ช่วงเทศกาลปีใหม่ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 11 Nov 2020 13:34:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CPN กางแผน Q4 ปีใหม่ไร้เงา “ลานเบียร์” เน้นมุมถ่ายรูปปังๆ-อีเวนต์เล็กแต่ชัวร์ดึงลูกค้า https://positioningmag.com/1305534 Wed, 11 Nov 2020 09:34:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305534 เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดแผน Q4 โค้งท้ายปี 63 ทุ่มงบ 400 ล้านจัดสามประสาน มุมถ่ายรูปสุดปัง-อีเวนต์เฉพาะกลุ่ม-โปรโมชัน หวังดันทราฟฟิก-ยอดขายทั้งเครือ (ยกเว้นพื้นที่ท่องเที่ยว) กลับมา 100% เท่าก่อนเกิดวิกฤต แย้มปีนี้เคานต์ดาวน์ปีใหม่ไม่มีลานเบียร์” เช่นเดียวกับปีก่อน แต่จะลงกิจกรรมอะไรต้องรอติดตาม

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยสถานการณ์บริษัท ณ สิ้น Q3/63 ทราฟฟิกลูกค้าเข้าศูนย์การค้าเฉลี่ยทั่วประเทศ (ไม่รวมศูนย์ฯ ในจุดท่องเที่ยว 4 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เกาะสมุย, พัทยา, ภูเก็ต) กลับมาแตะ 85% ของช่วงเดียวกันปีก่อน และมีบางสาขาที่ทราฟฟิกกลับมาถึง 90-100% แล้วคือ มหาชัย, ชลบุรี และระยอง

ที่ผ่านมา CPN มีการจัดโปรโมชันและอีเวนต์เพื่อดึงลูกค้ามาตลอดตั้งแต่ภาครัฐอนุญาตให้ศูนย์ฯ เปิดบริการอีกครั้ง
แม้ว่าจะมีการลดงบการตลาดปี 63 จาก 1,000 ล้านบาทเหลือ 600 ล้านบาทก็ตาม แต่ได้บริหารการใช้งบให้มีประสิทธิภาพ ผ่านการจัดอีเวนต์เล็กแต่ตรงเป้าเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มครอบครัวและเด็ก กลุ่มสัตว์เลี้ยง กลุ่มคน ‘Young Old’ กลุ่มคอสเพลเยอร์ เป็นต้น

บรรยากาศงานมหาชัย ไทย คาร์นิวัล 2020 ช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยเซ็นทรัล พลาซา มหาชัย สถานที่จัดงาน เป็นหนึ่งใน Top 3 ศูนย์การค้าที่มีทราฟฟิกกลับมาดีที่สุดของ CPN ในช่วงหลังคลายล็อกดาวน์

เคานต์ดาวน์ไม่มีลานเบียร์ เน้นลานถ่ายรูปสุดปัง

สำหรับช่วง Q4/63 นั้นปกติจะเป็น “หน้าขาย” ของศูนย์การค้าอยู่แล้ว เพราะเป็นเทศกาลช้อปปิ้งของขวัญ ทำให้บริษัทจะอัดงบการตลาดเฉพาะช่วงนี้ 400 ล้านบาท จัดทั้งอีเวนต์ โปรโมชัน และมุมถ่ายรูปรับเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ โดยปีนี้มาในแคมเปญ “The Magical Lights 2021” มหัศจรรย์แสงแห่งความสุข ที่ศูนย์การค้าทั้ง 33 แห่งทั่วประเทศ

ข้ามช็อตไปที่ช่วงเดือนธันวาคมจนถึงเคานต์ดาวน์ปีใหม่ก่อน เมื่อปี 2562 นั้น CPN แจ้งข่าวช็อกวงการคนชอบดื่มไปแล้วนั่นคือ การยกเลิกลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้ทั้งลานกลายเป็นจุดถ่ายรูปและงานคอนเสิร์ตส่งท้ายปีแทน

บรรยากาศงานนับถอยหลังขึ้นปีใหม่ 2562-2563 ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับปีนี้นั้น ดร.ณัฐกิตติ์คอนเฟิร์มว่าจะ “ไม่มีลานเบียร์” แน่นอน เช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่กิจกรรมจะมีอะไรบ้างต้องรอติดตามชม โดยแย้มว่าจะเป็นงาน “รูปแบบใหม่” จัดกิจกรรมเคานต์ดาวน์ในศูนย์ฯ 8 สาขา คือ เซ็นทรัลด์เวิลด์, เซ็นทรัล เวสต์เกต, ศาลายา, พัทยา บีช, พิษณุโลก, โคราช, หาดใหญ่ และเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

ส่วนสิ่งที่มีแน่ๆ กับงานเฉลิมฉลองส่งท้ายปีกับ CPN คือสารพัดมุมถ่ายรูป ด้านหน้าศูนย์ฯ ทุกแห่ง ประกอบด้วย 5 แลนด์มาร์ก คือ อุโมงค์ต้นไม้มหัศจรรย์, สายรุ้งดวงดาว, สวนลอยแห่งดวงดาว, น้ำตกสรวงสวรรค์ และโถงทางเดินศักดิ์สิทธิ์ และพิเศษเฉพาะที่เซ็นทรัลเวิลด์ จะมีต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์เช่นเคย รวมถึงทุ่งดอกไม้ไฟประดับขนาดใหญ่ให้ถ่ายรูปกันอย่างจุใจ

นอกจากมีกิจกรรมออฟไลน์แล้ว ยังเสริมด้วยกิจกรรมออนไลน์ที่จะปล่อยคอลเลกชันสติกเกอร์ LINE จากฝีมือศิลปินไทย “Painterbell” ต้อนรับคริสต์มาสและปีใหม่โดยเฉพาะ

 

ไม่จัดใหญ่แต่จัด 1,000 อีเวนต์ขนาดเล็กตรงเป้าหมาย

ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวว่า ด้านงานอีเวนต์ของปีนี้ จะยังคงคอนเซ็ปต์เน้นจัดอีเวนต์เล็กแต่ดึงคนเฉพาะกลุ่ม มากกว่าอีเวนต์ขนาดใหญ่ที่เน้นทราฟฟิกมาก เพราะอีเวนต์เล็กที่ตรงเป้านั้นมองว่ามีประสิทธิภาพกว่า และประหยัดงบกว่าด้วย

