรธน์ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชียจาก HR Asia และยังได้รับรางวัล Diversity, Equity & Inclusion Award จากสถาบันเดียวกัน สะท้อนถึงองค์กรที่โดดเด่นในด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม
  • รางวัลชนะเลิศระดับโกลด์ในสาขาExcellence in HR Communication Strategy และ Excellence in CSR Strategy จาก HR Excellence Awards 2023
  • รางวัลความเป็นเลิศทางธุรกิจระดับสากลจากEnterprise Asia Linchpin of Asia Awards 2023

ปี 2565

  • รางวัล Excellence in Crisis Management and Recovery รางวัลที่แสดงถึงความเป็นเลิศในด้านการบริหารจัดการวิกฤต
  • รางวัลระดับบรอนซ์ สาขา Excellence in Women Empowerment Strategy จากงาน HR Excellence Awards 2022

สยามพิวรรธน์มุ่งมั่นที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมต่อการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่โลกอนาคตด้วยการปรับกระบวนการทำงาน สร้างทีมที่แข็งแกร่ง มีคุณภาพ รับมือกับทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง และเพื่อครองความเป็น Top of Mind เป็นที่หนึ่งในใจไม่เฉพาะลูกค้า และรวมถึงพนักงาน แต่เพื่อเป็น Employer of choice สำหรับทุกคน

]]>
1453558
IKEA เริ่มทยอยลดราคาสินค้าแล้ว ให้เหตุผลว่าสถานการณ์เงินเฟ้อคลี่คลายลง ปรับปรุงด้าน Supply Chain https://positioningmag.com/1448005 Sat, 14 Oct 2023 09:03:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448005 อิเกีย บริษัทเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่จากประเทศสวีเดน เริ่มทยอยลดราคาสินค้าแล้ว สาเหตุสำคัญมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง หรือแม้แต่การปรับปรุงด้านการผลิต ไปจนถึงด้าน Supply Chain

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานข่าวว่า IKEA ค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่จากสวีเดน ได้ทยอยปรับลดราคาสินค้าของบริษัทลงมาแล้วหลากหลายรายการ หลังจากสถานการณ์เงินเฟ้อคลี่คลายลง หรือแม้แต่การปรับปรุงด้านการผลิตของบริษัท

Tolga Oncu หัวหน้าฝ่ายค้าปลีกของ Ikea ได้กล่าวว่า บริษัทได้ลดราคาสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นมาหลายร้อยรายการ และการลดราคาสินค้าของบริษัทได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

สอดคล้องกับ Jon Abrahamsson Ring จาก Inter Ikea Group ซึ่งเป็นผู้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ของ IKEA ได้กล่าวว่า ในปี 2023 บริษัทเริ่มที่พลิกมุมโดยการลดราคาสินค้าอีกครั้ง โดยบริษัทได้ปรับลดราคาสินค้าหลากหลายชนิด ไม่เว้นแม้แต่ชั้นหนังสือ Billy ที่บริษัทลดราคาลงมาถึง 20% แล้วในบางประเทศ

เขายังกล่าวเสริมว่า ในช่วงที่ราคาสินค้าตกแต่งบ้านยังมีราคาสูง และผู้คนกำลังดิ้นรนอย่างหนักในเรื่องค่าครองชีพ ส่งผลทำให้ความต้องการสินค้าตกแต่งบ้านในราคาที่เอื้อมถึงนั้นมีสูงมากขึ้น

นอกจากนี้ทาง IKEA ยังอยู่ในขั้นตอนลดต้นทุนสินค้าบริษัทโดย ปรับปรุงและพัฒนาวัสดุ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงบริษัทยังทำงานร่วมกับพันธมิตรทั่วทั้ง Supply Chain ของ IKEA เพื่อแก้ไขปัญหาด้านลอจิสติกส์และปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง

ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา IKEA ได้ปรับขึ้นราคาสินค้าเนื่องจากปัญหาของเงินเฟ้อ และต้นทุนที่สูงขึ้น หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในด้านลอจิสติกส์

ผลประกอบการของ IKEA ในปี 2023 สิ้นสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 47,600 ล้านยูโร เติบโตกว่าปี 2022 ถึง 6.6% แม้ว่าปริมาณสินค้าจะขายได้ลดลง แต่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังมีการเปิดสาขาไปมากถึง 71 สาขาทั่วโลกด้วย

