ค้าปลีก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 27 Sep 2025 05:39:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “สยามพิวรรธน์” Game Changer ตัวจริงแห่งวงการอสังหาฯ โมเดล “ไอคอนสยาม” ผู้สร้างตำนานบทใหม่ สู่จุดหมายปลายทางระดับโลก https://positioningmag.com/1539678 Fri, 26 Sep 2025 03:21:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1539678

ต้องบอกว่า “ค้าปลีก” ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างมาก อยู่ในอีโคซิสเท็มของการท่องเที่ยวที่ครบวงจร โดยที่ “สยามพิวรรธน์” เป็นผู้สร้างปรากฎการณ์ต่างๆ มากมายให้แก่ประเทศไทย หนึ่งในฟันเฟืองใหญ่ที่เพิ่มมูลค่าทางเศษฐกิจ ทำให้ไทยขึ้นแท่นจุดหมายปลายทางระดับโลกได้ในปัจจุบัน

ถ้าจะให้นิยามความสำเร็จของสยามพิวรรธน์นั้น ตอนนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้างปรากฎการณ์ทางธุรกิจอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็น “Game Changer” หรือผู้พลิกเกมตัวจริงเสียงจริงแห่งวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การเป็นผู้พลิกเกมของสยามพิวรรธน์ นั่นหมายความว่าไม่ได้แค่สร้างศูนย์การค้าให้ผู้คนมาใช้ชีวิตอย่างเดียว แต่ทำให้ทำให้เศรษฐกิจโดยรอบเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน โดยมี “ไอคอนสยาม” เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นบทพิสูจน์ความสำเร็จนี้ได้เป็นอย่างดี

ซึ่งความสำเร็จนี้สะท้อนผ่านผลประกอบการอันแข็งแกร่ง แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณถดถอย แต่ไอคอนสยามยังเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับมูลค่าทางเศรษฐกิจของหลากหลายธุรกิจในพื้นที่ฝั่งธนและริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถจากชั่วโมงบินที่สะสมในการทำธุรกิจมายาวนาน และศักยภาพในการมองเกมธุรกิจขาดอย่างเฉียบคม


Game Changer ตัวจริง ยืนหยัดเหนือทุกวิกฤติ

บนเส้นทางกว่า 67 ปี ของสยามพิวรรธน์ สิ่งที่สะท้อนอย่างชัดเจนที่สุดคือ การไม่หยุดนิ่ง และ การกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่ให้โลกได้เห็น บริษัทไม่ได้เพียงแค่สร้างศูนย์การค้า แต่ได้สร้างเวทีระดับโลก “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่เชื่อมโยงธุรกิจ ผู้คน ชุมชน และโลกเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านแนวคิด “วิถีสยามพิวรรธน์”

สยามพิวรรธน์ คือ “Game Changer ตัวจริง” ที่บุกเบิกและยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของไทย นับตั้งแต่โครงการ Siam Center ศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศ ซึ่งวางรากฐานวงการค้าปลีก และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยแจ้งเกิดในอุตสาหกรรมแฟชั่น ความกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่นี้ ได้ต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบ Mixed-Use Complex ยุคแรก ผ่าน Siam Tower อาคารสำนักงาน และโรงแรม Intercontinental ซึ่งดึงดูดการลงทุนของโรงแรมหรูระดับโลกให้กล้าลงทุนในไทย

ก่อนต่อยอดพัฒนา Siam Paragon โปรเจกต์ระดับโลก ซึ่งเป็น แม่เหล็กสำคัญ ที่พร้อมดึงดูดแบรนด์ลักชัวรีมากมาย และผลักดันให้ประเทศไทยเป็น จุดหมายปลายทางการลงทุนและท่องเที่ยวระดับโลก รวมถึงการสร้างและปรับโฉม Siam Discovery สู่ Hybrid Retail ทั้งหมดนี้คือการสะท้อนจิตวิญญาณของ Game Changer ที่เปลี่ยนโฉมวงการค้าปลีกไทยและยกระดับภาพลักษณ์ประเทศสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง


“ไอคอนสยาม” โมเดลสร้างเมือง เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ฝั่งธน

หนึ่งในโครงการที่เป็นไฮไลท์อย่าง “ไอคอนสยาม” ได้รับการยอมรับในฐานะ “ต้นแบบกระบวนการพัฒนาโครงการที่ครบวงจร” ที่เหนือกว่าการเป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็นการ “เปลี่ยนเกม” พัฒนาเมือง (Urban Transformation) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างเมืองและอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้อย่างครบวงจร การยกระดับนี้ทำให้ทำเลฝั่งธนบุรีมีความน่าดึงดูดและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

สยามพิวรรธน์ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับ 13 ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้ประกอบการท้องถิ่น และภาคธุรกิจริมแม่น้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการนี้จะสร้างขึ้นจากการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์ร่วมกัน (Co-Creation and Shared Value) ของผู้คน ชุมชน คู่ค้า และสังคม โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ทำให้คนฝั่งธนบุรีภูมิใจในที่อยู่ของตนเอง เนื่องจากโครงการไอคอนสยามเกิดขึ้นบนผืนดินฝั่งธนบุรี ด้วยความเชื่อที่ว่าความยิ่งใหญ่ของเมืองต้องสร้างมาจากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่

ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ ไอคอนสยาม เปิดให้บริการ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 115 ล้านคน รายได้ของศูนย์การค้าเติบโตเฉลี่ย 24.2% ต่อปี สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ 5,000 ล้านบาท แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณถดถอย สร้างงานมากกว่า 400,000 อัตรา ซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวโครงการเอง แต่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรอบอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะ “แม่เหล็กการท่องเที่ยวระดับโลก”  มีการจัดงานระดับโลก จำนวน 4,900 อีเวนท์ โครงการได้ยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศจนได้รับการยกย่องจาก CNN ว่าเป็น 1 ใน 3 จุดหมายปลายทางของคืนข้ามปีที่ดีที่สุดในโลก

ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจในพื้นที่ก็ได้เติบโตอย่างมหาศาล โดยราคาประเมินที่ดินบริเวณไอคอนสยาม พุ่งทะยานจาก 250,000 บาทต่อตารางวา เป็น 700,000 บาท และมีแนวโน้มว่าอาจสูงถึงตารางวาละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิด โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ ตามมาถึง 60 โครงการ ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรรอบโครงการ 

ส่วนภาคธุรกิจอื่นๆ เติบโตอย่างได้ชัดเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่ตั้งบนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เติบโตขึ้น 40% ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โรงแรมโดยรอบมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมนี้ส่งผลให้ราคาห้องพักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50% และมีอัตราการเข้าพักที่สูงกว่า 85% เมื่อมีนักท่องเที่ยวและโครงการ

ขณะเดียวกัน ความสำเร็จนี้ได้แผ่ขยายไปสู่ระดับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยโครงการ ไอคอนสยาม ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็น “เมือง” ที่ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานภายใต้หลักคิด Co-Creation and Shared Value เพื่อสร้างคุณค่าร่วมแก่สังคมและชุมชน เมื่อมีนักท่องเที่ยวและโครงการระดับโลกนี้เป็นแรงขับเคลื่อน ส่งผลให้ 3,500 ครัวเรือน ใน 13 ชุมชน ที่อยู่ล้อมรอบ มีรายได้ต่อครัวเรือนดีขึ้นจากการค้าขาย นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการดูแลและพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ รักษาความสะอาดและขุดลอกคูคลองรอบ ๆ ทั้ง 7 สาย ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ที่ว่า ความสำเร็จของไอคอนสยามนี้ คือ  การเติบโตทางธุรกิจร่วมกันของทั้งพื้นที่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน


พันธมิตรระดับโลกพร้อมลงทุนต่อเนื่อง

นอกจากการสร้างระบบนิเวศชุมชนรอบโครงการให้แข็งแกร่งแล้ว ยังความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านการแสดงเจตจำนงในการร่วมเปิดสโตร์แห่งใหม่ หรือขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งตอกย้ำถึงสถานะของโครงการที่พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย ในฐานะศูนย์กลางค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก

คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์  กล่าวไว้ว่า “แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ค่อยดี ผู้ประกอบการระดับโลกจำนวนมากต่างขอขยายพื้นที่ในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้มั่นใจในการลงทุนครั้งประวัติการณ์ คือ ยอดขายที่เหนือชั้น ลักชัวรีแบรนด์ที่จำหน่ายในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ทุกแบรนด์ต่างติดอันดับ ท็อป 5 หรือ ท็อป 10 ของโลก  โดยยอดขายลักชัวรีแบรนด์ที่มาจากไอคอนสยามและสยามพารากอนรวมกัน คิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งพอร์ตในประเทศไทย”

ด้วยเหตุนี้ แผนการขยายพื้นที่ครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เห็นได้ว่า มีแบรนด์กว่า 52 แบรนด์ ประกอบด้วยทั้งแบรนด์สินค้าลักเซอรี่ และผู้ประกอบการไทย ทยอยเปิดให้บริการที่ ไอคอนสยาม โดยมีการลงทุนรวมมีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านบาท  ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนผลประกอบการอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยแบรนด์ต่างๆ ประกอบด้วย Hermès เตรียมปรับโฉมเป็นแฟล็กชิปแบบ สองชั้น (Duplex) แห่งแรกของประเทศ พร้อมขยายพื้นที่เพิ่มอีก 500 ตารางเมตร ในทำนองเดียวกัน Prada ก็จะเพิ่มพื้นที่เป็น Duplex แห่งแรกในประเทศไทย เช่นกัน ส่วน Loro Piana ซึ่งเปิดสาขาแรกที่สยามพารากอนแล้ว จะมาเปิดสาขาเพิ่มที่ไอคอนสยามโดยจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย ด้าน Fendi จะเปิดตัว New Concept in Region ซึ่งเป็น Concept ใหม่ล่าสุด และเป็นที่แรกในเอเชีย พร้อมด้วย Facade ที่ได้รับการดีไซน์มาเป็นพิเศษสำหรับไอคอนสยามโดยเฉพาะ ขณะที่ Gentle Monster และ Tamburins เตรียมเปิดร้านขนาดใหญ่มากถึง พันตารางเมตร ในช่วงเดือนธันวาคม และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อาทิ Burberry,Omega,Maison Francis Kurkdjian (MFK),Club21 Multi Label,Versace,Glintz Jewelry,Carolina Lemke,Orlebar Brown,Tiffany & Co., KAYOU (Art Toy) รวมทั้งร้านอาหาร  อาทิ Bianca,Tonkatsu Aoki,Laderach,Candy Crush เป็นต้น

การลงทุนขยายพื้นที่ครั้งประวัติการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ไอคอนสยาม ได้ก้าวไปไกลกว่าการสร้างมาตรฐานระดับโลก โดยยังคงทำหน้าที่เป็น Global Attraction ที่ดึงดูดการลงทุนและเป็น prototype (ต้นแบบ) ที่ผู้ประกอบการระดับโลกต้องศึกษาและเรียนรู้ ซึ่งรางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจ คือ ในปีนี้ไอคอนสยาม ได้รับคัดเลือกเป็น Finalist เพียงหนึ่งเดียวจากประเทศไทย และหนึ่งในสองโครงการจากเอเชีย ในรางวัล Most Influential Retail Property Project of the Past 30 Years หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรอบ 30 ปี  MAPIC Award 2025 ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น Cannes ของวงการ Retail โดยได้เข้าร่วมแข่งขันกับโครงการระดับโลกอย่าง Dubai Mall (UAE), Battersea Power Station (UK) และ Marina Bay Sands (Singapore) 

หลังจากเคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมาแล้วในปี 2019 เมื่อคว้ารางวัลชนะเลิศ MAPIC AWARD– Best Shopping Center 2019 ศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก เส้นทางของสยามพิวรรธน์คือบทพิสูจน์ว่า “วิสัยทัศน์ ความกล้า ความศรัทธา” สามารถเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริงได้ ทุกโครงการไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้แก่บริษัท แต่ยังสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่สังคม ชุมชน และประเทศ

เราคงไม่สามารถเรียกสยามพิวรรธน์ว่าเป็นเพียงผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะนี่คือ “ผู้พลิกเกม” เพื่อ “ชนะ” ตัวจริง ที่ไม่เพียงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ยังทำให้ประเทศไทยเป็นที่จับตามองบนเวทีโลก Win the World for Thailand และยังทำให้ประเทศไทยขึ้นแท่นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวระดับโลก ที่จะต้องมาเช็คอินสักครั้งในชีวิต

]]>
1539678
สมาคมค้าปลีกไทย ชี้พิษภาษีทรัมป์ทำให้ ‘สินค้าจีน’ ทะลักเข้าไทยมากขึ้น https://positioningmag.com/1518993 Mon, 21 Apr 2025 12:12:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518993 นอกจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ไม่เอื้ออำนวยแล้ว ช่วงครึ่งหลังปี 2568 ‘ธุรกิจค้าปลีก’ ยังต้องเผชิญความท้าทายที่เกิดจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างรุนแรงเท่านั้น ยังจะทำส่งผลให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยมากขึ้น

 

‘ณัฐ วงศ์พานิช’ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยต้องพบกับความท้าทายหลายด้านในปี 2568 ทั้งวิกฤติการค้าโลก การขึ้นภาษีศุลากรของสหรัฐฯ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และภาวะหนี้ครัวเรือน ทำให้คาดการณ์ GDP ปีนี้ลดลงเหลือ 1-1.4% จากเดิมคาดการณ์จะเติบโตอยู่ในกรอบ 2.7-3%

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย เบื้องต้นประเมินว่า ยอดขายภาคค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยในช่วงปี 2567-2568 โตเฉลี่ย 3.4% คิดเป็นมูลค่า 1.36 แสนล้านบาท ขณะที่ช่วงปี 2565-2566 มีการเติบโต 5.9%

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีมากกว่า 3.3 ล้านราย ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนที่เข้ามาผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน

 

“จีนเป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ามากสุด จึงต้องหาตลาดทดแทน บวกกับปัญหาการผลิตสินค้าเกินความต้องการภายในประเทศจีน ทำให้จีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ ซึ่งประเทศเป้าหมายก็คือประเทศใกล้เคียงกับจีน รวมถึงไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน”

 

สำหรับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทยจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, Accessory และอาหาร เป็นต้น โดยสินค้าจีนได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยไม่ควรแข่งที่ราคา แต่ต้องสู้ที่ความแตกต่างและคุณภาพ

 

ขณะที่ภาครัฐ ควรมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เช่น การจัดเก็บภาษีตั้งแต่บาทแรกของสินค้าออนไลน์นำเข้าเป็นการถาวร (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาทจะได้รับการยกเว้นภาษี), ออกมาตรการควบคุมสินค้าด้อยมาตรฐานจากแพลตฟอร์มออนไลน์ และการตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ

 

รวมถึงปราบปรามธุรกิจนอมินี จำเป็นต้องเร่งหามาตรการเชิงรุกในการจัดการธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ควรส่งเสริมให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผ่าน 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

-นโยบาย Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทันที ณ ร้านค้า ให้กับนักท่องเที่ยวที่มี ยอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไปต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับประเทศจีนที่ได้ประกาศใช้นโยบาย Instant Tax Refund 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท) นำร่องที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว

 

-แซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Free Tax Zone) ในจังหวัดภูเก็ต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันท่ามกลางสงครามการค้าโลก

]]>
1518993
“เซ็นทรัลพัฒนา” ยืนหนึ่งศูนย์การค้าไทย พาคู่ค้าเติบโตไปด้วยกัน มุ่งมั่นเป็น Your Success Partner ให้ทุกแบรนด์ https://positioningmag.com/1503268 Tue, 17 Dec 2024 06:47:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503268

หากจะพูดถึงอุตสาหกรรมที่มีใกล้ชิดการใช้ชีวิตประจำวันมากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมี “ค้าปลีก” อย่างแน่นอน นอกจากจะเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ เกิดการจ้างงานในชุมชน ยังเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ให้เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของพื้นที่นั้นๆ

