ซอสถั่วเหลือง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 19 May 2021 08:13:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ฟู้ด แฟคเตอร์” บุกตลาดเครื่องปรุงรส เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “คิดเช่นไทย” ลุย 3 ผลิตภัณฑ์ ซีอิ๊วขาว-ซอสปรุงรส-ซอสหอยนางรม ผสมวิตามิน ตอบโจทย์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ https://positioningmag.com/1332832 Wed, 19 May 2021 10:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332832

บริษัท “ฟู้ด แฟคเตอร์” ลุยธุรกิจอาหารสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดต่อยอดจิ๊กซอว์ทางธุรกิจ ส่งแบรนด์น้องใหม่ “คิดเช่นไทย” (Kitchen Thai) ลุยตลาดผลิตภัณฑ์ปรุงรส นำร่อง 3 สินค้า ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส และซอสหอยนางรม ผสมวิตามิน หวังสร้างประสบการณ์ความอร่อยคู่ครัวที่มาพร้อมการดูแลสุขภาพผู้บริโภค

คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด (Food Factors) เปิดเผยว่า

ปัจจุบันภาพรวมและศักยภาพของตลาดซอสและเครื่องปรุงรสยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากเมื่อมูลค่าปีที่ผ่านมามีภาพรวมตลาด 41,893 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 4.3% และเพื่อให้มีสินค้าอาหารครอบคลุมผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย และมีพอร์ตโฟลิโอที่ครบครัน บริษัทฯ จึงวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่หมวดเครื่องปรุงรส ภายใต้แบรนด์ “คิดเช่นไทย” (Kitchen Thai) นำร่อง 3 ผลิตภัณฑ์พระเอกเขย่าวงการตลาดเครื่องปรุงรส ผสมผสานนวัตกรรมอาหารที่ทันสมัย ได้แก่ ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส และซอสหอยนางรม ที่มาพร้อมจุดเด่นการ “ผสมวิตามิน” เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจรักสุขภาพ ปิติกล่าว”

ด้านคุณนบเกล้า ตระกูลปาน กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด กล่าวเสริมว่า

ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสคิดเช่นไทย ให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย และมีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน โดยชูจุดเด่นที่แตกต่างจากซอสปรุงรสทั่วไปในตลาด คือมีการเติมวิตามิน A, วิตามิน D,วิตามิน B12 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยในการมองเห็น เพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยในการช่วยดูดซึมแคลเซียม ช่วยการทำงาน ของระบบประสาทฯ นอกจากนี้ยังไม่ใส่ผงชูรส เก็บรักษาได้นาน และผลิตจากซอสถั่วเหลืองหมักบ่มโดยวิธีทางธรรมชาติถึง 12 เดือน เราเชื่อว่า ความแตกต่างของเครื่องปรุงรสคิดเช่นไทยนี้ จะช่วยตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และทำให้ทุกจานอร่อยมีคุณประโยชน์มากยิ่งขึ้น ในราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้ ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์จากภูมิปัญญาของคนไทย

ทั้งนี้ ช่องทางการจัดจำหน่ายเครื่องปรุงรสทั้งซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส และซอสหอยนางรม แบรนด์คิดเช่นไทย ขนาด 250 มิลลิลิตร(มล.) ราคา 45 บาท ช่วงแรกวางจำหน่ายผ่านหน่วยงานภายใต้บริษัทฯ ในนาม เทรด แฟคเตอร์ ทางช่องทาง Shopee, Lazada ,JD Central และ Facebook, Line โดยในอนาคตจะมีการขยายสู่ Modern Trade อื่น ๆ เพิ่มเติม

สำหรับภาพรวมตลาดซอสและเครื่องปรุงรสปี 2563 มีมูลค่า 41,893 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 4.3% (ที่มา : Euro monitor International ,2020) เมื่อแบ่งหมวดหมู่สินค้า ซอสถั่วเหลืองหรือซีอิ๊วมีมูลค่า 8,378 ล้านบาท หรือสัดส่วน 20% ของทั้งตลาด เติบโตเฉลี่ย 5.9% ต่อปี ซอสหอยนางรม 3,915 ล้านบาท สัดส่วน 9.45% เติบโตเฉลี่ย 5.7% ต่อปี ซอสมะเขือเทศ 502 ล้านบาท สัดส่วน 1.2% เติบโตเฉลี่ย 3.2% ต่อปี และซอสพริก 586 ล้านบาท สัดส่วน 1.4% เติบโต 7% ต่อปี