ที่มา – IKEA, The Guardian, Macau Business

]]>
1448005
สยามพิวรรธน์เตรียมขยายธุรกิจบุกต่างประเทศ https://positioningmag.com/1444706 Tue, 19 Sep 2023 12:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444706

· ประกาศเตรียมขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เสริมแกร่งผู้นำการพัฒนาโครงการจุดหมายปลายทางที่สำคัญระดับโลก (World-class Destination)

· รายได้ 6 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เติบโตกว่า 25%จากปีก่อน

กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจ ค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ ประกาศแผนเตรียมขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสยามพิวรรธน์ในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการจุดหมายปลายทางที่ประสบความสำเร็จและมีความสำคัญระดับโลก (World-class Destination) ที่ได้รับการยอมรับนับถือในเวทีพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

โดยผลประกอบการของทั้งกลุ่มบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของ ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้เติบโตกว่า 25% จากปี 2565 อีกทั้งมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการที่ศูนย์การค้าในกลุ่มวันสยามอันประกอบด้วย สยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ มากถึง 45 ล้านคน เติบโตกว่า 50% จากปีที่ผ่านมา ส่วนไอคอนสยามซึ่งในปัจจุบันเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในหลายประเทศว่า เป็นโครงการที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการเมือง ที่รวบรวมความครบครันของการ ช้อปปิ้ง เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ศิลปวัฒนธรรมและนวัตกรรมที่อำนวยความสะดวกสบาย โรงแรมและคอนโด มีเนียมที่อยู่อาศัยเหนือระดับ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ รองรับด้วยการสัญจรที่เชื่อมต่อระบบรถ ราง เรือ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว อีกทั้งเป็นจุดหมายสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้อยากมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากนั้น ในปัจจุบันไอคอนสยามมีจำนวนลูกค้าแตะวันละ 100,000 คน และใน 6 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนผู้ที่มาใช้บริการในไอคอนสยามทั้งชาวไทยและต่างชาติรวมกันถึง 15.5 ล้านคน ซึ่งเติบโตจากปี 2565 อย่างมากถึง 70%

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ กล่าวว่า “ในปัจจุบันวงการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก เริ่มมีการตื่นตัวหลังจากผ่านพ้นวิกฤตการณ์โควิด 19 ทั้งนี้ในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมานั้น สยามพิวรรธน์ได้รับการติดต่อจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับต้นๆ จากหลายประเทศที่เดินทางมาเยี่ยมชมศูนย์การค้าต่างๆ ของสยามพิวรรธน์เป็นจำนวนมาก ได้แสดงความประสงค์ที่จะให้สยามพิวรรธน์ไปร่วมลงทุน เพื่อสร้างโครงการที่เป็นแลนด์มาร์คในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ซึ่งนอกจากจะมีแผนการลงทุนภายในประเทศแล้ว คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบที่จะศึกษาการขยายธุรกิจไปต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะทำแผนเสร็จสมบูรณ์และประกาศได้ต้นปี 2567”

เพื่อรองรับแผนยุทธศาสตร์และการขยายธุรกิจระยะยาว บริษัทฯ จึงได้ลงนามแต่งตั้งบริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อช่วยปรับโครงสร้างและวางแผนทางการเงิน ศึกษาเรื่องการระดมทุนที่เหมาะสม รวมทั้งความเป็นไปได้ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต

“การที่สยามพิวรรธน์ได้รับการทาบทามให้ไปร่วมลงทุนกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในหลายประเทศนั้น ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งและเป็นบทพิสูจน์ว่า งานของสยามพิวรรธน์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำสมัยด้วยคอนเซปต์แปลกใหม่และเป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของประเทศ สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในสาขาต่างๆ บนเวทีโลก สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน และล้วนแต่เป็นโครงการที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยตลอดมา ในวันนี้สยามพิวรรธน์พร้อมแล้วที่จะก้าวออกไปต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศด้วยความมั่นใจ” นางชฎาทิพกล่าวในตอนท้าย

]]>
1444706
Foodland ฝ่าวงล้อมค้าปลีก ขอเปิดปีละ 2 สาขา เตรียมผุดไซส์เล็ก เกาะไปกับคอนโด https://positioningmag.com/1439392 Tue, 01 Aug 2023 12:54:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439392 Foodland กลับมาขยายสาขาอีกครั้งนับจากปี 2562 ขอขยายเบาๆ ปีละ 2 แห่ง เน้นในกรุงเทพฯ ไม่ไปต่างจังหวัดแล้ว เพราะกำลังซื้อไม่เหมือนกัน เตรียมเปิดฟอร์แมตใหม่ Foodland Grocerant ไซส์เล็ก เจาะตามคอนโด ยุทธการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ ท้าชน Maxvalu เต็มตัว