“ปีนี้ต้องเน้นมาแล้วซื้อของจริงและมาได้บ่อยๆ หรืออยู่ได้นาน มากกว่าอีเวนต์ใหญ่ที่ทราฟฟิกมามากๆ อีเวนต์ปีนี้ต้องเน้นคุณภาพลูกค้า เช่น เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ จะมีจัดงานสัตว์เลี้ยงทุกสัปดาห์ ก็จะได้ลูกค้ากลุ่มนี้ที่มาได้ทุกเสาร์-อาทิตย์” ดร.ณัฐกิตติ์กล่าว

ตัวอย่างอีเวนต์เฉพาะกลุ่ม Pets Art รับวาดภาพสัตว์เลี้ยง ดึงดูดคนรักสัตว์มาที่ศูนย์ฯ

ดังนั้น ช่วงไตรมาสสุดท้ายจะได้เห็น CPN จัดอีเวนต์ย่อยกว่า 1,000 งานในศูนย์ฯ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะศูนย์ฯ ในแหล่งท่องเที่ยวจะใช้อีเวนต์เป็นตัวนำ ดึงลูกค้าคนไทยให้เข้ามาแทนต่างชาติ

ปัจจุบันมีศูนย์ฯ 4 แห่งที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวและได้รับผลกระทบหนักที่สุด มีทราฟฟิกลดเหลือ 50-70% จากปกติ คือ เซ็นทรัลเวิลด์, เกาะสมุย, พัทยา และภูเก็ต สำหรับเซ็นทรัลเวิลด์นั้นแม้จะอยู่กลางเขตออฟฟิศ แต่ขณะนี้หลายออฟฟิศยังให้พนักงานสลับทำงานจากบ้าน จึงมีคนเข้าศูนย์ฯ น้อยลงโดยปริยาย

 

อัดโปรฯ แบบ Omnichannel ใช้ออนไลน์ช่วยเสริม

ปิดท้ายสิ่งสำคัญของการจัดกิจกรรมคือดึงลูกค้าให้มาช้อปที่ศูนย์ฯ ทำให้ต้องจัดสารพัด “โปรโมชัน” ตลอดช่วงโค้งท้ายปีถึงปีใหม่ โดยจะมีแคมเปญใหญ่ 4 รอบ คือ

  • Black Friday วันที่ 27-29 พ.ย. 63
  • 12.12 วันที่ 3-13 ธ.ค. 63
  • Boxing Week วันที่ 24-27 ธ.ค. 63
  • Final Call วันที่ 4-10 ม.ค. 64
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กับสติกเกอร์ LINE จาก Painterbell

นอกจากจะมีโปรฯ ลดแลกแจกแถมของร้านค้าเอง แคมเปญร่วมกับบัตรเครดิตต่างๆ และยังมีแคมเปญภาครัฐ “ช้อปดีมีคืน” มา Top Up เข้าไปอีก ปีนี้ยังพิเศษที่ CPN จับมือกับหน่วยธุรกิจดิจิทัลในเครือ คือ The 1, Dolfin และ Grab เข้ามาเสริมซึ่งกันและกันด้วย

โดยลูกค้าที่เป็นสมาชิกแอปฯ The 1 เมื่อเปิดใช้ Dolfin จะได้รับเงินเข้าวอลเล็ตทันที 100 บาท และเมื่อใช้จ่ายผ่าน Dolfin ครบตามมูลค่าที่กำหนด จะได้คูปองคืนในวอลเล็ต สูงสุดที่ 5,000 บาท

ส่วนโปรฯ กับ Grab จะช่วยอำนวยความสะดวกลูกค้าให้ไป-กลับศูนย์ฯ เซ็นทรัลทุกแห่งง่ายขึ้น ผ่านโค้ดพิเศษระหว่างวันที่ 14 ธ.ค. 63 – 10 ม.ค. 64 ผู้ใช้เก่าลดสูงสุด 80 บาทต่อครั้ง และผู้ใช้ใหม่ลดสูงสุด 40 บาทต่อครั้ง

ฐานผู้ใช้ active users ของ Dolfin ปัจจุบันมีมากกว่า 2 ล้านคน เมื่อศูนย์ฯ จัดโปรฯ เร่งการใช้งานน่าจะช่วยทั้งดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาช้อป และทำให้ลูกค้าที่ยังไม่ได้ดาวน์โหลด Dolfin สนใจใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย

ดร.ณัฐกิตต์กล่าวว่า คาดหวังว่ากระแสการช้อปปิ้งไตรมาส 4 น่าจะช่วยดึงทราฟฟิกและยอดขายให้กลับมาแตะ 100% เท่ากับช่วงก่อนเกิด COVID-19 ได้ (เฉพาะศูนย์ฯ ที่ไม่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว) โดยเชื่อว่าตลาดกลางบนซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของศูนย์ฯ ยังมีกำลังซื้อ

“กลุ่มกลางบนกำลังซื้อยังดีอยู่ แต่เขารอ Special Deal” ดร.ณัฐกิตติ์กล่าว “เพราะฉะนั้น ปีนี้ทำอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีหลายอย่างพร้อมกัน โปรโมชันก็ต้องมีเยอะหลากหลาย ลูกค้าถึงจะยอมตัดสินใจซื้อ”

]]>
1305534
รัสเซียทุบสถิติอากาศ “ร้อนที่สุด” ในรอบ 133 ปี ต้องใช้ “หิมะเทียม” ฉลองปีใหม่ https://positioningmag.com/1259034 Tue, 31 Dec 2019 07:09:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259034 ปี 2019 เป็นปีที่อากาศ “ร้อนที่สุด” ในรัสเซีย นับตั้งเเต่เก็บสถิติมาในรอบ 133 ปี โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ในรัสเซียมีปริมาณหิมะสะสมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลถึงขั้นต้องนำ “หิมะเทียม” มาใช้ในการฉลองปีใหม่