]]>
1332832
“ซอสแม็กกี้” ขายข้าวกล่อง! เปิด Maggi Kitchen เจาะฟู้ดเดลิเวอรี่ แก้โจทย์ลูกค้าไม่ทำอาหาร https://positioningmag.com/1300586 Thu, 08 Oct 2020 08:12:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300586 ซอสแม็กกี้ เปิดธุรกิจใหม่ Maggi Kitchen ครัวกลางจำหน่ายอาหารกล่องสำหรับซื้อกลับบ้านหรือฟู้ดเดลิเวอรี่เท่านั้น คว้าทั้งโอกาสฟู้ดเดลิเวอรี่โตเร็ว และกลยุทธ์การตลาดสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์ออฟฟิศที่ต้องการหัดทำกับข้าว ราคาเริ่มต้นกล่องละ 89 บาท ช่วงแรกคาดหวังยอดขาย 300-400 กล่องต่อวัน

“เครือวัลย์ วรุณไพจิตร” ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหาร และ เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล ประจำภูมิภาคอินโดไชน่า เปิดตัวธุรกิจใหม่ของซอสปรุงรสแม็กกี้คือ Maggi Kitchen โดยเป็นครั้งแรกของแม็กกี้ทั่วโลกที่มีการเปิดธุรกิจครัวทำอาหารเองรูปแบบนี้

ลักษณะธุรกิจของ Maggi Kitchen จะเป็นครัวกลางจำหน่าย “ข้าวกล่อง” สำหรับส่งฟู้ดเดลิเวอรี่หรือรับกลับบ้านเท่านั้น ไม่มีที่นั่งหน้าร้าน โดยเปิดสาขาแรกที่ห้างฯ The Market ราชประสงค์ เปิดทุกวัน เวลา 10.00-20.00น.

เมนูข้าวหมูอบไข่ยางมะตูมจาก Maggi Kitchen

อาหารที่จำหน่ายมีทั้งเมนูที่คนไทยคุ้นเคยและเมนูแปลกใหม่รวม 16 เมนู แบ่งเป็นเมนูที่ทีมเชฟของแม็กกี้คิดค้น 6 เมนู เช่น ข้าวไก่ย่างจิ้มแจ่วแม็กกี้ ข้าวไก่อบแม็กกี้ ข้าวหมูคาราเมลแม็กกี้ และเมนูที่แบรนด์ร่วมมือกับ “เชฟกิ๊ก-กมล ชอบดีงาม” ผู้ชนะรายการเชฟกระทะเหล็ก อีก 10 เมนู เช่น ผัดเส้นจันทน์อนุสาวรีย์ ข้าวผัดน้ำพริกกะปิป้าต้อย ข้าวหน้าสตูลิ้นวัว ราคาตั้งแต่ 89 บาท จนถึง 259 บาท

 

เจาะลูกค้าให้ครบทุกมื้อ-แรงบันดาลใจการทำอาหาร

สถานการณ์ตลาดซอสปรุงรสสำหรับทำอาหารเริ่มติดลบหรือโตไม่มากมาตั้งแต่ปี 2558 จากวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่หรือคนเมืองมีความเร่งรีบ เน้นการทานอาหารนอกบ้านหรือซื้อมารับประทานมากกว่าเพื่อประหยัดเวลา ทำให้วัตถุดิบปรุงอาหารในไทยทำยอดขายได้ยากขึ้นด้วย

ยิ่งมี “ฟู้ดเดลิเวอรี่” เข้ามา ยิ่งทำให้การซื้ออาหารรับประทานยิ่งโต โดยเครือวัลย์ระบุว่าปัจจุบันฟู้ดเดลิเวอรี่มีมูลค่าตลาดราว 35,000 ล้านบาท มีผู้บริโภคสั่งอาหารเดลิเวอรี่ 140,000 ครั้งต่อวัน และตลาดนี้มีแนวโน้มโตแตะ 50,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี

หน้าร้าน Maggi Kitchen ใน The Market ลงทุนมูลค่า 10 ล้านบาท

ดังนั้น แม็กกี้จึงต้องการเข้าไปมีส่วนในตลาดนี้ด้วยการลงทุน 10 ล้านบาทเปิด Maggi Kitchen โมเดลธุรกิจใหม่ดังกล่าว จะทำให้แม็กกี้ไม่ใช่แบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในบ้านเท่านั้นแต่ตอบโจทย์การสั่งอาหารจากนอกบ้านด้วย หรือถ้ามองเป็นมื้ออาหาร ปกติลูกค้าอาจจะใช้ซอสแม็กกี้ในบ้านเฉพาะมื้อเช้า-มื้อเย็น เมื่อมีอาหารเดลิเวอรี่ก็จะเข้าถึงมื้อกลางวันเพิ่ม

เหตุผลอีกส่วนหนึ่งคือเป็นกลยุทธ์การตลาดให้กับสินค้าซอสแม็กกี้ เพราะเป็นการ engage กับลูกค้าอีกรูปแบบหนึ่งทำให้ลูกค้าได้สัมผัสอาหารจากแม็กกี้โดยตรง เป็นแรงบันดาลใจในการทำอาหารทานเอง

“สินค้าซอสปรุงรสจะยังเป็นสินค้าหลักของเราต่อไป แต่ Maggi Kitchen จะมาช่วยเสริมตามพฤติกรรมบริโภคที่เปลี่ยนไปของลูกค้า” เครือวัลย์กล่าว

 

มุ่งเป้ามนุษย์ออฟฟิศที่กำลังจะหัดทำอาหาร

ส่วนการเลือกเปิดสาขาแรกที่ The Market ราชประสงค์ เครือวัลย์ตอบว่าเพราะเป็นทำเลที่อยู่ใจกลางย่านออฟฟิศ
ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการคือ คนหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศ ปกติคนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ทำอาหารทานเองน้อยลงถ้าเทียบกับคนสมัยก่อน หลายคนอาจจะไม่เคยทำอาหารเองเลย

ข้าวกล่องแม็กกี้ราคาเริ่มต้น 89 บาท เน้นรสชาติดี ปริมาณอาหารและหน้าตาอาหาร “ตรงปก”

“แต่หัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเขาคือเมื่อเริ่มมีลูก หลายคนมักจะเริ่มหัดทำอาหารเองเพื่อลูก เพราะไม่อยากให้ลูกต้องทานอาหารที่ซื้อเข้ามาทุกมื้อ ซึ่งคิดว่า Maggi Kitchen จะช่วย engage กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ได้ดี” เครือวัลย์กล่าว พร้อมอธิบายว่า แม็กกี้มีเครื่องมือการตลาดอื่นๆ อีกที่ช่วยให้ลูกค้าสนุกกับการทำอาหาร เช่น เพจเฟซบุ๊ก “เข้าครัวกับแม็กกี้” เป็นเหมือนชุมชนคนทำอาหารที่มาแบ่งปันสูตรอาหารกัน เหมาะกับคนที่หัดทำอาหารจากสูตรบนโลกออนไลน์

ด้านเป้าหมายยอดขายสาขาแรก เบื้องต้นตั้งเป้าขาย 300-400 กล่องต่อวัน และกำลังมองทำเลขยายสาขาต่อไป อาจจะเป็นได้ทั้งใจกลางเมืองย่านออฟฟิศ หรือไปในย่านหมู่บ้านที่อยู่อาศัย ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาพฤติกรรมลูกค้าเดลิเวอรี่ คาดว่าจะตัดสินใจได้ในช่วงปลายปีนี้

เครือวัลย์ขอไม่เปิดเผยรายได้ปีนี้ของแม็กกี้ แต่กล่าวว่าตลาดซอสปรุงรสสำหรับทำอาหารของไทยปีนี้เติบโต 1.7% ส่วนแม็กกี้เติบโตได้ 3-4% เหนือกว่าตลาด ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น

]]>
1300586
ซีอิ้วครองโลก! บริษัทซอสถั่วเหลืองจีนท็อปฟอร์มหุ้นพุ่งแซงบริษัทอสังหาฯ https://positioningmag.com/1245003 Tue, 03 Sep 2019 10:53:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1245003 เป็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาในตลาดหุ้นจีน เมื่อบริษัท Foshan Haitian Flavoring & Food Co. ผู้ผลิตซอสถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดแดนมังกร มีผลประกอบการยอดเยี่ยมจนทำให้มูลค่าตลาดพุ่งทยานแซงบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของจีน ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกหลังจากความต่างมูลค่าตลาดสูสีกันมากที่สุดกว่า 3 ครั้งในรอบปีนี้