ซึ่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย มีโครงการครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, โครงการที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ โดยเฉพาะ “ศูนย์การค้า” ที่ปักหมุดเป็น World Destination ไปแล้วเรียบร้อย การที่เซ็นทรัลพัฒนาขึ้นแท่นเป็นศูนย์การค้าเบอร์หนึ่งได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากจะมีการพัฒนาโครงการครอบคลุมทุก Strategic Location แล้ว “ร้านค้า” หรือพาร์ทเนอร์ก็เป็นหัวใจสำคัญไม่น้อย เพราะเป็นแม็กเน็ตหลักที่จะช่วยดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการในศูนย์ฯ ได้


ไม่ใช่แค่คู่ค้า แต่เป็น Your Success Partner ทุกมิติ

จุดแข็งอย่างแรกที่ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือทองนั่นคือ ประสบการณ์ในวงการค้าปลีกกว่า 45 ปี ปั้นศูนย์การค้า 41 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 18 โครงการ ต่างจังหวัด 23 โครงการ รวมไปถึงที่ประเทศมาเลเซียอีก 1 แห่ง ด้วยประสบการณ์ขั้นเซียนจึงเป็นที่ไว้วางใจของทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างชาติระดับโกลบอลโดยมีหลายแบรนด์ที่เลือกเซ็นทรัลเวิลด์เปิดร้านสาขาแรก และบางแบรนด์เป็นแฟล็กชิพสโตร์

นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายขาย บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า

“เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนให้กับทุกคน รวมถึงพันธมิตรคู่ค้า โดยมีศูนย์การค้ากว่า 41 สาขาใน Strategic Prime Locations ทั่วประเทศ และในประเทศมาเลเซียอีก 1 แห่ง พร้อมแบรนด์ร้านค้ากว่า 18,000 ร้านค้า และเป็น House of Global Brands ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก 76 แบรนด์ในการเปิดสาขาแรกในไทย รวมถึงแฟลกชิปสโตร์กว่า 44 แบรนด์ พร้อมซัพพอร์ตการขยายสาขาทั่วประเทศและการสนับสนุนแบรนด์ไทยน้องใหม่มากกว่า 200 แบรนด์ ผ่าน Retail Incubation Program เช่น โครงการ LEAD by Central Pattana หลักสูตรรีเทลหนึ่งเดียวที่ให้ผู้ประกอบการได้เรียนจริง ทำจริง และเติบโตจริง กับเซ็นทรัลพัฒนา

เซ็นทรัลพัฒนาไม่ได้มองร้านค้าเป็นเพียงแค่คู่ค้าอย่างเดียว แต่เป็นพาร์ทเนอร์ระยะยาวที่พร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน พร้อมจะเป็น Your Success Partner เป็นเพื่อนคู่คิดตลอดเส้นทางการเติบโตของธุรกิจ ด้วยโลเคชั่นสุดปังสร้างร้านให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังมีเครื่องมือต่างๆ ที่พร้อมติดอาวุธให้พาร์ทเนอร์สร้างการเติบโตแบบ 360 องศา ด้วยเครื่องมือทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ รวมถึง Data Platform ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดอีกด้วย


ชู 3 จุดแข็ง ช่วยแบรนด์เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน 

ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์การค้าหนึ่งเดียวที่รวมกว่า 18,000+ ร้านค้าทั่วประเทศมากที่สุด เป็น House of Global Brands 76 แบรนด์ดังปักหมุดสาขาแรกในไทย และ 44 แฟลกชิพสโตร์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล จากความสำเร็จนี้สะท้อนได้จาก 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

  1. Holistic Partnership

มีทีมงานเฉพาะทางทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างใกล้ชิดแบบ “Tenant Centric” โดยมีความรู้และประสบการณ์ในการเข้าใจลูกค้าในแต่ละภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง นำเสนอ Marketing Solution แบบ 360 องศา ช่วยผลักดันยอดขายและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงการ Co-create กับแบรนด์ เพื่อให้คู่ค้า ผู้ประกอบการท้องถิ่น และชุมชนเข้ามาอยู่ใน Ecosystem ที่ยั่งยืนของเซ็นทรัลพัฒนา พร้อมทำงานร่วมกับแบรนด์ทุกขนาดเพื่อสร้างโอกาสและพัฒนาประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับคู่ค้าและลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

  1. Entrepreneurial Incubator

โปรแกรมเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่ดีที่สุด เป็น Retail Incubation Programme กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักตัวเองและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้คำแนะนำจากกูรู พร้อมกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีสนามให้ทดลองนำแนวคิดใหม่ๆ มาวิเคราะห์และปรับปรุงก่อนใช้จริง ช่วยจุดประกายความยั่งยืนให้ธุรกิจ โดยตัวอย่างเช่น โครงการ ‘LEAD’ by Central Pattana คอร์สรีเทลที่ดีที่สุด เรียนจริง ทำจริง โตจริง สร้างความสำเร็จในการปั้นแบรนด์ใหม่และสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต่อเนื่องกว่า 200 แบรนด์ ในระยะเวลา 6 ปี ล่าสุด! ได้รับรางวัล Marketing Excellence Awards 2024 และในอนาคต ยังมีโปรแกรมเพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพพร้อมติดอาวุธให้ผู้ประกอบการอีกหลายมิติ ให้พร้อมเติบโต Scale-Up และขยายสาขาไปทั่วประเทศ

  1. The Most Powerful Big Data

แบรนด์คู่ค้า Central Pattana มีอัตราการเติบโตสูงกว่าแบรนด์ทั่วไปถึง 2.7 เท่า เมื่อเข้าร่วม “โปรแกรม The 1 BIZ” Data Platform พร้อมใช้ ให้คู่ค้าเข้าถึง Data ที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด ผ่านการร่วมมือกับ The 1 ที่มีข้อมูลทั้งเชิงลึก และเข้าถึงได้ตรงจุด ด้วยฐานสมาชิกกว่า 21 ล้านคน พร้อมอัดฉีด 360 Marketing investment เพื่อทำ Marketing activation ทั้ง Campaign promotion และ Communication สนับสนุน Platform กว่าอีก 200 ล้านบาทต่อปี ติดปีกคู่ค้าด้วยบทพิสูจน์การเติบโตเพิ่มยอดขายเฉลี่ยให้แบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 10% ภายในระยะเวลา 6 เดือนแรกของการเข้าร่วมโปรแกรม

16 แบรนด์ระดับโลก ปักหมุดไทย ลุยเปิดสาขาแรกต่อเนื่อง 

สำหรับในปี 2567 แบรนด์ระดับโลกที่เชื่อมั่นเลือกเปิดสาขาแรกรวมถึงแฟล็กชิปสโตร์กับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ล้วนได้รับความนิยมเกิดเป็นกระแสไวรัลไปทั่วประเทศ อาทิ

กลุ่มอาหาร และเครื่องดื่ม

  • HIKINIKU TO COME  ร้านแฮมเบิร์กสุดฮิตจากญี่ปุ่น สร้างกระแสถล่มทลายในไทย
  • KATSU MIDORI ร้านซูชิสายพานเจ้าดังจากญี่ปุ่น
  • TONKATSU AOKI ร้านทงคัตสึเจ้าดังจากญี่ปุ่นที่คนต่อคิวกว่า 2 ชั่วโมง
  • KAZAMA YAKINIKU เนื้อย่างสุดพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น
  • BHC CHICKEN แบรนด์ไก่ทอดเกาหลีสร้างปรากฏการณ์การคิวยาว ยอดขายทะลุเป้ากว่า 300%
  • PIZZA MARU พิซซ่าชื่อดังส่งตรงจากเกาหลี ครั้งแรกในประเทศไทย
  • CHICHA SAN CHEN แฟล็กชิปสโตร์ร้านแรกที่เดียวในไทย กับชาระดับพรีเมียมจากไต้หวัน เป็นแบรนด์ชาแบรนด์เดียวในโลกที่ได้รับรางวัลสูงสุดจาก ITI เทียบเท่ากับรางวัล “มิชลิน 3 ดาว” 6 ปีซ้อน
  • KUMO KUMO CHEESE ร้านชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่นเจ้าดังจากประเทศจีน

