ทรูไอดี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 07 Feb 2025 07:40:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุปคดี ‘พิรงรอง Vs ทรูไอดี’ ปกป้องผู้บริโภคหรือกลั่นแกล้งบริษัทใหญ่? https://positioningmag.com/1509826 Fri, 07 Feb 2025 02:03:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1509826 กำลังเป็นกระแสอย่างมากสำหรับเรื่องราวการฟ้องร้องระหว่าง บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กับ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แม้ว่าศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษา และกำลังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ ทำให้ยังไม่สามารถเห็นบทสรุปของคดี แต่ทาง Positioning จะมาสรุปเรื่องราวถึงต้นเหตุการฟ้องร้องว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

ย้อนไปในปี 2566 มีผู้บริโภคร้องเรียนไปยัง กสทช. ว่า แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (TrueID) มีการ แทรกโฆษณาในช่องรายการทีวีดิจิทัล ซึ่งขัดต่อหลักเกณฑ์ มัสต์แครี่ (Must Carry) ที่กำหนดให้ต้องเผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์โดย ห้ามไม่ให้มีเนื้อหาแทรก ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้อนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์จึงแจ้งให้กสทช. ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 127 ราย ให้ตรวจสอบการนำช่องรายการไปออกอากาศผ่านโครงข่ายต่าง ๆ

เนื่องจาก TrueID ถือเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดีโอแบบ OTT (Over the top) ทำให้หนังสือดังกล่าวไม่ได้แจ้งไปยัง บริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมองว่า การออกหนังสือเตือนดังกล่าวเป็นการ สร้างความเสียหายแก่บริษัท เพราะอาจทำให้ผู้ได้รับอนุญาตเข้าใจว่า เป็นผู้ทำผิดกฎหมาย และอาจทำให้ไม่มีทีวีดิจิทัลไปออกอากาศ ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทจึงมองว่า การกระทำของ ศ.ดร.พิรงรอง แสดงถึงความ มีอคติ และ ไม่เป็นกลาง ในการปฏิบัติหน้าที่

นำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รวมถึงยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลฯ ให้ ศ.ดร.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีนี้

อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.พิรงรอง เองก็ยืนยันว่า ไม่ได้เลือกปฏิบัติ เพราะทาง กสทช. ได้มีการออกหนังสือในรูปแบบเดียวกันไปยังผู้ประกอบการอีกรายที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน และการออกหนังสือเตือนของ กสทช. เป็นการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค

ล่าสุด (6 ก.พ. 2568) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษาให้ จำคุก ศ.ดร.พิรงรอง เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา โดยศาลฯ ได้เผยแพร่ รายละเอียดคำพิพากษา ดังนี้

  • ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 อนุกรรมการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่อง TrueID แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะเห็นว่ามีผู้ให้บริการ OTT รายอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตจำนวนมาก การพิจารณา True ID เพียงรายเดียวอาจส่งผลเสียต่อการพิจารณาในอนาคต
  • มีข้อมูลว่า TrueID เป็นบริการ OTT ซึ่งกฎหมายกำกับดูแลยังไม่ชัดเจน สอดคล้องกับคำชี้แจงของสำนักงาน กสทช. ว่ายังไม่มีนิยามของ OTT ที่ชัดเจน
  • 28 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ทำบันทึกและร่างหนังสือตามคำสั่งจำเลย โดยระบุชื่อ True ID อย่างเจาะจง เพื่อส่งไปยังผู้ได้รับอนุญาต 127 ราย แม้ว่าการประชุมวันที่ 16 ก.พ. จะยังไม่มีมติเรื่องนี้ ซึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า ศ.ดร.พิรงรองเป็นผู้สั่งการและเร่งรัดให้จัดทำ
  • 2 มีนาคม 2566 จำเลยต่อว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำหนังสือโดยไม่ระบุชื่อ TrueID และในรายงานการประชุม ของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 ไม่ได้มีมติให้สำนักงาน กสทช.จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์โดยระบุเจาะจงถึงบริการ True ID ของโจทก์
  • แต่ตามบันทึกรายงานการประชุมกลับมีการระบุว่า ที่ประชุมมีมติรับรองรายงานการประชุม ครั้งที่ 3/2566 และเห็นควรมีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ทั้งที่ในความเป็นจริงการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 4/2566 ไม่ได้มีมติดังกล่าวแต่อย่างใด อันเป็นการทำเอกสารรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ
  • และก่อนจบการประชุมได้พูดว่า “ต้องเตรียมตัวจะล้มยักษ์” โดยจำเลยยอมรับว่า “ยักษ์” หมายถึงโจทก์ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาให้กิจการของโจทก์เสียหาย
  • นอกจากนี้ หลังจากมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการ 127 ราย หลายรายได้ชะลอหรือขยายเวลาทำสัญญากับโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ศาลฯ จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมีเจตนาเพื่อกลั่นแกล้งให้บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ได้รับความเสียหาย ทำให้ศาลตัดสินจำคุก ศ.ดร.พิรงรอง เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