เปิดปีละ 2 สาขา เน้นในกรุง ไม่ไปต่างจังหวัดแล้ว

Foodland เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกในไทย ในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต ในปีนี้มีอายุ 51 ปีแล้ว แต่แผนในการทำตลาดค่อนข้าง Conservative เนื่องจากเป็นธุรกิจครอบครัว และไม่ได้เน้นจำนวนสาขาเยอะ ต้องการเน้นคุณภาพของลูกค้า และโลเคชั่นที่ตั้งมากกว่า

51 ปีที่ผ่านมา Foodland มีสาขารวม 24 สาขา อยูในกรุงเทพฯ 21 สาขา และต่างจังหวัด 3 สาขา อยู่ในพัทยา 2 แห่ง และโคราช 1 แห่ง

Foodland

เมื่อ 4-5 ปีก่อน Foodland ตั้งเป้าว่าจะขยายสาขาให้ได้ปีละ 3-5 สาขา เพราะโอกาสในตลาดยังมีอีกมาก รวมถึงทำเลในต่างจังหวัดก็ยังมีอีกเยอะ แต่หลังจากปี 2562 ที่ธุรกิจเจอความท้าทายรอบด้าน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Foodland ได้ลดเป้าในการขยายสาขาเหลือปีละ 2 สาขา

และเมื่อต้นปี 2563 ก็ดันเจอเหตุการณ์ “กราดยิงที่โคราช” ในตอนนั้น Foodland อยู่ในจุดที่ได้รับความเสียหายหนัก ต้องปิดปรับปรุง 2-3 เดือน สูญรายได้เดือนละ 10 ล้านบาท หลังจากนั้น Foodland ก็ไม่ได้ขยายสาขาใดๆ เพิ่ม ประกอบกับอยู่ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ด้วยพอดี

ในปีนี้ Foodland พร้อมกลับมาขยายสาขาอีกครั้ง โดยมองอยู่ที่ปีละ 2 สาขาเช่นเคย พื้นที่เฉลี่ย 1,200-1,500 ตารางเมตร เน้นโลเคชั่นในกรุงเทพฯ ได้ทั้งโซนที่ติดรถไฟฟ้า โซนที่มีหมู่บ้านใหญ่ๆ

Foodland

อธิพล ตีระสงกรานต์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จำกัด เล่าว่า

“ช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา Foodland มียอดขายสูงขึ้น แต่ได้กำไรน้อย เนื่องจากคนอยู่บ้านทำอาหารมากขึ้น แต่การบริหารจัดการคนยาก เพราะมีพนักงานติดเชื้อ กักตัวอยู่ตลอด ทำให้ช่วงวิกฤตที่ผ่านมาเราไม่ได้เจ็บตัวมาก ในปีนี้เรากลับมาขยายสาขา ในกรุงเทพฯ ยังขยายตามเส้นรถไฟฟ้าได้อีก ไม่กล้าขยายไปต่างจังหวัดแล้วเพราะกำลังซื้อไม่ได้ กลุ่มลูกค้าของ Foodland จะอยู่ระดับกลางไปถึงบน แต่คนต่างจังหวัดมองความคุ้มค่าเป็นหลักมากกว่า”

ผุดสาขาสีลม โซนลูกค้ากำลังซื้อสูง

ปีนี้ได้ประเดิมสาขาแรกที่โครงการพาร์คสีลม พื้นที่ 1,700 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 60 ล้านบาท มีการดีไซน์แนวโมเดิร์น ลักชัวรี่ให้เข้ากับดีไซน์ของตึก

ถึงแม้ว่าสาขานี้จะอยู่ใจกลางเมืองมากๆ เป็นโลเคชั่น CBD ใจกลางสีลม แต่ก็ไม่ใช่สาขาในเมืองแห่งแรกของ Foodland ก่อนหน้านี้ได้มีสาขาพัฒน์พงษ์ และสาขาสุขุมวิทที่เปิดมายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่สาขาพาร์คสีลมจะมาช่วยเข้าถึงไลฟ์สไตล์กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น