กลุ่มแฟชั่น และไลฟ์สไตล์

  • BEYOND THE VINES กระเป๋าแบรนด์ดังจากสิงคโปร์ แฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกและใหญ่ที่สุด
  • RITUALS แบรนด์เครื่องหอมชื่อดังจาก Amsterdam
  • WILSON แบรนด์อุปกรณ์เทนนิสระดับโลก กับคอนเซ็ปต์ 360 Store รูปแบบใหม่แห่งแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • APM MONACO แบรนด์เครื่องประดับหรูจากโมนาโก
  • CASETIFY แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เชี่ยวชาญด้านเคสโทรศัพท์และอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ปรับแต่งได้จากฮ่องกง
  • NATIONAL GEOGRAPHIC แบรนด์ร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์ท่องเที่ยวแห่งแรกในประเทศไทย
  • AERIE แบรนด์ชื่อดังจากอเมริกาที่ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้หญิง
  • BOUNCETOPIA สวนสนุกเป่าลมยักษ์อันดับ 1 จากสิงคโปร์แห่งแรกในไทย ใหญ่สุดในเอเชีย เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปีนี้ยังมีแบรนด์ระดับโลกที่เลือกกลับมาเปิดใหม่ในไทยอีกครั้งกับเรา อาทิ AESOP แบรนด์สกินแคร์ชั้นนำระดับโลกจากประเทศออสเตรเลียเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์ในคอนเซปต์ใหม่ และ GENKI SUSHI ซูชิสายพานจากญี่ปุ่น ใช้ Kousoku Train รถไฟความเร็วสูงเพื่อเสิร์ฟซูชิถึงโต๊ะ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นข้อการันตียืนยันความสำเร็จของการเป็นเบอร์หนึ่งของศูนย์การค้าไทย เป็นจุดหมายปลายทางของแบรนด์ดังระดับโลกที่เลือกศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหมุดหมายในการเปิดสาขาแรก รวมไปถึงแบรนด์ไทยชั้นนำก็เลือกเซ็นทรัลพัฒนาในการขยายธุรกิจ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ทั่วประเทศ

นอกจากนี้เซ็นทรัลพัฒนายังพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ติดสปีดในการเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยบทบาท Big Brother ภายใต้โครงการ LEAD by Central Pattana มีแบรนด์ดังที่มีแพชชั่นอันแรงกล้าเข้าร่วมอย่าง GENTLEWOMAN, RAVIPA, WITH IT, URTHE, YUEDPAO, โรงชาชงดี ปัจจุบันสามารถสยายปีกได้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยโครงการนี้ได้สร้างความสำเร็จกว่า 200 แบรนด์

เซ็นทรัลพัฒนาไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเขย่าวงการค้าปลีกสร้างอิมแพ็คระดับประเทศ เตรียมจับตามอง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” บิ๊กโปรเจ็คต์ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) โดยในส่วนของ Central Park Office จะเปิดให้บริการใน Q3 ปี 2568 และศูนย์การค้า Central Park จะเปิดให้บริการใน Q4 ปี 2568 และเซ็นทรัล กระบี่ ที่คาดว่าจะเปิดใน Q4 ปี 2568 เรียกได้ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนระดับประเทศได้แน่นอน ดึงดูดคลื่นนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาพร้อมเม็ดเงินหมุนเวียนจากทั่วโลก

]]>
1503268
“สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” รุกขยายโครงการใหม่ ปักธงใจกลางภูเก็ต สร้างโกลบอลเดสติเนชั่นแห่งใหม่ พร้อมเปิดให้บริการปี 2569 https://positioningmag.com/1488368 Mon, 02 Sep 2024 20:28:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488368

บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างสองผู้นำแห่งวงการค้าปลีกระดับโลก ได้แก่ สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่นชั้นนำของไทย กับ ไซม่อน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของโครงการระดับโลกที่เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้ง ไดน์นิ่ง ความบันเทิง และโครงการมิกซ์ยูส จากสหรัฐอเมริกา ประกาศแผนการลงทุนขยาย “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต”  แห่งที่ 2 ของประเทศไทย โดยปักธงใจกลางจังหวัดภูเก็ตเมืองแห่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลก เพื่อสร้างจุดหมายปลายทางของการช้อปปิ้งและการท่องเที่ยวแห่งใหม่แก่ชาวไทยและชาวต่างชาติ  ช่วยส่งเสริมและเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย  โดยตั้งเป้าเปิด “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ภูเก็ต” ภายในปี 2569

บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิด “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” แห่งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2563  ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนกรุงเทพ-ชลุบรีสายใหม่ (ทางหลวงหมายเลข 7) ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ  โดยเป็นการนำประสบการณ์พรีเมี่ยม เอาท์เล็ตอย่างแท้จริงสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกและแห่งเดียวเท่านั้น ประกอบด้วยร้านค้าที่นำเสนอแบรนด์มากกว่า 300 แบรนด์ ทั้งร้านค้าลักชัวรี่แบรนด์ แบรนด์ของดีไซเนอร์ที่เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมสูงสุด รวมถึงแบรนด์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และแบรนด์ไทยต่างๆ  โดยมีไฮไลท์แบรนด์ที่มีเฉพาะที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น อาทิ Balenciaga, Burberry, Versace, Marc Jacobs, Karl Lagerfeld, Rebecca Minkoff, Longchamp, Boss, Montblanc, Swiss Watch Gallery, Fred Perry, Nike United SPO, Pomelo, Siam Takashimaya เป็นต้น   นับเป็นสุดยอดจุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้งที่สำคัญอีกแห่งของประเทศไทย ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

โดยผลประกอบการของ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” ในปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งมีจำนวนผู้เข้าใช้บริการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องโดยตลอด และปัจจุบันอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเต็ม 100%

จากความสำเร็จอย่างสูงและการมีวิสัยทัศน์เดียวกันของสยามพิวรรธน์และไซม่อน บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในการพัฒนาโครงการจุดหมายปลายทางที่สำคัญระดับโลก จึงตัดสินใจเดินหน้าขยายการลงทุนเปิดโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” แห่งใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองยอดนิยมของทัวร์ริสต์อันดับที่ 2 รองจากกรุงเทพฯ และเป็นหนึ่งใน Global Destination ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก  และเป็น location จุดหมายสำคัญที่กลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้เช่าเดิมในโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ”  และผู้เช่าใหม่จำนวนมากต่างแสดงความต้องการและให้ข้อเสนอแนะให้บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่

โดยโครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต ภูเก็ต” จะถูกรังสรรค์ภายใต้คอนเซ็ปต์พิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสําหรับพื้นที่จังหวัดภูเก็ต  โดยคํานึงถึงการตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและรองรับการเติบโตของภูเก็ตในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า

สำหรับโลเคชั่นของ โครงการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต” แห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต  มุ่งรองรับการเติบโตของเมืองที่มีการขยายตัวทุกทิศทาง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตต่อปีไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน รวมถึงคนไทยในพื้นที่และชาวต่างชาติที่มาพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน (Expat) มีกำลังซื้อสูง โดยพบว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวในภูเก็ตอยู่ในระดับค่อนข้างสูงคือ 8,355 บาทต่อคนต่อวัน

สำหรับศักยภาพความพร้อมด้านกำลังซื้อของจังหวัดภูเก็ต สามารถสะท้อนจากจำนวนห้างค้าปลีกที่มีมากถึง 14 แห่ง และไฮเปอร์มาร์เก็ตอีก 19 แห่ง รวมถึงโรงเรียนนานาชาติที่มีมากถึง 15 แห่ง นอกจากนี้ภูเก็ตยังมีจุดแข็งในด้านความสะดวกสบายในการเดินทางทั้งรถสาธารณะที่หลากหลายพร้อมให้บริการ รวมถึงถนน และทางหลวงที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังมีสนามบินที่สามารถรองรับผู้โดยสารทั้งได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี และโครงการสนามบินนานาชาติอันดามัน จ.พังงา ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ส่งผลให้วันนี้จังหวัดภูเก็ตมีศักยภาพเต็มที่ในการรองรับการลงทุนใหม่ๆ และนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก

บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด เป็นการผนึกกำลังระหว่างสองผู้นำแห่งวงการค้าปลีก  ที่จะสามารถนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับโลก สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่อันน่าตื่นเต้นเร้าใจให้กับวงการค้าปลีกภูเก็ตอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   และสร้างจุดหมายปลายทางของการช้อปปิ้งและการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทยอีกด้วย