สำนักงานด้านสภาพอากาศ Gidromedtsentr ระบุว่า ปีนี้เป็นปีที่ร้อนที่สุดของรัสเซียนับแต่มีการใช้อุปกรณ์สังเกตการณ์มา โดยกรุงมอสโกนั้น มีอุณหภูมิเฉลี่ย 7.6-7.7 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำลายสถิติเก่าของปี 1886 ถึง 0.3 องศา และคาดการณ์ว่าเดือนมกราคม 2020 จะยังมีอากาศที่อบอุ่นกว่าปกติเกือบทั่วทุกภูมิภาคของรัสเซีย

ทั้งนี้ สภาพอากาศของกรุงมอสโกมีการเก็บสถิติไว้ตั้งเเต่ปี 1879 เเละเก็บสถิติทั่วประเทศในปี 1891

ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นทั่วโลก โดยองค์การสหประชาชาติเคยกล่าวไว้เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า ปี 2019 เป็นท็อป 3 ของปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

อากาศของกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ในเดือนธันวาคมปีนี้ จึงนับว่า “ร้อนที่สุด” ในรอบศตวรรษนี้ จากปกติที่จะมีหิมะปกคลุมตั้งแต่ช่วงกลางเดือน แต่ท้องฟ้ากลับปลอดโปร่งและแทบไม่มีหิมะตก รีสอร์ตสกีหลายแห่งของมอสโกปิดบริการ และต้นไม้เริ่มแตกยอดรับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเร็วกว่าปกติอย่างน้อย 3 เดือน

โดยในช่วงนี้ ชาวมอสโกมักจะมาฉลองฤดูหนาวกันอย่างคึกคัก ในระหว่างช่วงเทสกาลปีใหม่ เเต่ปีนี้เเทบไม่มีหิมะปกคลุม ทางการจึงต้องใช้มาตรการนำ “หิมะเทียม” มาจัดเเสดงในสถานที่สำคัญหลายเเห่งกลางเมือง เช่น บริเวณจตุรัสเเดง เพื่อให้ประชาชน นักท่องเที่ยวได้เล่นเเละถ่ายภาพกับหิมะเพื่อส่งท้ายปีเก่า เเละนับเป็นครั้งเเรกที่ใช้มาตรการดังกล่าว ซึ่งสร้างความเเปลกใจให้ผู้คนไม่น้อยเเละบางคนมองว่าเป็นเรื่องตลกที่รัฐบาลจัดการปัญหาเช่นนี้

ที่ผ่านมาประธานาธิบดีรัสเซีย “วลาดิมีร์ ปูติน” ลังเลที่จะยอมรับความเชื่อมโยงระหว่างภาวะโลกร้อนกับกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เเละในการประชุมประจำปีที่ผ่านมา เขาก็ยังยืนยันว่า “nobody knows” ใครจะไปรู้เรื่องสาเหตุของการเปลี่ยนเเปลงสภาพอากาศ

อย่างไรก็ตาม ปูตินยอมรับว่าผลที่ตามมาจากภาวะโลกร้อน ถือเป็นหายนะที่ร้ายเเรงของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเชื้อเพลิงคาร์บอนรายใหญ่ของโลก เเละรัสเซียมีสภาพอากาศร้อนขึ้นสูงกว่าที่อื่นในโลกกว่า 2.5 %

 

ที่มา : VOA , BBC

ภาพ : @WildWildMoscow via twitter

]]>
1259034
หนังสือ 5 เล่มที่มหาเศรษฐี “บิล เกตส์” เเนะนำให้คุณอ่านช่วงวันหยุดปีใหม่ https://positioningmag.com/1258799 Sat, 28 Dec 2019 03:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258799 ทุกช่วงสิ้นปี “บิล เกตส์” เจ้าพ่อเทคโนโลยีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกเเละผู้เป็น “หนอนหนังสือ” จะมาเเนะนำหนังสือที่เขาชื่นชอบตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งเเต่ละเล่มมีความน่าสนใจเเตกต่างกันไป เรียกว่าเป็นอาหารสมองเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ได้เป็นอย่างดี

ใครกำลังหาเเรงบันดาลใจเเละความรู้ใหม่ๆ ห้ามพลาด นี่คือหนังสือ 5 เล่มที่บิล เกตส์ อยากให้คุณอ่านในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ เพื่อจุดพลังไอเดียของคุณต่อไปในปีหน้า

These Truths: A History of theUnited States โดย Jill Lepore

Photo : GATES NOTES

หนังสือเล่มนี้ครอบคลุมเรื่องราวประวัติศาสตร์อเมริกามานานหลายศตวรรษเขียนโดย Jill Lepore ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเป็น contributor ของ The New Yorker โดยเกตส์ ยกให้เป็นหนึ่งในหนังสือที่เขียนขึ้นได้อย่างดงามที่สุดเลยทีเดียว

These Truths : A History of the United States บอกเล่าถึงความขัดเเย้งต่างๆ ในอเมริกา ที่เเม้จะก่อตั้งประเทศขึ้นมาโดยใช้หลักเสรีภาพเเต่ต่อมากลับมีการใช้เเรงงานทาส โดยหนังสือเล่มนี้ได้เเบ่งปันข้อเท็จจริงที่ไม่ค่อยมีคนทราบมากนัก ซึ่งเกตส์ ยกตัวอย่างว่าในช่วงระหว่างปี 1830 ถึง ปี 2403 มีเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างสมาชิกสภาคองเกรส มากกว่า 100 ครั้ง

“ทำให้เห็นว่าประวัติศาสตร์อเมริกันยังมีอีกหลายเเง่มุม มากกว่าที่พวกเราเรียนในโรงเรียน เเละความจริงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรรับฟัง”

Why We Sleep: Unlocking the Power of Sleep and Dreams โดย Matthew Walker

Photo : GATES NOTES

เขาเล่าย้อนไปในสมัยที่เริ่มก่อตั้งไมโครซอฟท์ที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ใจจดจ่ออยู่กับการสร้างซอฟต์เเวร์ตลอดเวลาจนเเทบไม่ได้นอน เเต่หลังจากอายุเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขารู้เเล้วว่า “คนเราไม่ควรสูญเสียเวลานอน” เเละใครก็ตามที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถอยู่รอดได้ด้วยการนอนเพียงน้อยนิดนั่นเป็นสิ่งที่ผิด