การผงาดของเจ้าพ่อซีอิ้ว Foshan Haitian Flavoring & Food Co. ที่แซงหน้าบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ที่สุดของจีนในแง่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดนี้เกิดขึ้นหลังจากหุ้นของ Foshan พุ่งแรงก้าวกระโดดมากกว่า 30% ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ผลจากอัตรากำไรที่ร้อนแรงเกิน 52 เท่าตัว พร้อมกับที่นักลงทุนในตลาดต้องการหาที่หลบภัยจากสงครามการค้าจีนและสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ ส่งให้ Foshan ท็อปฟอร์มร้อนแรงเกินใครในนาทีนี้

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนกำลังชะลอตัว หุ้นของบริษัทอสังหาฯ แดนมังกรจึงต้องเผชิญกับการชะลอตัวตามไปด้วย ทั้งในแง่การเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองกว่าเดิม และยังไม่มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในเร็ววัน

กำไรพุ่ง

กำไรสุทธิครึ่งปีแรกของ Foshan Haitian พุ่งทะยาน 22.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ทำสถิติ 2,800 ล้านหยวน ราว 12,000 ล้านบาท 

กำไรงดงามนี้มาจากสินค้าที่หลากหลายของ Foshan Haitian Flavoring and Food Company Ltd. บริษัทสัญชาติจีนรายนี้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องปรุงรสเป็นหลัก กลุ่มสินค้าของบริษัทประกอบด้วยซอสถั่วเหลือง ซอสเอนกประสงค์ ซอสหอยนางรม เครื่องปรุงรสไก่ น้ำส้มสายชู และอื่น โดยสินค้าหลักกลุ่ม Top 3 คือซอสถั่วเหลือง ซอสเอนกประสงค์ และซอสหอยนางรม

ธุรกิจของ Foshan Haitian ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกเรื่องกระแสฮิตรับประทานชาบูหม้อร้อนของชาวจีน เพราะซอสเอนกประสงค์คือส่วนผสมหลักที่นำไปผสมเป็นซอสบาร์บีคิว ซอสสำหรับอาหารกลุ่ม hot pot นอกจากนี้ ซอสหอยนางรมของ Foshan Haitian ยังนิยมนำไปประยุกต์ในอาหารหลากหลาย ที่สำคัญคือการประยุกต์เป็นน้ำสลัดที่ได้รับความนิยมมากขึ้น

เน้นในประเทศ

อย่างไรก็ตาม Foshan Haitian ยังเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในตลาดจีนภายในประเทศ ข้อมูลล่าสุดยังไม่มีรายงานแผนการเปิดตลาดต่างประเทศแบบจริงจังของเจ้าพ่อซีอิ้วรายนี้

จากการรวบรวมสถิติมูลค่าหุ้นของ Bloomberg พบว่าหากเปรียบเทียบกับบริษัท China Vanke ที่เป็นบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ที่สุดของจีน จะพบว่ามูลค่าตลาดของ Foshan Haitian ห่างจาก China Vanke มาตลอด เห็นชัดเจนช่วงปี 2016 – 2018 โดยเฉพาะช่วงกลางปี 2018 ที่หุ้น China Vanke พุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

แต่แล้วหุ้น China Vanke ก็ตกลงต่อเนื่อง สวนทางกับ Foshan Haitian ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นปี 2019 จนล่าสุดบริษัทสามารถทำมูลค่าแซงหน้าเป็นครั้งแรก จนทำให้นักวิเคราะห์มองว่าแม้เศรษฐกิจจะซบเซาเพียงใด แต่คนก็ยังต้องปรุงรสอาหารทุกวันอยู่ดี.