Foodland

อธิพล เสริมอีกว่า ความพิเศษของสาขานี้คือ ประสบการณ์ในการช้อปปิ้งที่มากขึ้น โดยปกติแล้วลูกค้าของ Foodland จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องวัตถุดิบอาหารพอสมควรอยู่แล้ว และรู้ความ้ตองการของตัวเอง แต่ที่สาขานี้จะมีพนักงานที่เทรนเรื่องข้อมูลสินค้าอย่างดี เรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำแผนกมาให้ความรู้ รวมไปถึงมีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเยอะมากขึ้น ทั้งเนื้อ ชีส ไส้กรอก ไวน์ เป็นต้น สินค้าแต่ละตัวจะมีหลายเกรดให้ลูกค้าเลือกได้มากขึ้น

สาขานี้ตั้งเป้ามีทราฟฟิกคนใช้บริการเฉลี่ย 2,000-2,500 คน/วัน มีรายได้ 20 ล้านบาท ปกติแต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ย 15-20 ล้านบาท

Foodland

“ในช่วงปี 2561 เราตั้งเป้าเปิดสาขาเฉลี่ยปีละ 3-5 สาขา แต่ติดเรื่องคนไม่พอ ผู้จัดการคนเก่าๆ ก็เริ่มเกษียณออกไป ทำให้ไม่มีคนเทรนนิ่งพนักงาน ยุคนี้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีอยากทำงานบริการแล้วด้วย เพราะต้องทำอาทิตย์ละ 6 วัน เราเลยต้องจูงใจด้วยรายได้เริ่มต้น 14,000 บาท เพิ่งปรับเพิ่มจาก 12,500 บาท เราให้มากกว่า 450 บาทอีก”

ในปีนี้จะเปิดอีก 1 สาขาที่โครงการ Icon 56 ย่านสายไหม เป็นโครงการใหม่ของปั๊มปตท. ยังคงเจาะทำเลย่านที่พักอาศัย รวมไปถึงมีแผนที่จะรีโนเวตสาขาเก่าเพิ่ม เช่น สาขาลาดพร้าว มีการปรับถูกและดีใหม่ และสาขาเพชรบุรีตัดใหม่ ใช้งบลงทุน 20 ล้าน

เตรียมปั้นไซส์เล็ก ชน Maxvalu

วงการค้าปลีกในปัจจุบันเน้นการทรานส์ฟอร์มตัวเองอย่างหนัก จะเห็นว่าหลายเจ้ามีการผุดโมเดลใหม่ๆ เพื่อรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค มีทั้งขนาดเล็กลง เพื่อให้ขยายได้มากขึ้น เข้าถึงชุมชนมากขึ้น ไปจนถึงการจับมือกับพาร์ตเนอร์ในการมีทำเลใหม่ๆ ไปเลย เทรนด์หนึ่งที่สำคัญคือ การออกนอกศูนย์การค้า เป็นการกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง หลังจากที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤต COVID-19

ที่ผ่านมา Foodland เป็นแบรนด์ส่วนน้อยที่ไม่มีการแตกโมเดลใหม่ๆ ไม่ได้ลงทุนใหม่ๆ มากนัก แต่ในปีนี้เริ่มมีแผนเป็นรูปเป็นร่างในการผุดโมเดลใหม่ขึ้นมา เพราะมีโจทย์สำคัญในการเข้าถึงลูกค้าคนรุ่นใหม่มากขึ้น จึงต้องเจาะเข้ากลุ่มคอนโด

Foodland

ในปีหน้าเราจึงจะได้เห็น Foodland Grocerant (ฟู้ดแลนด์ โกเซอรองต์) เป็นคอนเซ็ปต์ของ Grocery + Restaurant หรือร้านสะดวกซื้อ ผสมร้านอาหาร โมเดลนี้จะมีพื้นที่ราวๆ 200 ตารางเมตร ไม่เชิงเป็นร้านสะดวกซื้อ แต่พื้นที่จะเป็นร้านถูกและดีครึ่งหนึ่ง และเป็น Grocery อีกครึ่งหนึ่ง มีอาหารพร้อมทาน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าร้านถูกและดีจะมีพื้นที่นั่งหรือไม่ กำลังศึกษากันอยู่

คอนเซ็ปต์นี้จะเริ่มพันธมิตรกับ SC ASSET ในการไปเปิดกับโครงการใหม่ ตอนนี้มีการเซ็นสัญญา 2 แห่งแล้ว คอนโดใหม่ย่านวงเวียนใหญ่ และรัชดาฯ คาดว่าจะเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2567