Why We Sleep: Unlocking the Power of Sleep and Dreams เขียนโดย Matthew Walker นักวิจัยด้านการนอนหลับของมหาวิทยาลัย California-Berkeley กล่าวถึงผลกระทบของการนอนน้อยที่มีผลต่อความจำเเละความคิดสร้างสรรค์ สุขภาพเเละการทำงานของหัวใจ รวมไปถึงการทำงานของสมองเเละระบบภูมิคุ้มกัน

Growth: From Microorganisms to Megacities โดย Vaclav Smil

Photo : GATES NOTES

เกตส์มักย้ำอยู่เสมอว่า เขาเฝ้ารอหนังสือเล่มใหม่ของ Vaclav Smil เหมือนกับที่ผู้คนทั้งหลายรอหนังภาคใหม่ของสตาร์ วอร์ส เเละล่าสุดเขาก็เเนะนำหนังสือเล่มนี้ ที่มีความยาวกว่า 500 หน้า บอกเล่าเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของระบบการใช้ชีวิต ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีเเละอารยธรรม

โดย Vaclav Smil พูดถึงข้อจำกัดในการเติบโตและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของวิธีที่มนุษย์ปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม

“ผมไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ทั้งหมดของเขา ผมมองโลกในแง่ดีกว่าเขา ในเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบันสามารถนำไปใช้ได้ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจะพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ที่สะอาด” เกตส์ระบุ อย่างไรก็ตาม เขาก็เห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นสุดยอดเเห่งการสังเคราะห์วิชาที่ซับซ้อน

Prepared : What Kids Need for a Fulfilled Life โดย Diane Tavenner

Photo : GATES NOTES

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึง Summit Public Schools กลุ่มของโรงเรียนที่พยายามจะพลิกโฉมการศึกษารูปแบบใหม่ในห้องเรียนทั่วไป เเละคำเเนะนำต่างๆ สำหรับนักเรียน เขียนโดย Diane Tavenner ซีอีโอเเละผู้ก่อตั้งโรงเรียนที่ใช้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง

โดยนักเรียนสามารถกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้เเละการประเมินผลด้วยตนเอง เเทนที่จะมุ่งความสำคัญไปที่คะเเนนสอบ ซึ่งเด็กๆ จะได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงในโครงการต่างๆ เเละยังมีการประชุมเเลกเปลี่ยนความเห็นกับที่ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง

“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมโรงเรียนเเห่งหนึ่งเพื่อดูว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริงได้อย่างไร เเละก็พบว่าที่นั่นช่างเเตกต่างจากโรงเรียนที่ผมเคยเจอมาก่อน ” เกตส์เล่า โดยเขาใช้เงินหลายร้อยล้านเหรียญไปกับความพยายามที่จะเปลี่ยนเเปลงการศึกษาในสหรัฐ

An American Marriage โดย Tayari Jones

Photo : GATES NOTES

นวนิยายเล่มนี้ เกตส์ได้รับการเเนะนำมาจากลูกสาวของเขา บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสามีภรรยาผิวสีคู่หนึ่ง ในรัฐเเอตเเลนตา เมื่อผู้เป็นสามีถูกกล่าวหาว่าก่อคดีข่มขืนจนถูกตัดสินโทษจำคุก 12 ปี เเละชีวิตการเเต่งงานของพวกเขาก็ไปไม่รอด เป็นการนำเสนอให้เห็นความเจ็บปวดจากการถูกจองจำเเละการถูกตีตราจากสังคมไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงระบบยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนผิวสี

“ถ้าคุณกำลังมองหาสิ่งที่กระตุ้นความคิด ควรอย่างยิ่งที่จะเพิ่มหนังสือเล่มนี้ลงไปในลิสต์ของคุณ”

 

ที่มา : Bill Gates solves your gift problems: Here are his top 5 books for the holidays

]]>
1258799
ย้ายสถานี! “ไฮเนเก้น” เปิดลานเบียร์ปีใหม่ที่เอ็มควอเทียร์ ส่ง pop-up store บุก 12 เมืองต่างจังหวัด https://positioningmag.com/1254712 Mon, 25 Nov 2019 07:33:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254712
  • ลานเบียร์ไฮเนเก้นย้ายไปเอ็มควอเทียร์ จัดใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว
  • ขยาย pop-up store ทำตลาดในร้านกินดื่มต่างจังหวัด 12 หัวเมือง
  • ทุ่มงบการตลาดเพิ่มจากปีก่อน 2.5 เท่า หวังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 15 ล้านคน
  • คาดการณ์ตลาดเบียร์โดยรวมโต 2% ขณะที่กลุ่มเบียร์พรีเมียมโตดีกว่าที่ 4%
  • ปีนี้ลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์งดจัดลานเบียร์ทุกยี่ห้อ ทำให้แต่ละเจ้าต้องกระจายตัวกันไปคนละมุมเมือง โดย “ธีรภัทร พงศ์เมธี” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี เปิดเผยว่า สำหรับเบียร์ไฮเนเก้นจะจัดงาน Heineken Star Celebration Experiential Flagship Store หรือก็คืออีเวนต์ทางการตลาด ลานเบียร์ และจำหน่ายสินค้าพิเศษของไฮเนเก้นที่ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์แทนพื้นที่เดิม

    โมเดลจำลอง Heineken Star Celebration Experiential Flagship Store ที่เอ็มควอเทียร์ รับเทศกาลปีใหม่ 2020

    งานนี้ยังขยายพื้นที่กว้างขึ้นมากกว่าเท่าตัวเป็น 1,500 ตร.ม. สามารถจุคนได้ถึง 170 ที่นั่ง จากลานเดิมเมื่อปีก่อนมีพื้นที่เพียง 700 ตร.ม. โดยจะจัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.62 – 5 ม.ค.63 เวลา 11.00-00.00 น. ภายในมีทั้งพื้นที่นั่งชิลและจำหน่ายสินค้าของแบรนด์ที่จัดทำขึ้นสำหรับเทศกาลปีใหม่ 2020 รวมถึงค็อกเทลและม็อกเทลสูตรพิเศษจำหน่ายเฉพาะภายในงาน