]]>
1245003
HaiTian Old brand never die ซอสถั่วเหลืองอายุ 300 ปี มูลค่าสูงที่สุดในโลก https://positioningmag.com/1231476 Sat, 25 May 2019 12:01:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1231476 ภาพ : http://fortune.com

หากพูดถึงซอสถั่วเหลือง แบรนด์ที่คนไทยเราคุ้นเคยเป็นอย่างดีคงหนีไม่พ้นแบรนด์อย่าง เด็กสมบูรณ์ แม็กกี้ ภูเขาทอง หรือหากเป็นแบรนด์ซอสถั่วเหลืองต่างชาติเราคงนึกถึงแบรนด์อย่าง คิคโคแมน เป็นอันดับต้นๆ

จริงๆ แล้วประเทศที่คิดค้นซอสถั่วเหลืองขึ้นมาเป็นประเทศแรกในโลกคือประเทศจีน ซอสถั่วเหลืองนั้นถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ยุคราชวางศ์ฮั่น หรือราว 2,000 กว่าปีมาแล้ว

แต่หากถามถึงแบรนด์ซอสถั่วเหลืองจากประเทศจีนเชื่อว่าคงมีน้อยคนที่จะรู้จัก ทราบกันมั้ยครับว่า ที่จีนมีแบรนด์ซอสถั่วเหลืองแบรนด์หนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปี โดยปัจจุบันแบรนด์นี้ยังนับเป็นหนึ่งในแบรนด์ซอสถั่วเหลืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

Source: Haitian

Haitian ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง คนไทยเราอาจรู้จักยุคนั้นจากละครเรื่อง องค์หญิงกำมะลอ หรือคร่าวๆ คือช่วงปลายยุคกรุงศรีอยุธยาต้น .1 ในบ้านเรา จนถึงปัจจุบันแบรนด์นี้ก็มีอายุราว 300 ปีแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Haitian คือไม่เพียงแค่แบรนด์นี้ไม่ได้ตายหายไปตามกาลเวลา หรือดูล้าสมัยจนคนไม่ค่อยให้ความใจ Haitian กลับสามารถเติบโตจนก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามหาศาลได้ในปัจจุบัน

หากวัดตามมูลค่าตลาด (Market Cap) แล้ว Haitian ถือได้ว่าเป็นบริษัทผลิตซอสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ใหญ่กว่าหลายบรรดาบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในไทยอย่าง SCG หรือหลายธนาคารชั้นนำของไทยเราด้วยซ้ำ

จากการที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน หลายท่านอาจคาดเดาว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ Hai Tian ประสบความสำเร็จคงเป็นเพราะรสชาติที่สืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ซึ่งอันที่จริงแล้วรสชาติเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ปัจจัยหลักที่ทำให้แบรนด์ๆ นี้อยู่รอดตลอดช่วง 300 กว่าปีที่ผ่านมากลับเป็นความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับแต่ละยุคสมัย ความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค ที่สำคัญคือการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างเครือข่ายกระจายสินค้าที่สามารถครอบคลุมไปทั่วประเทศจีน

Source: Haitian

ประเทศจีนช่วงปี 90 นั้นรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำ Haitian มองเห็นได้ว่าหากยังใช้กรรมวิธีผลิตแบบโบราณ ราคาต่อขวดจะสูง ผลิตได้แต่ละครั้งในจำนวนไม่มาก และยังต้องใช้เวลานานในการผลิต Haitian ในสมัยนั้นจึงตัดสินใจลงทุนกว่า 150 ล้านบาท ในการนำเข้าเครื่องจักรสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ถึงแม้จำนวนเงินอาจดูไม่เยอะมากสำหรับปัจจุบันแต่ไม่ใช่สำหรับในยุคนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงสูง

บริษัทยังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างผลผลิตได้มากกว่า 250 ล้านตันต่อปี ทำให้ Haitian กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีผลผลิตสินค้าในหมวดนี้ต่อปีจำนวนมากที่สุดในโลก การผลิตที่มีประสิทธิภาพนี้ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) ของ Haitain ในปี 2017 สูงถึง 28% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปของอุตสาหกรรมนี้ในประเทศจีนเกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว

นอกจากนั้น จากความเข้าใจผู้บริโภคในบ้านตัวเองเป็นอย่างดีว่ามีความกังวลต่อความปลอดภัยของอาหารอย่างมาก บริษัทจึงตัดสินใจลงทุนราว 2,000 ล้านบาทใน R&D และเทคโนโลยีในด้านความปลอดภัยของอาหารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์และผลิตภัณฑ์ตัวเองต่อผู้บริโภค Haitian ยังใช้เงินลงทุนนี้ในการเพิ่มไลน์สินค้าอื่นๆ นอกเหนือจากซอสถั่วเหลืองที่ทำมาหลายร้อยปี เพราะบริษัทเข้าใจได้ว่าธุรกิจไม่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหากมีสินค้าเพียงแค่ซอสถั่วเหลืองอย่างเดียว