“ตอนนี้โจทย์ใหญ่ของ Foodland อยากได้ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่บ้าง ปกติลูกค้าเราอายุเฉลี่ย 30 ปลายๆ แต่เราอยากได้อายุต่ำกว่า 30 ปีมากขึ้น เลยต้องเจาะฐานคนอยู่คอนโด หรือหมู่บ้านที่อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อ อยากทำให้แบรนด์เฟรชขึ้น”

การเปิดร้านไซส์เล็กตามโครงการคอนโด เรียกว่าเป็นการท้าชน Maxvalu จากค่ายอิออนเต็มตัวเช่นกัน เพราะ Positioning มีความใกล้เคียงกัน เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต แตกต่างจากเจ้าอื่นที่เป็นร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว เห็นได้ว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ในยุคต่อไปน่าจะเนื้อหอมมากขึ้น จากการเป็นพันธมิตรจากผู้เล่นค้าปลีก

Photo : Shutterstock

สำหรับร้าน “ถูกและดี” อธิพลบอกว่า ยังไม่สามารถขยายสาขาไปนอก Foodland ได้แบบฟูลสเกล ถ้าเป้นโมเดลเล็กๆ เป็นเคาน์เตอร์ยังมีโอกาส เนื่องจากบริหารจัดการยาก

อธิพลทิ้งท้ายด้วยประเด็นการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เทียบกับรายอื่นในตลาดถือว่ามีการเปิด 24 ชั่วโมงน้อยรายมากๆ

“การเปิด 24 ชั่วโมงเป็นภาระอย่างหนึ่ง มีต้นทุนที่สูงเมื่อเทียบกับรายอื่น แต่ที่เราต้องเปิด 24 ชั่วโมง เพราะตลาดของสดจะกระจายสินค้าตอนเที่ยงคืน เราต้องการกระจายสินค้าในวันเดียวกัน เพื่อไม่ให้ค้างคืน ทีนี้แต่ก่อนผับบาร์เปิดได้ถึงตี 4 คนออกจากผับยังมาทานอาหารที่เราได้ แต่ตอนนี้พฤติกรรมเปลี่ยนไป ผับบาร์ปิดเร็ว เราขายได้น้อยลง 

ส่วนหนึ่งเป็นภาระ แต่ก็เป็นจุดขายด้วยเช่นกัน ถามว่าเราจะต้องปิดตอนกลางคืนมั้ย… ถ้าอยากได้กำไรมากขึ้นก็ปิดได้ แต่เรายังมีลูกน้องที่ยังต้องเรียนในตอนกลางวันก็จะได้รับผลกระทบ คิดว่าถ้าเรายังอยู่ได้ก็ไม่อยากยกเลิก” 

]]>
1439392
กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์โดย สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยืนหนึ่งในใจ คว้ารางวัลสุดยอดแบรนด์ที่มีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียในงาน THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 11 https://positioningmag.com/1420342 Thu, 23 Feb 2023 13:00:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420342 กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ ตอกย้ำความสำเร็จของการเป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยสยามพารากอน คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Brand Performance on Social Media เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า และไอคอนสยาม ได้รับรางวัล Finalist เป็นหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย ในงานประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด

รางวัลครั้งนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ นำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่โดดเด่นและแตกต่างให้ทุกศูนย์การค้าในเครือผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ และครองความเป็นที่หนึ่งในใจของกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดีย

นางธณพร ตันติยานนท์ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจศูนย์การค้าสยามพารากอน กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่สยามพารากอนได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะเลิศ เป็นแบรนด์ที่มีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย ในสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า รางวัลนี้ตอกย้ำความสำเร็จของสยามพารากอนในการสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าในทุกมิติ ด้วยกิจกรรมการตลาดหลากหลายรูปแบบ งานอีเว้นท์ และการเปิดตัวสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกมากมายในหลายธุรกิจ ทำให้สยามพารากอนยังคงเป็นแลนด์มาร์คยืนหนึ่งในใจผู้คน จนได้รับการพูดถึงในสื่อโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สยามพารากอนกำลังอยู่ระหว่างการทรานสฟอร์มครั้งใหญ่ ที่จะยกระดับความเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกให้เป็นที่สุดของความเลิศล้ำ เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของผู้คน ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคตได้มากขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติ”

นางสุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า การได้รับรางวัลด้านโซเชียลมีเดียในปีนี้ เป็นผลจากแผนงานที่มุ่งมั่นนำเสนอกิจกรรมการตลาดในรูปแบบประสบการณ์พิเศษที่โดดเด่น รวมถึงการบริการที่ตอบโจทย์ตรงใจของลูกค้าจริงๆ การทำงานบนสื่อโซเชียลในปัจจุบันเราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากระบบของแพลตฟอร์มเอง ร่วมกับข้อมูลจากการมอนิเตอร์สื่อบนออนไลน์ต่างๆ ทำให้เราเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้นและสามารถนำเสนอคอนเทนท์ บริการ และรายการส่งเสริมการตลาดต่างๆ แบบเฉพาะกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้น ไอคอนสยามยังได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทั้งงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมบันเทิงจากศิลปินระดับโลกมากมายตลอดทั้งปี ทำให้ปีนี้ ไอคอนสยามมีลูกค้าและผู้สนใจเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์และกิจกรรมการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เราติดอันดับหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียครั้งนี้ นอกจากนั้น รางวัลครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความสำเร็จตอกย้ำปณิธานที่ต้องการสร้างไอคอนสยามให้เป็นหมุดหมายปลายทางระดับโลก โดยเป็นตัวแทนประเทศไทยนำเอกลักษณ์และสิ่งที่ดีที่สุดของไทยไปบรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลกบนแลนด์มาร์คริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลการพิจารณารางวัล Thailand Social Awards ในปีนี้ แบรนด์ Siam Paragon ได้รับรางวัล Winner ของกลุ่มรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Shopping Center & Department Store เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยรางวัล Thailand Social Awards มีการเก็บข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์มากกว่า 2,000 แบรนด์ เฉพาะกลุ่มธุรกิจในสาขาศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้านี้ มีการเก็บข้อมูลนำมาวัดผลทั้งสิ้นมากกว่า 80 แบรนด์ จากนั้น นำข้อมูลมาพิจารณาร่วมกับคณะที่ปรึกษาอีก 18 ท่าน โดยวัดจากทั้งช่องทางโซเชี่ยลของแบรนด์ตนเอง และช่องทางจากการที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ ผ่าน 4 แพลตฟอร์มหลัก คือ Facebook, Instagram, Twitter และ YouTube

“โดยปีนี้ ศูนย์การค้าในกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมติดอันดับถึงสองแห่ง ได้แก่ Siam Paragon เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอันดับ 1 บนโซเชียลมีเดีย ในสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า โดยมีผลคะแนนโดดเด่นในกลุ่มเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไอคอนสยาม ที่ได้รับรางวัล Finalist ติดอันดับหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดียเช่นกัน”

“THAILAND SOCIAL AWARDS” เป็นงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล และมีการประกาศรางวัล ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม ปีนี้ ได้จัดต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 11 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ และยกระดับวงการโซเชียล ผ่านการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูแบรนด์ อินฟลูเอนเซอร์ และบุคคลในวงการบันเทิงที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลในสาขาต่างๆ ผ่านการวัดประสิทธิภาพความสามารถในการทำกิจกรรมการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเป็นรูปธรรม

]]>
1420342
“บัดดี้มาร์ท” โมเดลใหม่ยกระดับ “โชห่วย” ชุมชน ลงระบบจัดการร้านให้ทันสมัย-ลดการจมทุน https://positioningmag.com/1407413 Mon, 14 Nov 2022 10:00:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1407413

ธุรกิจโชห่วยยุคนี้กำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทำให้ “แม็คโคร” เลือกปั้นโมเดลธุรกิจใหม่ “บัดดี้มาร์ท” สูตรสำเร็จที่จะมายกระดับ “โชห่วย” ชุมชนให้ทันสมัยขึ้น ผ่านระบบบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยีและความแข็งแกร่งจากพันธมิตรแม็คโคร ช่วยแก้ ‘pain point’ ให้โชห่วย ลดการจมทุน ดึงดูดให้ทายาทสนใจสานต่อกิจการมากขึ้น