]]>
1488368
สยามพิวรรธน์ ย้ำตำแหน่งผู้นำลักซ์ซูรี่ แห่งวงการค้าปลีก มอบประสบการณ์แรกเหนือความคาดหมาย https://positioningmag.com/1486978 Tue, 20 Aug 2024 12:15:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486978

หากพูดถึงจุดหมายปลายทางแบบลักซ์ซูรี่ที่ดีที่สุดในเอเชีย กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์  ได้รับการกล่าวถึงในฐานะผู้พัฒนา Luxury destination ที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน และไอคอนสยาม ซึ่งได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นหนึ่งในโครงการระดับ Global Destination ที่มีความโดดเด่นเป็นหมุดหมายของลักซ์ซูรี่แบรนด์ชั้นนำที่ครบครันและสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


NO.1 Luxury Destination ที่แบรนด์หรูระดับโลกให้ความไว้วางใจมากที่สุด เปิดแฟล็กชิพสโตร์ คอนเซ็ปต์สโตร์ หรือคอลเลคชั่นใหม่เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย

สยามพารากอนและไอคอนสยาม ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก ต่างทยอยเปิดแฟล็กชิพสโตร์ คอนเซ็ปต์สโตร์ หรือคอลเลคชั่นใหม่เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 หลายแบรนด์ได้เลือกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยและมีแบรนด์ที่ Exclusive เฉพาะที่สยามพารากอนและไอคอนสยามเท่านั้น

สยามพารากอน

  • ที่สุดแห่งอัครยนตรกรรม โรลส์-รอยซ์ เปิดบูทีคอัตลักษณ์ใหม่ภายใต้คอนเซปต์ ‘Galleria’ ภายในศูนย์การค้าซึ่งนับเป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก โดยบูทีคแห่งใหม่นี้เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อสัมผัสถึงความรื่นรมย์และสุนทรีย์ของแบรนด์ โรลส์-รอยซ์ และสั่งทำยนตรกรรมคันโปรดแบบ Bespoke ได้จากศูนย์รวมความลักซ์ซูรี่ระดับแนวหน้าของประเทศไทย

  • พบกับการปรับโฉมใหม่ของ BVLGARI ลักซ์ซูรี่แบรนด์สุดไอคอนิก ที่สร้างความตื่นตะลึงกับ       ชอปดูเพล็กซ์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
  • DOLCE&GABBANA โฉมใหม่ที่มีการออกแบบที่เรียบง่ายแต่หรูหรา มาพร้อมการออกแบบที่เรียบง่ายแต่หรูหรา โดดเด่นด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับอิตาลี
  • GUCCI ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ของแบรนด์ ซึ่งมีความแตกต่างจากที่เคยมีมา ขยายประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วยโฉมใหม่ล่าสุดที่รวบรวมคอลเลคชั่นสําหรับสุภาพสตรีไว้ได้อย่างครบครัน ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แอคเซสเซอรี่ และเครื่องประดับ
  • LOEWE กับ LOEWE Store แห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุด ภายใต้แนวคิด และแรงบันดาลใจที่ได้รับการออกแบบโดย ครีเอทีฟไดเรคเตอร์ โจนาธาน แอนเดอร์สัน พร้อมให้ค้นพบเครื่องหนัง กระเป๋า กระเป๋าสตางค์ ของแต่งบ้าน และเทียนหอม จากโฮม คอลเลคชั่น พร้อมเสื้อผ้า และเครื่องหนังทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีจากคอลเลคชั่นล่าสุด
  • CASABLANCA แบรนด์เสื้อผ้าลักซ์ซูรี่จากกรุงปารีสเปิดตัวช้อปปิ้งสเปซแห่งแรกของโลก
  • เตรียมพบกับ MONTBLANC กับคอนเซ็ปต์ดีไซน์ใหม่ และบูติกสำหรับสุภาพสตรีโฉมใหม่ของ PRADA เร็วๆ นี้

ไอคอนสยาม

  • VAN CLEEF & ARPELS แบรนด์เครื่องประดับและนาฬิกาชั้นสูงจากฝรั่งเศส ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี ได้เปิดบูติกแห่งใหม่ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัย สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความประณีตและความงดงามในทุกรายละเอียด
  • CHAUMET แบรนด์เครื่องประดับสุดหรูหราสัญชาติฝรั่งเศส ร้านแรกในประเทศไทย กับคอลเลคชั่นใหม่ที่นำเสนอเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่และอัญมณีผ่านศิลปะหลากหลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน

ปรากฏการณ์เปิดตัวเวิลด์คลาสอีเวนต์ยิ่งใหญ่ และ “Pop-up Store” มอบประสบการณ์แรกเหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง

สยามพารากอน และไอคอนสยาม ได้รับเกียรติจากแบรนด์ดังระดับโลก สร้างปรากฏการณ์เปิดตัวเวิลด์คลาสอีเวนต์ยิ่งใหญ่ และเปิด Pop-up Store จัดโชว์เคสพิเศษและนำเสนอสินค้าลิมิเต็ดคอลเลคชั่นพิเศษอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีการเปิด Pop-up Store จากแบรนด์ต่างๆ ที่หมุนเวียนกันมาสร้างความตื่นตาตื่นใจตอบโจทย์ประสบการณ์แรกเหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า

สยามพารากอน

  • แบรนด์หรูอย่าง CELINE ได้เลือกเนรมิต CELINE SIAM PARAGON PLEIN SOLEIL POP UP STORE ขึ้น ซึ่งมีเพียง 1 ใน 7 แห่งของโลกเท่านั้น
  • PRADA เปิดตัวป็อปอัพสโตร์แห่งใหม่เนรมิตพื้นที่ทั้งหมดด้วยลายทางสลับสีขาวแดงสะดุดตา นำเสนอเครื่องแต่งกายสำหรับบุรุษและสตรี กระเป๋า รองเท้า และเครื่องประดับที่คัดสรรเป็นพิเศษจากคอลเลคชั่นใหม่จากแรงบันดาลใจจากบรรยากาศของฤดูร้อนและสีสันแห่งการท่องเที่ยว

  • LORO PIANA เปิดตัวป๊อบอัพสโตร์แห่งใหม่ เพื่อนำเสนอคอลเลคชั่น Summer Resort 2024
  • GUCCI ได้เปิดตัว Gucci Ancora Pop Up พร้อมเผยโฉมคอลเลคชั่น SPRING SUMMER 2024 จากผลงานการออกแบบโดย Sabato De Sarno

  • COACH เนรมิต Parc Paragon ให้กลายเป็น The Coach Tabby Shop ป๊อปอัพสุดคิ้วท์รูปทรงกระเป๋า Tabby ไอเท็มรุ่นไอคอนิกของ Coach ในเฉดสีเหลืองใบยักษ์ ตั้งสดใสสะท้านแดดใจกลาง พาร์ค พารากอน

  • GENTLE MONSTER ได้เปิดตัว “Jentle Salon Pop-Up” เป็นครั้งแรกในประเทศไทยของป๊อปอัป สโตร์ไอคอนิคสุดคิวท์สไตล์ “เจนนี่ BLACKPINK” ส่งตรงจากเกาหลี ที่สยามพารากอน เท่านั้น
  • แบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลก เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นหายาก อาทิ แบรนด์ HUBLOT ฉลองบทบาทสำคัญในฐานะ Official Watch การแข่งขันฟุตบอล UEFA EURO 2024™ เนรมิตป๊อปอัพสโตร์ “Hublot Loves Football UEFA EURO 2024” สุดอลังการ, Jaeger-LeCoultre (เจเกอร์-เลอคูลทร์) เปิดประสบการณ์ครั้งสำคัญผ่านเรื่องราวกว่า 90 ปีกับ Reverso Stories Travelling Collection เนรมิตงานตกแต่งอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ผลิตนาฬิกาชั้นสูง, Lange & Söhne (อา. ลังเงอ แอนด์ โซเนอ) จัดนิทรรศการเอ็กซ์คลูซีฟ “Precision in Motion” แสดงศิลปะการแกะสลักที่ขาดไม่ได้ในประเพณีการผลิตนาฬิกาของ Lange & Söhne นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง

ไอคอนสยาม

  • LOEWE ได้เปิด LOEWE POP-UP STORE นำเสนอคอลเลคชั่นซัมเมอร์แห่งปี Paula’s Ibiza 2024 ที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจจาก พอลล่าส์ บูทีค (Paula’s Boutique) อันเป็นเอกลักษณ์ บนเกาะอิบิซ่า ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรม ฮิปปี้ในปี 1970
  • MCM กับการเข้าสู่ MCM Celebrate the New Era ได้เปิดตัว MCM Lauretos Pop up Store พร้อมขนขบวนกระเป๋าใน SS24 Collection บนลวดลาย Lauretos ซึ่งเป็นไอคอนิกโมโนแกรมลายใหม่ประจำซีซั่นถ่ายทอดลงบนไอคอนิคไอเทม

สยามพิวรรธน์ พร้อมเดินหน้าบุกเบิกนิยามใหม่ New World Luxury เพื่อสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ใหม่ๆ และเติมเต็มประสบการณ์ลักซ์ซูรี่ที่เหนือความคาดหมายและสมบูรณ์แบบที่สุดให้กับทุกคน ยกระดับประเทศไทยเป็นหมุดหมายตลาดลักซ์ซูรี่ ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

]]>
1486978
กลุ่มสยามพิวรรธน์ คว้า 3 รางวัลระดับนานาชาติ จาก Real Estate Asia Awards 2024 ตอกย้ำผู้นำโกลบอลเดสติเนชั่น ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาภูมิทัศน์เมือง https://positioningmag.com/1478494 Tue, 18 Jun 2024 09:40:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478494

กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์  สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ คว้า 3 รางวัลอันทรงเกียรติ ระดับนานาชาติ จากเวที Real Estate Asia Awards 2024 ประเทศสิงคโปร์ นำโดยสยามพิวรรธน์ได้รับรางวัล Developer of the Year – Thailand, ไอคอนสยาม ได้รับรางวัล Mixed-use development of the Year – Thailand และสยามพารากอน ได้รับรางวัล Innovation Hub Development of the Year – Thailand  ตอกย้ำความสำเร็จของผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาภูมิทัศน์เมืองในกรุงเทพมหานคร มีส่วนร่วมสร้างสรรค์อัตลักษณ์เมืองที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมาเยือน  

สยามพิวรรธน์ – Developer of the Year – Thailand รางวัลสะท้อนความเป็นที่สุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ที่นำความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก จนทำให้เกิดการพัฒนาด้านภูมิทัศน์ของวงการค้าปลีกในประเทศไทย ส่งเสริมวัฒนธรรมและภาคการท่องเที่ยวไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลก อีกทั้งการนำนวัตกรรมและการบริหารงานที่ยอดเยี่ยมทำให้สยามพิวรรธน์เป็นผู้บุกเบิกการสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายที่พิเศษและแตกต่าง สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มาเยือนจากทั่วโลก

ไอคอนสยาม – Mixed-use development of the Year – Thailand รางวัลสะท้อนความยอดเยี่ยมของการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เป็นอภิมหาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกและโครงการที่พักอาศัยระดับเวิล์ดคลาส  ไอคอนสยามนำเสนออัตลักษณ์ของความเป็นไทย นำสิ่งที่ดีที่สุดของไทยบรรจบกับสิ่งที่ดีที่สุดของโลก จนเป็นแลนด์มาร์กของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางห้ามพลาดของนักเดินทางจากทั่วโลก

สยามพารากอน Innovation Hub Development of the Year – Thailand  รางวัลสุดยอดผู้พัฒนาศูนย์นวัตกรรมแห่งปี จากความร่วมมือกับพันธมิตร SCBX พัฒนาพื้นที่ Next Tech  เทคคอมมูนิตี้เพื่อการเรียนรู้แห่งโลกอนาคต เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ตั้งแต่เปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม 2022  Next Tech กลายเป็นเทคคอมมูนิตี้ ที่มีการจัดงานเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อต่างๆ แทบทุกวันตลอดปี

 

ทั้ง 3 รางวัลดังกล่าว จึงเป็นบทพิสูจน์ศักยภาพของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ร่วมกันสร้างสรรค์ (Co-creation) และการสร้างคุณค่าร่วมกัน พัฒนาโครงการจุดหมายปลายทางระดับโลกที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเมืองและนวัตกรรมใหม่ๆ ในประเทศไทย

]]>
1478494
‘โลตัส’ ชูจุดแข็งช่องทางออนไลน์ ส่งฟรี ส่งของสดภายใน 1-3 ชั่วโมง จูงใจลูกค้า ตั้งเป้าปีนี้โต 30% https://positioningmag.com/1466486 Fri, 15 Mar 2024 10:26:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466486 โลตัส (Lotus’s) ชูจุดแข็งช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่งสินค้าฟรีไม่มีขั้นต่ำ ส่งของสดภายใน 1-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะจูงใจลูกค้า โดยตั้งเป้าปีนี้โต 30% ขณะเดียวกันก็ยังมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรม My Lotus’s ให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data

ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส ได้กล่าวถึงแอปพลิเคชัน Lotus’s ในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นมียอดดาวน์โหลดแอปฯ รวมมากถึง 10 ล้านดาวน์โหลดแล้ว ซึ่งเขาชี้ว่าตัวเลขจำนวนการสั่งซื้อรวมแตะระดับ 1 ล้านครั้ง และเป็นครั้งแรกนั้นยากเสมอ บริษัทต้องใช้เวลาถึง 7 เดือนหลังจากบริษัทได้เปิดตัวแอปฯ ในปี 2022

ขณะที่จำนวนการสั่งซื้อรวมแตะระดับ 1.5 ล้านครั้งภายในเดือนมกราคมปี 2024 ที่ผ่านมา และในปี 2023 มียอดสั่งซื้อรวมกันมากถึง 1 หมื่นล้านบาทแล้ว

กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของโลตัส ยังกล่าวว่า บริษัทเป็นค้าปลีกรายแรกของไทยที่พร้อมจัดส่งสินค้าภายใน 1 ชั่วโมงหากเป็นการจัดส่งจากสาขาของโลตัสโกเฟรช และภายใน 3 ชั่วโมงหากเป็นการจัดส่งจากสาขาใหญ่ ส่วนถ้าเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ จะจัดส่งภายในวันถัดไป หรือแม้แต่การรับสินค้าที่สาขา นอกจากนี้ยังมีค่าส่งที่ฟรีไม่มีจำกัดการสั่งซื้อขั้นต่ำ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้เป็นตัวเร่งให้ลูกค้าใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

เขายังชี้ว่าจุดแข็งที่โลตัสสามารถพร้อมส่งสินค้าได้ เนื่องจากบริษัทมีสาขาเล็กและสาขาใหญ่รวมกันกว่า 2,100 สาขาทั่วประเทศ และยังมีสินค้าถึง 30,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอาหารสด สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเสริมความงาม และสินค้าสำหรับแม่และเด็ก เป็นต้น

ธรินทร์ ธนียวัน – กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส / ภาพจากบริษัท

ออกแคมเปญใหม่

ขณะเดียวกันภายในเดือนมีนาคมนี้ Lotus’s ได้ออกแคมเปญมีโปรโมชั่น ให้ทุกคนที่เข้ามาสั่งสินค้านั้นมีความสุข ผ่านดีลพิเศษทุกวัน เช่น วันจันทร์ถ้าหากสั่งน้ำดื่ม มีแคมเปญซื้อน้ำแพ็คทุกวันอาทิตย์หรือทุกวันจันทร์  วันอังคารมีโปรโมชั่นอาหารสดถ้าหากสั่งถึงจำนวนหนึ่ง หรือถ้าสั่งเกินจะมีคูปองออนท็อปด้วย เป็นต้น

ผู้บริหารของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โลตัส ได้กล่าวว่า การที่บริษัทสามารถทำแคมเปญต่างๆ ได้ทุกวันเนื่องจากบริษัทได้เห็นข้อมูลการสั่งสินค้าของลูกค้า เช่น ปริมาณการสั่งน้ำดื่มในวันจันทร์ถือว่าเยอะเป็นพิเศษ ทำให้โลตัสได้ออกแคมเปญดังกล่าวออกมา