    “การที่ไม่มีลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเรา เพราะผู้บริโภคของเราอยู่ทุกที่ อย่างเอ็มควอเทียร์ก็ตรงกับกลุ่มลูกค้าไฮเนเก้น” ธีรภัทร ผู้จัดการคนใหม่ที่รับตำแหน่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ให้ความเห็น

    ลุยทำตลาดต่างจังหวัด

    แคมเปญส่งท้ายปลายปีของไฮเนเก้นปีนี้ยังทุ่มงบมากกว่าปีก่อน 2.5 เท่า เพราะนอกจากลานเบียร์หลักที่กรุงเทพฯ จะใหญ่ขึ้น แบรนด์ยังมีการขยายเป็น pop-up store ไปตามร้านกินดื่ม (ช่องทาง on-premise) ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศด้วย เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต อุดรธานี ชลบุรี ระยอง ฯลฯ pop-up store ดังกล่าวจะจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไฮเนเก้น โดยหมุนเวียนไปตามร้านดังของจังหวัดในแต่ละสัปดาห์ระหว่างเทศกาลปีใหม่

    ไฮเนเก้น
    “ธีรภัทร พงศ์เมธี” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี

    นับเป็นครั้งแรกของไฮเนเก้นที่ขยายการจัดแคมเปญปีใหม่ไปตลาดภูมิภาค สะท้อนทิศทางการให้ความสำคัญกับตลาดต่างจังหวัดที่มากขึ้นของแบรนด์ จากปัจจุบันที่ไฮเนเก้นมียอดขายในกรุงเทพฯ สูงกว่าภูมิภาค

    การเลือกจัด pop-up store ในร้านกินดื่มยังสอดคล้องกับช่องทางขายของไฮเนเก้นโดยรวมทั้งประเทศ เพราะยอดขายของแบรนด์ 51% มาจากร้านกินดื่ม (on-premise) 33% จากโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อ และ 16% จากร้านค้าดั้งเดิม

    สินค้าพิเศษรับเทศกาล

    สำหรับสินค้าตามเทศกาลที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ ปีนี้ไฮเนเก้นมีสินค้าแบรนด์ (merchandise) ทั้งหมด 3 ส่วนที่จำหน่ายเฉพาะในงานที่เอ็มควอเทียร์และ pop-up store เท่านั้น คือ

    • สินค้านำเข้าจากอัมสเตอร์ดัม มากกว่า 10 รายการ เช่น หมวกแก๊บ เป้หลัง เป้กันน้ำ
    • สินค้าออกแบบร่วม (collab) กับแบรนด์ไทย Q Design and Play 8 รายการ เช่น หมวกทรงถัง ผ้าขนหนู
    • ขวดไฮเนเก้น 0.0 ลายพิเศษ ระบุข้อความรับเทศกาล เช่น Boss of the Year, Friend of the Year
    ไฮเนเก้น
    สินค้า merchandise รับปีใหม่นำเข้าจากอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

    ธีรภัทรกล่าวว่า เป้าหมายของการจัดงานและผลิตสินค้าทั้งหมดเป็นไปเพื่อเป้าการรับรู้ทางการตลาดมากกว่ายอดขาย โดยไฮเนเก้นวางเป้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค (reach) 15 ล้านคน รวมทั้งจากการจัดงานและการพบเห็นผ่านสื่อโฆษณาออนไลน์ ออฟไลน์ และสื่อนอกบ้าน (OOH) โดยเป้านี้เพิ่มสูงขึ้นจากยอด reach ปีก่อนอยู่ที่ 9 ล้านคน

    ตลาดเบียร์พรีเมียมโตต่อเนื่อง 4%

    ด้านตลาดเบียร์ปี 2562 ภาพรวมดูจะกระเตื้องขึ้นจากปีก่อนสวนทางสภาพเศรษฐกิจ ข้อมูลจากไฮเนเก้นประเมินว่าปีนี้ตลาดเบียร์โดยรวมน่าจะทำยอดขายที่ 1.43 แสนล้านบาท เติบโต 2% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ตลาดเบียร์ติดลบ 4%

    อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มเบียร์ตลาดแมสน่าจะทรงตัวไม่เติบโต ในขณะที่กลุ่มเบียร์พรีเมียมน่าจะเติบโต 4% คิดเป็นยอดขายมากกว่า 6 พันล้านบาท ส่วนไฮเนเก้นเอง ธีรภัทรเชื่อว่าจะโตสูงกว่าที่ 9%

    “ปีหน้าสำหรับไฮเนเก้นก็ยังมองบวก เพราะกลุ่มเบียร์พรีเมียมไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก ช่วงปี 2559-62 เติบโตสม่ำเสมอ 4% ต่อปีมาโดยตลอด” ธีรภัทรกล่าวปิดท้าย

    ]]>
    1254712
    CPN ทุ่ม 400 ล้าน ปั้น Theme Park อาณาจักรคริสต์มาส หวังเป็น Time Square of Asia https://positioningmag.com/1254136 Tue, 19 Nov 2019 09:37:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254136 แม้ไม่มีลานเบียร์หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ในปีนี้ แต่ CPN ได้เนรมิตเป็นธีมพาร์คอาณาจักรต้นคริสต์มาสยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าทุกปี โดยใช้งบลงทุน 400 ล้านบาท ตั้งเป้าเป็นแลนด์มาร์กแห่งเทศกาลในเอเชีย ทราฟฟิกโดยรวมของทุกศูนย์เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 20%

    ลานเบียร์ไม่สามารถตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม

    บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจทุ่มงบ 400 ล้านบาท เนรมิตศูนย์การค้า 34 แห่งทั้งใน และต่างประเทศให้กลายเป็นมหัศจรรย์อาณาจักรแห่งความสุข “The Kingdom of Happiness2020…Where life celebrates”