“โชห่วย” ถือเป็นธุรกิจสำคัญของประเทศเพราะมีสัดส่วนถึง 45-47% ในมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด ด้วยลักษณะที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่เจ้าของมักจะบริหารเอง เป็นร้านค้าขนาดเล็กที่แทรกซึมทุกซอกมุมของชุมชนไทย การคงอยู่ของโชห่วยจึงสำคัญกับเศรษฐกิจอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม “เอกพล คูสุวรรณ” ผู้จัดการโครงการบัดดี้มาร์ท กล่าวว่า ปัจจุบันโชห่วยยิ่งเผชิญความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอุปสรรค 5 ข้อใหญ่ที่มักจะทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง ได้แก่ 1.พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปชื่นชอบระบบสมัยใหม่ 2.การปรับสินค้าไม่ทันความต้องการลูกค้า 3.สภาพคล่องการหาเงินกู้เพื่อลงทุนหมุนเวียน 4.ประสิทธิภาพในการบริหาร และ 5.ไม่มีผู้สืบทอดกิจการ

ด้วยประสบการณ์ของแม็คโครที่ทำงานกับโชห่วยมานาน 33 ปี และมีฐานลูกค้ากลุ่มโชห่วยกว่า 5 แสนรายทั่วประเทศ จึงทราบ pain point ทั้งหมดข้างต้น และต้องการคิด ‘สูตรสำเร็จ’ ที่จะช่วยประคองให้โชห่วยอยู่คู่ชุมชนไทยต่อไป “บัดดี้มาร์ท” ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในเครือแม็คโครจึงเกิดขึ้น


แบรนด์ใหม่ “บัดดี้มาร์ท” สร้างความทันสมัย

โมเดล “บัดดี้มาร์ท” คือการนำแบรนด์ ระบบเทคโนโลยี องค์ความรู้ และพันธมิตรเข้าไปช่วยร้านค้าโชห่วย โดยมีจุดขายทั้งหมด 5 ด้านที่ร้านค้าจะได้รับเมื่อสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับบัดดี้มาร์ท คือ

1.ลงทุนน้อยแต่คุ้มค่า – ใช้เงินลงทุนเพียง 4 แสนบาท (แบ่งเป็นเงินค้ำประกันสัญญาระยะ 3 ปี มูลค่า 2 แสนบาท และค่าปรับปรุงร้าน 2 แสนบาท) ขณะที่บัดดี้มาร์ทจะลงทุนให้อีก 1.5 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าตกแต่งร้าน เครื่องคิดเงินและระบบ POS ลงอุปกรณ์/ตู้แช่ โดยเฉพาะ “ตู้แช่แข็ง” ที่จะเป็นหมัดเด็ดในการเป็นเสมือนซัพพลายเออร์ให้ร้านอาหาร/ครัวเรือนในชุมชนนั้นๆ

2.แหล่งเงินทุน – โมเดลธุรกิจนี้เป็นพันธมิตรกับ “ธนาคารกรุงเทพ” ทำให้ผู้ลงทุนจะได้สินเชื่อแพ็กเกจพิเศษสำหรับการปรับปรุงร้าน

3.ข้อเสนอที่ดีจากพันธมิตร – เนื่องจากแม็คโครมีพันธมิตรสินค้าหลายบริษัทที่จะให้โปรโมชันดีๆ กับร้านค้าบัดดี้มาร์ท เช่น ไทยน้ำทิพย์, Unilever, P&G, เนสท์เล่ ทำให้ร้านมีโอกาสการขายมากกว่า

4.กิจกรรมการตลาดจากทีมงาน – ด้วยประสบการณ์จากแม็คโคร สามารถส่งเสริมแบรนด์บัดดี้มาร์ทให้ได้ รวมถึงให้คำปรึกษาด้วย “ดาต้า” ว่าสินค้าไหนเป็นสินค้าขายดีในพื้นที่ที่ร้านควรสั่ง

5.เทคโนโลยีช่วยพัฒนาธุรกิจ – ปรับตัวสู่ความทันสมัยให้กับร้านด้วยระบบเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ POS ทำให้ร้านเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้ และตัดสต็อกสินค้าได้รวดเร็ว ตรวจสอบได้ง่ายว่าสินค้าไหนที่ขายดี และสินค้าใดที่ต้องระบายสต็อก

นอกจากนี้ เอกพลยังกล่าวถึง ข้อดีอีกมากที่จะได้ เมื่อเป็นร้านบัดดี้มาร์ท เช่น องค์ความรู้วิธีจัดชั้นวางสินค้าที่ช่วยเร่งยอดขาย, มีรอบส่งของจากแม็คโครสูงสุด 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ร้านลดโอกาสของขาดสต็อก, ใช้ระบบเครดิตร้านค้า รับของก่อน ชำระในภายหลัง, มีที่ปรึกษาแนะนำการเสริมบริการด้านหน้าร้าน เช่น เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้เติมเงิน ตู้กดกาแฟ