มองว่าเทรนด์ของผู้บริโภคจะมาช่องทางออนไลน์แน่นอน

ธรินทร์ ยังชี้ว่าปัจจุบันยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ตั้งแต่เปิดตัวแอปฯ ในปี 2022 มีสัดส่วน 1% แต่ปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวกำลังจะแตะเลข 2 หลักในเร็วๆ นี้แล้ว และเขามองว่าเทรนด์การซื้อสินค้าของคนไทยจะคล้ายกับประเทศจีนที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และการไปซื้อสินค้าแบบปกตินั้นเหมือนมาซื้อสินค้าให้สนุก

นอกจากนี้ ธรินทร์ ได้ชี้ถึงว่า ในการสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์นั้นมีดีลส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้า ซึ่งแตกต่างกับการไปซื้อที่สาขาที่จะไม่มีส่วนลด และโลตัสเตรียมนำสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้    ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อภายในแอปฯ ได้ด้วย โดยถ้าเป็นสินค้าใหญ่ๆ จะใช้เวลาจัดส่งไม่เกิน 7 วัน

วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ – ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส / ภาพจากบริษัท

ปรับสิทธิประโยชน์ Lotus’s Reward Program ใหม่

วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส กล่าวว่า นอกเหนือจากความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้นในการจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์แล้ว โลตัสยังมอบสิทธิประโยชน์ที่ดียิ่งกว่า ด้วยรีวอร์ดโปรแกรมมายโลตัส (My Lotus’s) ที่เปลี่ยนจากการเป็นเพียงบัตรสะสมคะแนน สู่ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มแบบปัจเจกบุคคล

เธอชี้ว่าโปรแกรม My Lotus’s พัฒนามาจาก Club Card สมัยที่ยังเป็น Tesco Lotus ซึ่งมีการสะสมแต้ม แต่ต้องรอคูปองนานถึง 3 เดือน ซึ่งโปรแกรมใหม่นั้นสามารถที่จะสะสมแต้มได้สะดวกมากกว่าเดิม

ตัวเลขในปี 2023 ที่ผ่านมาโปรแกรม My Lotus’s มีลูกค้ามากถึง 17 ล้านคน มีการแจก Coin ไปแล้วมากกว่า 1,600 ล้าน Coin นอกจากนี้ วรวรรณ ยังได้กล่าวเสริมว่าลูกค้าโปรแกรมดังกล่าวนั้นมีการใช้จ่าย 3 เท่าเยอะกว่าคนไม่ได้เป็นสมาชิกโปรแกรมดังกล่าวอีกด้วย

โปรแกรม My Lotus’s เองยังมีการทำโปรโมชั่นส่วนบุคคล ผ่านเทคโนโลยี AI และ Big Data และมีการทำโปรโมชั่นไปแล้วกว่า 150 ล้านโปรโมชั่น เช่น ในวันเกิดของสมาชิก ฯลฯ และการสั่งสินค้าผ่านแอปฯ Lotus’s ยังมีสิทธิพิเศษคือได้ Coin เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปแลกในภายหลังได้

โดย Lotus’s ตั้งเป้าที่จะมีการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ในปีนี้

]]>
1466486
Walmart กำลังเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา สื่อนอกชี้เป็นอีกช่องทางในการหารายได้จากธุรกิจโฆษณา https://positioningmag.com/1462617 Wed, 14 Feb 2024 05:01:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462617 วอลมาร์ท (Walmart) กำลังเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยไม่น้อยกว่า 72,000 ล้านบาท ซึ่งยักษ์ใหญ่ค้าปลีกจะได้ทั้งการขายสมาร์ททีวี และรายได้จากค่าโฆษณา รวมถึงยังเป็นช่องทางโฆษณาให้กับลูกค้าด้วย

Wall Street Journal รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Walmart ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาซื้อกิจการ Vizio ผู้ผลิตสมาร์ททีวีในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 72,000 ล้านบาท

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Walmart ต้องซื้อกิจการของ Vizio เนื่องจากต้องการขยายตลาดในการขายสมาร์ททีวีราคาถูกให้ลูกค้า เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Amazon หรือแม้แต่ Roku ได้ลงมาขายสมาร์ททีวีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันให้กับค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ต้องลงมาเล่นเกมดังกล่าวด้วย

ขณะเดียวกัน Vizio เองมีข้อมูลลูกค้าจำนวนมากถึง 18 ล้านราย ทำให้ Walmart สามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากกว่าเดิม และยังรวมถึงรายได้จากโฆษณาที่ได้จากการเผยแพร่บนสมาร์ททีวี

ในปีที่ผ่านมา Insider Intelligence คาดว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาของ Walmart จะมีมากถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่บริษัทได้ตั้งธุรกิจด้านโฆษณาขึ้นมาในปี 2021 เพื่อที่จะดำเนินธุรกิจดังกล่าวภายใต้ชื่อ Walmart Connect

ปัจจุบัน Walmart Connect มีลูกค้าที่เป็นบริษัทขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ บางรายได้ใช้ช่องทางดังกล่าวแทนที่จะลงโฆษณากับบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple หรือแม้แต่ Google

อย่างไรก็ดี ดีลดังกล่าว Wall Street Journal ได้รายงานว่ากำลังอยู่ในช่วงการเจรจาเท่านั้น และอาจมีสิทธิ์ที่ดีลดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้

ที่มา – Reuters, The Verge

]]>
1462617
“โลตัส” สร้างตำนานบทใหม่กับแคมเปญระดับชาติ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” ช่วยคนไทยลดค่าพี่วินมอไซค์ครึ่งหนึ่ง! https://positioningmag.com/1459602 Mon, 22 Jan 2024 09:51:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459602

“โลตัส” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำค้าปลีกสินค้าแบรนด์ดังคุณภาพสูงในราคาสุดคุ้มค่า ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยแคมเปญใหญ่แห่งปีโรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง ลดราคาสินค้าจำเป็นกว่า 500 รายการตลอดปี 2567 เพื่อลดค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภค ที่โลตัสทุกสาขา และช่องทางออนไลน์ผ่าน Lotus’s SMART App ปีนี้ได้จัดเต็มด้วยกิมมิกสุดพิเศษ โลตัสช่วยคนไทยประหยัดค่าพี่วินมอเตอร์ไซค์ลงครึ่งราคา เพียงแค่ทำท่าหมุนมือ “โรลแบ็ค” ตอกย้ำสัญลักษณ์ Symbolic ประจำแคมเปญ

แคมเปญ “โรลแบ็ค” ขึ้นชื่อว่าเป็นแคมเปญคู่บุญของโลตัสมายาวนานถึง 20 ปี ที่เริ่มคิ๊กอ๊อฟตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ช่วยให้คนไทยได้ช้อปสินค้าราคาประหยัดจริงๆ ในแต่ละปีจะมีความพิเศษที่แตกต่างกันออกไป

ในปีนี้โลตัสได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ เรียกได้ว่าเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายคนที่สัญจรไปมาแถวย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยาม รวมไปถึงสีลม อาจจะได้เห็นผู้คนจำนวนมากทำท่ากำมือทั้ง 2 ข้าง และหมุนมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง จากนั้นก็ขึ้นวิมอเตอร์ไซต์รับจ้างไปในทันที

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่านี่เป็นเบื้องหลังของแคมเปญอะไรหรือไม่ จนได้คำตอบที่ว่า ที่แท้จริงนั้นคือส่วนหนึ่งของแคมเปญโรลแบ็คของโลตัสนี่เอง โดยที่กิมมิกของแคมเปญนี้อยู่ที่ว่า  หากใครที่ทำท่าหมุนมือนี้ จะได้รับส่วนลดครึ่งราคาในการเดินทางไปกับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปเลยทันที โดยราคาอีกครึ่งที่เหลือ ทางโลตัสจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้เอง เพื่อเป็นการช่วยช่วยคนไทยในการประหยัดค่าครองชีพนั่นเอง