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะได้มีการยกเลิกลานเบียร์ที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ CPN มองว่ามีจุดยืนที่ต้องการสร้างอีเวนต์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทุกกลุ่ม ทำให้ลานเบียร์ไม่สามารถตอบโจทย์ได้คนทุกกลุ่ม ทุกวัย

    เป็นครั้งแรกกับการสร้าง Theme Park อาณาจักรคริสต์มาส โดยมีเหล่าคาแร็กเตอร์ราชาซานต้า และผองเพื่อนผลงานศิลปินระดับโลก “ฮาวิเย่ กอนซาเลซ บูรโกส” มาในดีไซน์ใหม่ในเรื่องราวของการตามหาดวงดาวที่หายไปบนยอดต้นคริสต์มาส

    ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เล่าว่า

    “ด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างศูนย์การค้าให้เป็น ‘Center of Life’ หรือศูนย์กลางการใช้ชีวิตในทุกโลเคชั่น มองเห็นว่าศูนย์การค้าในปัจจุบันจะไม่ใช่แค่ Shopping Center หรือพื้นที่สำหรับขายสินค้าและบริการ แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางในการมอบประสบการณ์ที่หลากหลายตามแต่ละไลฟ์สไตล์ของคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนในเจเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่โตขึ้นทุกวัน ทุกกิจกรรม และอีเวนต์จะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกคนแต่ละช่วงเวลา”

    สร้างอาณาจักรต้นคริสต์มาส

    โดยปีนี้เป็นครั้งแรกที่ CPN สร้างธีมพาร์คอาณาจักรคริสต์มาส มีต้นคริสต์มาสยักษ์สูง 35 เมตร สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Christmas carpet ยาวกว่า 1,000 ตร.ม. การตกแต่งไฟ Spectacular World-Class light Illuminations พร้อมโชว์ Interactive แอนิเมชั่นบนจอ the panOramix และ AR Gaming

    อีกทั้งยังมีต้นคริสต์มาส Louis Vuitton ต้นแรก และต้นเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เซ็นทรัลภูเก็ต

    ปิดท้ายด้วยงานเคาท์ดาวน์ THAILAND&AIS BANGKOK COUNTDOWN 2020 ตั้งเป้าเป็น Time Square of Asia ที่ Countdown landmark @centralwOrld และศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ 11 ที่ทั่วประเทศ

    ]]>
    1254136
    3 ค่ายมือถือ เผยยอดใช้ดาต้าเทศกาลปีใหม่ 62 พุ่ง 200% กรุงเทพฯ ครองแชมป์ – “เฟซบุ๊ก” อันดับ 1 ใช้งานสูงสุด https://positioningmag.com/1205964 Tue, 01 Jan 2019 09:29:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1205964 เอไอเอส เผยคนไทยยุคดิจิทัล ฮิตส่งความสุขปีใหม่ 2562 ผ่านโลกโซเชียลเพิ่มมากถึง 2 เท่า โดย ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ยอดการใช้งานบนเครือข่ายของลูกค้าเอไอเอส ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2561 – 1 มกราคม 2562 พบว่ามีการใช้งานดาต้าเพิ่มมากถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

    การเตรียมความพร้อมเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ถือว่าสามารถรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้ตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ สถานที่จัดงาน “AIS Bangkok Countdown 2019” มีผู้มาร่วมงานอย่างล้นหลาม มากกว่า 200,000 คน

    โดยรูปแบบการใช้งานดาต้าของลูกค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ Facebook, Youtube, LINE โดยช่วงเวลาที่มีการใช้งานผ่านเครือข่ายสูงสุด คือวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ในเวลา 20.00-21.00น. เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายของการทำงานก่อนวันหยุดยาว จึงมีคนเล่นโซเชียลและเชื่อมต่อออนไลน์มากเป็นพิเศษ ก่อนเตรียมตัวเดินทางหรือพักผ่อนในเทศกาลปีใหม่

    คาดว่าตลอดทั้งวันที่ 1 มกราคม 2562 จะยังมีการส่งความสุขผ่านช่องทางโซเชียลอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันโดยในปีนี้พบว่า การส่ง SMS หรือ MMS ได้ถูกเปลี่ยนรูปแบบไปใช้เพื่อสื่อสารระหว่างผู้ประกอบการต่างๆ ไปยังลูกค้า หรือกลุ่มสมาชิก แทนการใช้เพื่ออวยพรระหว่างกันของบุคคลทั่วไปอย่างชัดเจน

    ทรูมูฟเผย ยอดใช้ดาต้าเพิ่ม 200%

    ทรูมูฟ เอช เครือข่าย 4G ยอดเยี่ยมในเอเชียแปซิฟิก เผยยอดการใช้งานดาต้า เพื่ออวยพรและเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ถึง 1 มกราคม 2562 ผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 200% เป็นปีที่ 2 ซึ่งแอปพลิเคชั่นที่มีการใช้งานมากที่สุดในช่วงดังกล่าว ยังคงเป็น Facebook รองลงมาคือ YouTube, LINE และ Instagram ตามลำดับ

    ส่วนแอปที่มียอดการรับชมอีเวนต์ในช่วงปีใหม่เพิ่มมากขึ้นติดอันดับในไทยได้แก่ทรูไอดีขณะที่ SMS และ MMS มีผู้ใช้งานลดลงทุกปี

    สกลพร หาญชาญเลิศ ผู้อำนวยการ ธุรกิจโมบายล์ พรีเพย์และนอนวอยซ์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ยอดการใช้ดาต้าทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก์ 4 อันดับแรก คือ Facebook ตามด้วย YouTube, LINE และ Instagram โดยเฉพาะในฟังก์ชัน Facebook LIVE และ Instagram Story เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 200% ในช่วงเวลา 23.45 – 00.15 .ที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือสูงสุด เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน สวนทางกับการใช้ SMS และ MMS ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกว่า 50% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา

    โดยแอปทรูไอดีขึ้นเป็นแพลตฟอร์มชมอีเวนต์ช่วงปีใหม่เพิ่มมากขึ้นอย่างเด่นชัดจนติดอันดับแอปฮิตของไทย

    ดีแทคเผยยอดใช้ดาต้า “กรุงเทพฯ” ครองแชมป์ แอปยอดนิยมคือ “เฟซบุ๊ก”