ปัจจุบัน Haitian จึงมีสินค้าที่หลากหลายและครอบคลุมถึง 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ กว่า 200 สินค้า เช่น ซอสหอยนางรม น้ำส้ม เหล้าสำหรับทำอาหาร น้ำมันงา ผงไก่สกัด ผงชูรส เต้าหู้หมัก รวมไปถึงสินค้าอย่างเครื่องดื่ม

Source: Haitian

ในด้านการกระจายสินค้า จากการพยายามสร้างเครือข่ายให้กว้างขวางและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2016 เครือข่ายกระจายสินค้าของบริษัทก็ได้ครอบคลุมไปทั่วประเทศจีน Haitian สามารถกระจายสินค้าของตัวเองไปทั้งในเมืองใหญ่ เมืองเล็ก จนถึงเขตชนบทที่หลายๆ แบรนด์ไม่สามารถกระจายเข้าไปได้ โดยบริษัทส่งสินค้าให้มากกว่า 500,000 ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศจีนในปัจจุบัน

ไม่เพียงแค่กลุ่มลูกค้าทั่วไปที่บริษัทให้ความสนใจ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ผู้บริโภคชาวจีนมีรายได้เพิ่มขึ้นส่งผลให้การกินอาหารนอกบ้านได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ Haitian ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะโฟกัสไปที่ลูกค้ากลุ่ม HORECA (Hotel, Restaurant, Catering) โดยมีการปรับเปลี่ยนขนาด แพ็กเกจ วิธีการขนส่ง และราคา เพื่อให้ผลิตภัณ์ของตัวเองมีความน่าดึงดูดและเหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มนี้

การที่บริษัทปรับตัวได้ไวและจับลูกค้ากลุ่มนี้ได้สำเร็จ ทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในปัจจุบันรายได้จากกลุ่มลูกค้า HORECA นับเป็นกว่า 60% จากสัดส่วนรายได้ทั้งหมดของบริษัท

เนื่องด้วย Economies of Scale ที่บริษัทมี ทำให้บริษัทสามารถจัดโปรโมชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและหนักหน่วงกว่าหลากหลายคู่แข่งมาโดยตลอด ในตลาดเมืองจีนคู่แข่งรายสำคัญที่สุดของ Haitian คือ Lee Kum Kee ที่น่าสนใจคือลูกค้าจำนวนมากในตลาดซอสถั่วเหลืองไม่สามารถบอกได้ว่ารสชาติของแบรนด์ไหนอร่อยกว่ากัน แต่เนื่องจาก Haitian สามารถทำโปรโมชั่นได้แรงกว่าและบ่อยกว่าทำให้สุดท้ายแล้ว Haitian ถูกผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อมากกว่า โดยสินค้าของบริษัทถูกผู้บริโภคชาวจีนเลือกซื้อถึง 520 ล้านครั้งในปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้ของ Haitian เติบโตเกิน 20% ติดต่อกัน 7 ไตรมาส และได้ก้าวมาเป็นเจ้าตลาดครองส่วนแบ่งกว่า 16% ในประเทศจีน

ถึงแม้บริษัทจะมีความได้เปรียบในด้านราคา แต่ Haitian ก็มองเห็นว่าผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญกับสุขภาพมาก สำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มราคาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดอีกต่อไป คุณภาพกับสุขภาพกลับเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่า บริษัทจึงตัดสินใจออกผลิตภัณฑ์พรีเมียมไลน์ใหม่ที่ปราศจากสารเติมแต่ง และใช้ส่วนประกอบทุกอย่างที่เป็นออร์แกนิก โดยสินค้าไลน์ใหม่นี้มีราคาที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคยุคนี้ต้องการและมีโอกาสเติบโตอีกมากมายในอนาคต

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า Haitian มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยตลอดมา ถึงแม้ว่าแบรนด์จะมีอายุราว 300 ปีแล้ว ก็คงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นแบรนด์นี้เติบโตได้อย่างมั่นคงไปในอีกสิบหรือร้อยปีข้างหน้า เพราะนอกเหนือจากตลาดในประเทศจีนแล้วยังมีอีกหลายร้อยประเทศที่ Haitian สามารถเข้าไปแข่งขันได้ ไม่แน่นะครับว่าวันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นแบรนด์นี้ที่ชั้นวางซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้านเราก็เป็นได้.

]]>
1231476