โดยปกติแล้วแคมเปญโรลแบ็คจะอยู่แค่ในสโตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะเป็นการลดราคาสินค้า แต่ในปีนี้โลตัสได้นำเอาสัญลักษณ์การหมุนมือออกมานอกสโตร์ เปรียบเหมือนการลดราคาลง ออกมาใช้เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น

ไม่ใช่แค่ทำท่าหมุนมือเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนไทยในการเดินทาง ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ค่าครองชีพในเมืองกรุงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โลตัสจึงทำการโรลแบ็คไปกับวินมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ในการลดครึ่งราคากันเลยทีเดียว เป็นการจุดกระแสสร้างการรับรู้แก่คนที่สัญจรไปมาใน 3 โลเคชั่นหลักอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยาม และสีลม ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจที่มีคนพลุกพร่านตลอดทั้งวัน


สำหรับแคมเปญ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” ในปีนี้ ได้จัดเต็มในการลดราคาสินค้ากว่า 500 รายการ อาทิ ข้าวสาร น้ำยาล้างจาน กางเกงผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป ของใช้ในชีวิตประจำวันจากแบรนด์ชั้นนำนำมาจัดโปรโมชั่นราคาโรลแบ็ค ลดแบบจัดหนัก เพื่อช่วยคนไทยประหยัดเพิ่มความคุ้มค่า และมอบความรู้สึกดีดีทุกวันให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังสอดรับกับมาตรการลดหย่อนภาษีของภาครัฐ เพื่อให้ประชาชนช้อปลดหย่อนภาษีที่คุ้มขึ้นอีกขั้นและลูกค้าสามารถขอรับใบกำกับภาษีแบบ e-Tax Invoice ผ่านการจับจ่ายที่สาขาและแอปพลิเคชั่น Lotus’s SMART App โดยโปรโมชั่นราคาโรลแบ็คจะประเดิมจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 และมีแผนจะจัดราคาโรลแบ็คต่อเนื่องตลอดทั้งปีซึ่งจะสลับหมุนเวียนสินค้าจำเป็นที่ครอบคลุมต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถสะสมแต้มสมาชิกมายโลตัส เพื่อรับสิทธิประโยชน์และส่วนลดพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย

นางสาววรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานการตลาด โลตัส กล่าวว่า

“โลตัส ในบทบาทผู้นำค้าปลีกที่ยืนหนึ่งเรื่องความคุ้มค่า ขอส่งความสุขให้ประชาชนฉลองการเริ่มต้นปี 2567 อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการนำแคมเปญโด่งดังอย่าง “โรลแบ็ค” ที่เป็นภาพจำของโลตัสตั้งแต่ปี 2546 และอยู่คู่โลตัสมาหลายสิบปีอีกทั้งยังเป็นแคมเปญโดนใจลูกค้าเพราะช่วยลดราคาสินค้าลดภาระค่าครองชีพ พร้อมการันตีความประหยัดที่สุดที่โลตัส ซึ่งครั้งนี้โลตัสได้กลับมาเล่นใหญ่อีกครั้งผ่านการจัดแคมเปญ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง”

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งในปีนี้ โลตัสได้สร้างกิมมิกเล็กๆ ด้วยการ “โรลแบ็ค” นอกสถานที่ ลงพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯอย่างโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยาม และสีลม ทำการช่วยลดค่าโดยสารพี่วินมอเตอร์ไซค์ตั้งครึ่งราคา เพียงแค่แสดงท่าหมุนมือที่เป็นท่าประจำแคมเปญโรลแบ็ค เพื่อเป็นการตอกย้ำไอคอนของแคมเปญที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 20 ปี”

สำหรับสินค้าที่ร่วมแคมเปญ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” มีหลากหลายกลุ่มสินค้า ที่ครอบคลุมในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น

  • เบญจรงค์ข้าวขาวหอมมะลิ 100% 5 กก. ราคาโรลแบ็ค 167 บาท จากราคาปกติ 198 บาท
  • มามี่โพโคแพ้นท์ แฮปปี้เดย์แอนด์ไนท์บางสบาย, แฮปปี้เดยแอนด์ไนท์ (ทุกไซซ์) ราคาโรลแบ็ค 355 บาท จากราคาปกติ 445 บาท
  • โดฟ แชมพู+แชมพู, แชมพู+ ครีมนวด 380 มล. แพ็กคู่ (สูตรที่ร่วมรายการ) ราคาโรลแบ็ค 198 บาท จากราคาปกติ 249 บาท
  • มาม่าบะหมี่ต้มยำกุ้ง 55 กรัม,เย็นตาโฟต้มยำหม้อไฟ 60 กรัม แพ็ก 10 ห่อ ราคาโรลแบ็ค 62 บาท จากราคาปกติ 65 บาท
  • โลตัส ขนมปังชนิดแผ่น 480 กรัม ราคาโรลแบ็ค 37 บาท จากราคาปกติ 40 บาท

สามารถพบกับ “โรลแบ็ค ลดหนัก ประหยัดจริง” พบสินค้าราคาโปรโมชั่นสุดพิเศษ ที่โลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์ผ่าน Lotus’s SMART App ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. ถึง 21 ก.พ. 2567

]]>
1459602
Walmart เตรียมนำระบบ AI แนะนำลูกค้าเวลาซื้อของผ่านแอป ไปจนถึงช่วยจัดทำเอกสารของพนักงานแต่ละสาขา https://positioningmag.com/1458675 Fri, 12 Jan 2024 11:11:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458675 แม้แต่แบรนด์ค้าปลีกเองก็ยังนำ AI มาใช้ ล่าสุด วอลมาร์ท (Walmart) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ก็เป็นอีกบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งาน เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ทั้งลูกค้า หรือแม้แต่พนักงานของบริษัท

Walmart ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศในงาน CES 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงศักยภาพเทคโนโลยีของหลายธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้นำเสนอถึงการนำระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้งานเพื่อช่วยให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้พนักงานทำงานเอกสารสะดวกมากขึ้น

Doug McMillon ซึ่งเป็น CEO ของ Walmart ได้กล่าวถึงการนำระบบ AI เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลูกค้าในการหาสินค้าเวลาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การพิมพ์ประโยค “ต้องการที่จัดปาร์ตี้ยูนิคอร์นภายในบ้านให้กับลูกสาว ให้ช่วยเลือกสินค้าหน่อย” โดยระบบจะแนะนำสินค้าขึ้นมาให้

หรือแม้แต่ระบบ AI ที่นำมาเรียนรู้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ละราย ไปจนถึงการนำระบบ AI มาจำลองเสื้อผ้าเสมือนจริง ถ้าหากลูกค้าสนใจที่จะซื้อเสื้อผ้า

ภาพจาก Walmart

ในขณะเดียวกัน Walmart เองได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาช่วยยืนยันว่าลูกค้านั้นจ่ายเงินซื้อสินค้านั้นจริงๆ โดยใช้กล้องถ่ายรถเข็นสินค้า หลังการสแกนใบเสร็จกับระบบ ทดแทนการใช้พนักงานดูใบเสร็จกับสินค้า นอกจากนี้ระบบ AI ที่ Walmart ได้นำมาใช้กับพนักงานของบริษัท เช่น การสรุปรายงาน การจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือแม้แต่การช่วยคิดไอเดียทำคอนเทนต์เพื่อขายสินค้า

สำหรับระบบ AI ที่นำมาช่วยเวลาค้นหาสินค้า หรือบริการอื่นๆ ทาง Walmart ได้ใช้ระบบ AI จาก Microsoft 

Suresh Kumar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาของ Walmart ได้กล่าวว่าในขณะที่การค้าปลีกแบบ Omnichannel นั้นถือว่ามีมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่การค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้ได้ถือว่าปรับเปลี่ยนโดยได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง (จากการใช้ AI)

ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐฯ​ ถือเป็นอีกบริษัทที่ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในการซื้อสินค้า ขณะเดียวกันพนักงานของบริษัทก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำงานเช่นกัน ซึ่งมุมมอง Walmart เองนั้นเริ่มไม่ได้มองถึงการตัดขาดระหว่าง E-Commerce กับการซื้อสินค้าในร้านออกจากกันแต่อย่างใด แต่ทั้ง 2 คือเรื่องเดียวกัน

ที่มา – Engadget, NPR, TechCrunch

]]>
1458675