    ดีแทคเผยข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 ยังคึกคักจังหวัดครองแชมป์การใช้งานสูงสุดคือ กรุงเทพฯ จังหวัดที่ใช้งานน้อยสุดคือแม่ฮ่องสอน สำหรับแอปพลิเคชั่นยอดนิยม แชมป์ได้แก่ เฟซบุ๊ก

    ประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค เปิดเผยว่า “ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ 2562 นี้ดีแทคได้นำเทคโนโลยีรับส่งสัญญาณด้วย Massive MIMO 64×64 ทันสมัยล่าสุดระดับโลกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดรองรับ 4G TDD บนคลื่น 2300 MHz มาให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนมือถือในจุดที่มีการจัดงานเทศกาลปีใหม่ เช่น ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์, เมกาบางนา (Mega Bangna) และแหลมบาลีฮายพัทยา เป็นต้น

    โดยปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 พบว่ามีสถิติการใช้งานดาต้าสูงสุด (Peak hour period) ในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. โดยภาพรวมในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มียอดการใช้งานเพิ่มขึ้น 1.52 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม 2562 เวลา 07.30 น.) สำหรับจังหวัดที่ครองแชมป์การใช้งานสูงสุด 5 อันดับคือ 1.กรุงเทพฯ 2.สมุทรปราการ 3.ชลบุรี 4.ปทุมธานี 5.สมุทรสาคร สำหรับแอปพลิเคชั่นที่นิยมใช้งานสูงสุดคือ 1.Facebook/Facebook Messenger 2.LINE 3.YouTube 4.Instagram และ 5.Twitter” นายประเทศ กล่าวในที่สุด

    ]]>
    1205964
    ละครมาราธอน กลยุทธ์ยอดฮิต เรียกเรตติ้ง ลดต้นทุน วันหยุดยาว ช่อง 3 – ช่อง 8 เอาด้วย ชิงคนดูช่วงปีใหม่ https://positioningmag.com/1203824 Tue, 18 Dec 2018 23:28:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1203824 ละครมาราธอน หรือ การจัดละครมาออกอากาศใหม่แบบยาวต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ ที่ “ทีวีดิจิทัล” นิยมทำกัน เพื่อเรียกเรตติ้งคนดูให้อยู่กับช่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการประหยัดต้นทุน หรือ save cost ในช่วงที่วงการทีวีดิจิทัลต้องเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจไปแล้ว

    คอนเซ็ปต์ละครรีรัน เป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จมากจากประเทศเกาหลี ที่มีการจัดช่วงละครรีรันบ่อยครั้ง เพื่อโปรโมตละครที่กำลังออกอากาศ ส่วนในประเทศไทยนั้น “ช่องวัน” เป็นช่องแรกที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้ ส่วนมากเป็นการนำละครใหม่ที่กำลังออกอากาศ มาออนแอร์แบบมาราธอนต่อเนื่องทั้งวันโดยเน้นช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ซึ่งได้ผลช่วยสร้างเรตติ้งให้กับละครที่กำลังออกอากาศดีไปด้วย

    ช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ช่องวันเตรียมจัดช่วงละครมาราธอนเช่นกัน ที่รอการระบุเวลา และเรื่องที่ออกอากาศ

    งานนี้ ไม่ใช่แค่ช่องวัน แต่ยังรวมไปถึงช่อง 3 ประกาศผังละครในช่วงละครเย็น และละครไพรม์ไทม์ของช่วงครึ่งหลังเดือนธันวาคมนี้ว่า จะเป็นเทศกาลละครรีรัน ส่งความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ทั้งหมด

    ช่อง 3 เริ่มมาราธอนยาว 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี

    ช่อง 3 เลือกละครที่ได้รับความนิยมและมีเรตติ้งสูง 2 เรื่องสำหรับการรีรัน โดยเริ่มวางละครรักโรแมนติก “ลิขิตรัก The Crown Princess” ละครที่มีคู่ขวัญตัวท็อปของช่อง “ณเดชน์-ญาญ่า” แสดงนำคู่กัน มาจัดลงยาวตั้งแต่ 18-30 ธันวาคม ที่ช่อง 3 ระบุว่า เป็นการรีรันแบบฉบับของ Master Edition

    รวมทั้งละครบู๊สนั่น “อังกอร์” ของค่ายอาหลอง จูเนียร์ ละครม้ามืด ที่ทำเรตติ้งสูงสุดอันดับ 3 ของช่อง 3 ในปีนี้ มาจัดลงในช่วงละครเย็น เริ่มตั้งแต่ 20 ธันวาคม – 1 มกราคม 2562 โดยเฉพาะวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคมนั้น เป็นการออนแอร์ต่อเนื่องไปถึงช่วงหลังข่าวที่เป็นช่วงไพรม์ไทม์

    เบื้องหลัง Save Cost ครั้งใหญ่

    แม้ว่าช่อง 3 ยิงทีเซอร์ระบุการยิงยาวละครมาราธอนช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายว่า เป็นช่วงเทศกาลส่งความสุข แต่เหตุผลที่แท้จริงแล้ว คือการลดต้นทุนขนานใหญ่ของช่องส่งท้ายปีนั่นเอง

    ปกติการลงทุนละครแต่ละเรื่องใช้งบไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งในหนึ่งสัปดาห์จะมีละครใหม่ออนแอร์ทั้งหมด 4 เรื่อง เป็นละครเย็น 1 เรื่อง และละครหลังข่าว 3 เรื่อง สำหรับวันจันทร์-อังคาร, พุธ-พฤหัส และศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ รวม 3 เรื่องต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท

    ในขณะที่ภาพรวมงบโฆษณาในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นช่วงเดือนเทศกาลวันหยุดปลายปี การใช้จ่ายงบโฆษณาจะเป็นช่วงที่บรรดาบริษัท และเอเจนซี่ เทงบโฆษณาลงน้อยที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าเป็นช่วงที่คนเดินทาง รับชมทีวีน้อยลง