อย่างไรก็ตาม ทาง ศ.ดร.พิรงรอง ได้ ยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ และได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมาโดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ดังนั้น คดีนี้จึงยังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์

จากคดีการฟ้องร้องที่เกิดขึ้น รวมถึงการตัดสินของศาลที่พิพากษาจำคุก ศ.ดร.พิรงรอง ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวโซเชียลเป็นจำนวนมาก โดยความเห็นส่วนใหญ่เป็นการ ให้กำลังใจและสนับสนุน ศ.ดร.พิรงรอง และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กสทช. ที่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ รวมไปถึงมองว่าการฟ้องร้องครั้งนี้อาจเป็นการใช้อำนาจของบริษัทใหญ่เพื่อปิดกั้นการตรวจสอบหรือไม่ จนเกิดเป็นแฮชแท็ก #saveพิรงรอง #freeกสทช และแฮชแท็ก #แบนทรู

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามถึงกฎมัสต์แครี่ที่ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2555 ทำให้ยังมี ช่องโหว่ ในเรื่องของ OTT รวมถึงกฎบางข้อที่เริ่มไม่สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน

สำหรับ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต ถือเป็นบุคคลสำหรับในวงการสื่อสารและการกำกับดูแลสื่อในไทย โดยเริ่มจากการเป็นอาจารย์ประจําภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2535 และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีด้านการสื่อสารบริการสังคมและพันธกิจสากล ตำแหน่งบริหารจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2559-2563 และมีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายสื่อในระดับประเทศและนานาชาติ และการผลักดันนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ศ.ดร.พิรงรอง ยังเคยเป็น เสียงส่วนน้อยในการคัดค้านการควบรวมกิจการของ ทรู-ดีแทค โดยมองว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การลด หรือจำกัดการแข่งขัน และการคุ้มครองผู้บริโภค

ทั้งนี้ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา อดีตอดีตกรรมการ กสทช. ให้ความเห็นกับ Thai PBS ในรายการ FlashTalk อย่างน่าสนใจว่า โดยปกติบริษัทเอกชนจะไม่สามารถดำเนินคดีทางแพ่งกับเจ้าหน้าที่รัฐได้โดยตรง ต้องฟ้องผ่านหน่วยงานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทเอกชนก็มีสิทธิ์ทางกฎหมายในการดำเนินคดีทางอาญาได้

ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวอาจทำให้ต้องแลกด้วยผลประโยชน์สาธารณะ เพราะอาจทำเจ้าหน้าที่รัฐเองไม่อยากจะทำอะไรที่มีโอกาสจะทำให้ตกเป็นจำเลย ดังนั้น มองว่าวิธีการแก้คือ ตีแผ่คดีให้สังคมตัดสินก่อน ว่าเป็นการ ฟ้องปิดปาก หรือฟ้องข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือ เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจริง เพื่อให้สังคมช่วยกันตรวจสอบ หรือควรมีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลก่อนรับฟ้อง เพราะแม้จะมีการยื่นอุทธรณ์ได้ แต่อาจทำให้เจ้าหน้าที่หมดกำลังใจในการทำงาน

]]>
1509826
คุ้มแค่ไหนถามใจทรู! เปิดลิสต์เครือทรูที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ขึ้นแท่นเป็น ‘พรีเซ็นเตอร์’ https://positioningmag.com/1431989 Fri, 26 May 2023 11:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431989 ด้วยชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความสามารถ จึงไม่น่าแปลกใจนักหากแบรนด์ (ที่มีเงินถึง) จะอยากคว้าตัวสาว ลิซ่า BLACKPINK หรือ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ไอดอล K-pop ที่ได้รับความนิยมและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมาขึ้นเป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับแบรนด์ของตัวเอง และหนึ่งในนั้นก็คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ดูเหมือนจะคุ้มสุด เพราะใช้ลิซ่าไปเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในหลายภาคส่วนเลยทีเดียว

3 ปีจากถิ่น AIS สู่ 3 พรีเซ็นเตอร์เครือทรูในปีเดียว

ย้อนไปเมื่อปี 2019 หากใครจำกันได้ ลิซ่า ได้กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ปี เอไอเอส (AIS) เบอร์ 1 ของตลาดโทรคมนาคมไทยในขณะนั้น โดยเอไอเอสถือเป็น แบรนด์แรกในไทย ที่คว้าตัวลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้สำเร็จ จากนั้น ลิซ่าก็เป็นครอบครัวของเอไอเอสมายาวนานถึงปี 2022 แต่ในปี 2023 ลิซ่าก็ไม่ได้ต่อสัญญากับทางค่ายต่อ