ด้วยการยกระดับโชห่วยขึ้นเป็นร้านบัดดี้มาร์ท จะทำให้ร้านค้ามีระบบจัดการที่ดีขึ้น ลดโอกาสการ ‘จมทุน’ เพราะมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลและทำการตลาด และใช้เงินลงทุนไม่สูงทำให้คืนทุนเร็วอีกด้วย


เน้นความเป็น “เจ้าของ” ไม่ทิ้งอัตลักษณ์ชุมชน

อะไรที่ทำให้บัดดี้มาร์ทต่างจากแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้ออื่น? เอกพลอธิบายว่า บัดดี้มาร์ทไม่ได้ต้องการจะเปลี่ยนเอกลักษณ์ของโชห่วยแบบดั้งเดิมซึ่งมีหัวใจสำคัญคือการเป็น “ศูนย์กลางของคนในชุมชน”

“ความแข็งแกร่งที่สุดของโชห่วยคือการที่เจ้าของร้านสนิทชิดเชื้อกับคนในชุมชน บุคลิกของเจ้าของร้านคือเสน่ห์หรือเอกลักษณ์ส่วนตัว ส่วนใหญ่เจ้าของโชห่วยไทยจะจำคนในชุมชนตัวเองได้ รู้ใจในการซื้อสินค้า ทำให้รู้สึกผูกพันกัน” เอกพลกล่าว

แม้ว่าร้านจะถูกปรับให้เป็นชื่อบัดดี้มาร์ท ตกแต่งในสไตล์สีน้ำเงิน-เหลืองเหมือนกัน แต่หัวใจจะอยู่ที่ “เจ้าของร้าน” ที่จะยังเป็นคนเดิม สร้างสัมพันธ์กับคนในชุมชนต่อไป

รวมถึงบัดดี้มาร์ทจะสนับสนุนกลุ่ม “สินค้าชุมชน” เช่น กล้วยตาก ผลไม้ท้องถิ่น ลูกชิ้นปิ้ง สินค้าเหล่านี้ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละสาขาจะไม่ถูกทอดทิ้ง เพราะเป็นอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่นั้นๆ


ร้านค้านำร่องเพิ่มยอดขายแล้ว 40%

เอกพลกล่าวต่อถึงการชิมลางโมเดลธุรกิจนี้มาตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ปัจจุบันมีร้านค้านำร่องแล้ว 25 สาขา ซึ่งร้านทั้งหมดประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขาย เติบโตเฉลี่ยถึง 40% หลังเปลี่ยนเป็นบัดดี้มาร์ท

เป้าหมายของปี 2565 เชื่อว่าจะมีบัดดี้มาร์ทได้ 300 สาขา ขณะที่ปี 2566 ตั้งเป้าที่ 2,000 สาขา ในระยะแรกจะเน้นรับร้านค้าที่ทำธุรกิจโชห่วยอยู่เดิม มากกว่าผู้ที่ต้องการลงทุนใหม่ และจะดูแลประเด็น catchment area  ให้ไม่ทับซ้อนกัน

เอกพลกล่าวด้วยว่า สำหรับโปรโมชันช่วงนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2565 มีโปรฯ ฟรีค่าปรับปรุงร้านค้า 2 แสนบาท (ร้านค้าจ่ายเฉพาะค่าประกันสัญญา 2 แสนบาท) จำกัด 300 สิทธิ์แรกเท่านั้น สนใจสมัครติดต่อได้ที่ โทร.02-099-1555 หรือ LINE @Buddymart หรือ Facebook Page บัดดี้มาร์ท BuddyMart

“เป้าหมายระยะยาวของเราคือการทำอย่างไรให้ทายาทหรือคนรุ่นใหม่อยากมาสืบสานกิจการต่อ เราจึงต้องทำให้ร้านดูทันสมัย เติมสิ่งที่ขาด ทำให้ร้านโชห่วยปรับตัวได้ง่ายขึ้นในยุคนี้ เพื่อให้อีก 10-20 ปีข้างหน้า ร้านโชห่วยจะยังเป็นคู่ค้าของเราต่อไป” เอกพลกล่าวทิ้งท้าย

]]>
1407413