    ที่ผ่านมาหลายๆ ช่องใช้วิธีการจัดรายการพิเศษ หรือจัดหนังต่างประเทศ และรายการรีรันรวมมิตรเข้ามาเพื่อลดต้นทุน แต่ก็มักจะทำในช่วงสั้นๆ ของเทศกาลวันหยุด

    เมื่อดูจากแนวโน้มทิศทางผลประกอบการของบีอีซี เวิลด์ หรือกลุ่มช่อง 3 ใน 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่ายังขาดทุนอยู่ที่ -70.26 ล้านบาท หากไม่มีระบบการจัดการบริหารลดต้นทุนที่ดีในไตรมาสที่ 4 แล้ว เชื่อว่าภาพรวมผลประกอบการของปีนี้ทั้งปี ก็คงต้องขาดทุนอย่างแน่นอน

    ผลประกอบการของกลุ่มช่อง 3 มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 4/2560 และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 /2561 โดยที่ไตรมาส 3/2461 มีกำไรแต่ก็น้อยมาก โดยมีกำไรอยู่เพียง 78.3 ล้านบาท

    ดังนั้นการนำละครที่ออกอากาศในปีนี้มารีรัน จึงเป็นการตอบสนองมาตรการรัดเข็มขัดครั้งใหญ่ของช่องนั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เสียชื่อเครดิตช่องใหญ่ เมื่อนำละครมารีรันอีกครั้งจึงจำเป็นต้องมีความพิเศษ แตกต่างจากตอนที่ออกอากาศไปแล้ว

    จากปากคำของผู้จัด “แอน ทองประสม” กับละคร “ลิขิตรัก” นั้น ระบุว่า “ลิขิตรัก” ที่นำมาออกอากาศใหม่นี้ จะมีทั้งหมด 13 ตอนจากเดิม 12 ตอน โดยจะมีตอนที่ไม่เคยออกอากาศมาก่อนแทรกในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป โดยเฉพาะการเสริมฉากฟินๆ ของคู่ “ณเดชน์-ญาญ่า” ที่ขณะนี้เปิดตัวในฐานะคู่รักอย่างเป็นทางการไปแล้ว

    ส่วน “อังกอร์” นั้น ก็มีความเคลื่อนไหวจากบรรดาไอจีของนักแสดง เหมือนกับมีการถ่ายเพิ่มเติมในตอนพิเศษด้วยเช่นกัน

    ช่อง 8 เอาบ้าง รีรันละคร “สาปกระสือ” ละครแรงแห่งปีของช่อง

    ช่อง 8 ของกลุ่มอาร์เอส เป็นช่องที่มีคอนเทนต์หลักๆ คือ ข่าว, ซีรีส์อินเดีย, มวยไทย และละครไทย โดยละครไทยถือเป็นคอนเทนต์ที่มาแรงที่สุดของปีนี้ของช่อง 8 มาแทนที่ซีรีส์อินเดียที่ลดความร้อนแรงลดไปมาก

    ละครไทยของช่อง 8 จัดวางไว้ในช่วงละครเย็น เพื่อไม่ชนกับละครแรงของช่องใหญ่ในช่วงหลังข่าว 2 ทุ่ม ซึ่งได้เปิดตลาดชุดละครไทยในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ช่อง 8 เริ่มชุดละครไทยในวันจันทร์-พฤหัส ด้วยเรื่อง “พยัคฆา” เริ่มสร้างกระแสคนติดตามได้มากขึ้น โดยเฉพาะจากฐานผู้ชมในต่างจังหวัด ที่เป็นฐานหลักของผู้ชมละครช่อง 8 จนกระทั่งมาจุดติดด้วยเรื่อง “สาปกระสือ” ที่ได้ “น้ำตาล- ชาลิตา ส่วนเสน่ห์” Miss Universe Thailand ปี 2016 มาแสดงละครเป็นครั้งแรก

    “สาปกระสือ” กลายเป็นละครที่ได้เรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดของช่อง 8 ในปีนี้ ด้วยเรตติ้งเฉลี่ยจากการออกอากาศครั้งแรก 24 ก.ย. – 12 พ.ย. อยู่ที่ 2.136 เป็นรายการที่ทำเรตติ้งสูงสุดของช่องในช่วงครึ่งปีหลัง แซงหน้าซีรีส์อินเดียที่กำลังออกอากาศอยู่ทั้งหมด

    เมื่อถึงช่วงเทศกาลปลายปี ช่อง 8 จึงเอาบ้าง เมื่อละคร “ซิ่นลายหงส์” จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ จึงจัดละครมาราธอน ยิงยาวตั้งแต่ 25 ธ.ค. 61 – 2 ม.ค. 62 ในช่วงละครเย็น ก่อนจะเริ่มละครชุดใหม่ในหลังปีใหม่

    เช่นเดียวกับทีวีดิจิทัลช่องอื่นๆ ผลประกอบการของอาร์เอส ไตรมาส 3/2561 ในส่วนธุรกิจทีวีดิจิทัลลดลงเช่นเดียวกับช่องอื่นๆ โดยในไตรมาส 3/2561 อาร์เอสมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวมของไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 837.3 ล้านบาท ลดลง 15.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 12.3% จากไตรมาส 2 ของปีนี้ มีกำไรอยู่ที่ 106.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวของปีที่แล้ว 13.9% และลดลงถึง 36.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีนี้

    อาร์เอสชี้แจงว่า สาเหตุที่รายได้และกำไรลดลง เป็นผลมาจากการลดลงของงบโฆษณาผ่านสื่อทีวีในไตรมาส 3 ลดลงต่อเนื่องทุกเดือน โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา งบโฆษณารวมลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งช่อง 8 ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ทำให้รายได้ส่วนนี้อยู่ที่ 300 ล้านบาท ลดลง 35.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากค่าโฆษณาที่ 463.1 ล้านบาท แต่โดยรวมที่กำไรเป็นผลจากธุรกิจ Home Shopping

    การจัดละครมาราธอนในช่วงปลายปีของอาร์เอส จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุน และสร้างการรับรู้ตลาดละครไทยของช่อง 8 ที่จะมีการขยายตลาดละครใหม่ในช่วงเย็นวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ในปีหน้า เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวเลยทีเดียว.

    ]]>
    1203824