ซึ่งในตอนนั้น เอไอเอสได้เปิดเผยว่า บริษัทพยายามจะต่อสัญญากับลิซ่าแล้ว แต่ไม่สำเร็จเนื่องจาก ค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญาและไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest ซึ่งหลายคนก็เดากันว่าต้องเป็น ทรู แน่นอน

อ่าน >>> ทำไม ‘เอไอเอส’ ต้องทุ่มจับ ‘New Gen’ และกลยุทธ์การใช้ ‘พรีเซ็นเตอร์’ จะเป็นอย่างไรเมื่อไร้ ‘ลิซ่า’

TrueID แพลตฟอร์มแรกที่ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์

มาต้นปี 2023 ก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้ TrueID (ทรู ไอดี) แพลตฟอร์มคอนเทนต์ในเครือทรูฯ ก็ได้ประกาศว่า ลิซ่า เป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด พร้อมกับเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ พร้อมให้เหตุผลว่า “ลิซ่า BLACKPINK จะมาช่วยตอกย้ำภาพความเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกของ TrueID ที่ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังได้เอ็กซ์คูลซีฟคอนเทนต์ของ BLACKPINK และคอนเทนต์อื่น ๆ จากศิลปินในสังกัด YG Entertainment  อีกด้วย

TrueX แอปพลิเคชันใหม่หลังควบรวม

หลังจากที่ ทรู และ ดีแทค ควบรวมกันเป็น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในช่วงเดือนมีนาคม และ 1 เดือนผ่านไป บริษัทก็ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ TrueX ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มที่รวมบริการต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของลูกค้าทรู และผู้บริโภคทั่วไปมารวมไว้ในแอปฯ เดียว อาทิ โซลูชันการดูแลบ้าน, สุขภาพ, ช้อปปิ้ง รวมถึงบันเทิง

และเพื่อสื่อสารความเป็น LifeOS แพลตฟอร์ม TrueX ก็เลือกใช้ ลิซ่า เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยมีการยิงโฆษณาทางช่องทางต่าง ๆ ทั้งทำโปรโมชันแพ็กเกจ เพื่อดันให้แพลตฟอร์มมียอดดาวน์โหลด 1 ล้านดาวน์โหลดในสิ้นปี

True Money ที่มีพรีเซ็นเตอร์ระดับโลกครั้งแรก

แม้จะทำตลาดไทยมานาน 8 ปี ให้บริการครอบคลุม 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านราย แต่แพลตฟอร์ม ทรูมันนี่ (True Money) ก็ยังไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อย่างจริงจัง มีเพียงแค่บางแคมเปญเท่านั้น แต่มาปีนี้ ทรูมันนี่เลือกจะทุ่มเงินดึงลิซ่า มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงต้องการสื่อว่าแบรนด์ทรูมันนี่เป็นแบรนด์ใหญ่ระดับ Top เหมือนกับลิซ่า

เรียกได้ว่าผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งปี แต่เครือทรูก็ใช้ลิซ่ายืนเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วถึง 3 แพลตฟอร์ม ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าสนใจมากว่า เครือทรูฯ เลือกจะใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์เฉพาะ แพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ไม่ได้ใช้มาสื่อสารถึงบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ส่วนนั้นเลือกใช้ นาย ณภัทร และ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าเครือทรูฯ จะใช้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแพลตฟอร์มดิจิทัลไหนอีกบ้าง หรือจะข้ามฟากไปฝั่ง เครือซีพี ที่เคยมีข่าวลือ

]]>
1431989
“ทรูวิชั่นส์” ลั่นกลับมาบริหาร “พรีเมียร์ลีก” รอบ 6 ปี ต้อง “คุ้มทุน” ชู “ออมนิ แชนแนล” หนุนรายได้ ยิงสด PPTV 30 แมตช์ https://positioningmag.com/1241633 Wed, 07 Aug 2019 10:35:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241633 ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/20 – 2021/22 ในประเทศไทยถือเป็น King of Content ในฝั่งกีฬาฟุตบอลไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นการกลับมาบริหารลิขสิทธิ์เต็มรูปแบบอีกครั้งในรอบ 6 ปี ของ “ทรูวิชั่นส์” ที่ปั้นฐานแฟนฟุตบอล EPL มาเกือบ 30 ปีตั้งแต่เริ่มธุรกิจเพย์ทีวี

“พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ถือเป็นลีกการแข่งขันฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและมีผู้ติดตามชมมากที่สุดในโลก “ทรูวิชั่นส์” ถือลิขสิทธิ์ลีกดังตั้งแต่ทำธุรกิจเพย์ทีวีเกือบ 30 ปี เว้น 3 ฤดูกาลปี 2013 – 2016 ที่อยู่ในมือ CTH ด้วยการทุ่มประมูลกว่า 9,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกที่ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้อยู่ในเพย์ทีวี “ทรูวิชั่นส์” และท้ายที่สุดธุรกิจเพย์ทีวี CTH ก็ไปไม่รอด แม้มี King of Content ในมือ

จากนั้น 3 ฤดูกาลในปี 2016 – 2019 ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตกอยู่ในมือ beIN Sports ที่ร่วมเป็นพันธมิตรถ่ายทอดสดช่องทาง “เพย์ทีวี” ผ่านทรูวิชั่นส์ ถือเป็นการคืนสู่แพลตฟอร์มอีกครั้งของลีกดัง แต่การบริหารยังอยู่ในมือ beIN Sports

หลังจากดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ปี 2019 – 2022 ในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ของ “เฟซบุ๊ก” ที่ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ลีกดังต้อง “ล่ม” จนต้องมีการเปิดประมูลใหม่ ครั้งนี้ “ทรูวิชั่นส์” เป็นผู้คว้าลิขสิทธิ์ด้วยราคาต่ำกว่าที่เฟซบุ๊กเสนอ และเป็นราคาที่ “พอใจ”

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา

หวังพรีเมียร์ลีกหนุนธุรกิจ “คุ้มทุน”

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ถือเป็นการกลับมาบริหารลิขสิทธิ์ลีกดัง แบบ All Right จากพรีเมียร์ลีก อังกฤษโดยตรงอีกครั้งในรอบ 6 ปี สามารถออกอากาศครบทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล ได้ทุกแพลตฟอร์มทั้งเพย์ทีวี ฟรีทีวี ออนไลน์ OTT รับชมผ่านจอทีวีและสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งชมสดและรีรัน

“การกลับสู่ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ปของลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งนี้ วางเป้าหมายผลักดันลีกดังให้กลับมาได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้ง และจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของทรูวิชั่นส์ ที่กล้าตั้งเป้าหมายคุ้มทุน”

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง แต่การทำตลาดในช่วงที่ไม่ได้อยู่กับทรูวิชั่นส์ อาจไม่ครอบคลุมฐานผู้ชมทั้งหมดที่เคยเข้าถึงลีกดัง แต่คนที่ชื่นชอบพรีเมียร์ลีกยังมีอยู่จำนวนมาก

ชู Omni Channel เจาะ 20 ล้านผู้ชม

กลยุทธ์การทำตลาด พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ เป็นรูปแบบ Omni Channel Omni Platform เป็นการ Synergy การรับชมลีกดังในทุกช่องทางทั้ง ออฟไลน์และออนไลน์ ผ่านทุกแพลตฟอร์มในเครือทรู ทั้งเพย์ทีวี ทรูออนไลน์ ทางเว็บไซต์บนโน้ตบุ๊คหรือแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ผ่าน ทรูไอดี และ TrueID Box ที่สามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนทีวีดิจิทัล ทรูโฟร์ยูและทีเอ็นเอ็น จะเป็นช่องทางนำเสนอคลิปคอนเทนต์ก่อนเกมและและหลังเกมแข่งขัน เพื่อช่วยโปรโมตลีกดัง

ขณะที่การถ่ายทอดสดทาง “ทีวีดิจิทัล” PPTV เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรวม 30 แมตช์ตลอดฤดูกาล

ความแตกต่างของการบริหารลิขสิทธิ์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งนี้ อยู่ที่แพลตฟอร์ม OTT ทรูไอดี ที่สามารถรับชมได้ทุกเครือข่ายมือถือ ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลด ทรูไอดี ไปแล้วกว่า 15 ล้านราย โดยเป็นแอปที่สามารถดูพรีเมียร์ลีกบนมือถือได้ฟรี 100 แมตช์ตลอดฤดูกาล

นอกจากนี้ ทรูไอดี ยังมีแพ็กเกจดูครบตลอดฤดูกาล 2,500 บาท รายเดือน 319 บาท รายสัปดาห์ 179 บาท และรายวัน 99 บาท ส่วนแพ็คเกจ ทรูออนไลน์ พร้อมกล่องทรูไอดีทีวี ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทุกสัปดาห์ ราคา 999 บาทต่อเดือน

ส่วน ทรูวิชั่นส์ ซึ่งปัจจุบันมีฐานสมาชิก 4 ล้านราย แพ็กเกจแพลตินัมดูฟรีทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล แพ็กเกจเสริม ทรู พรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส ราคา 399 บาทต่อเดือน โกลด์ 199 บาทต่อเดือน และแพ็กเกจอื่นๆ 299 บาทต่อเดือน

“การบริหารลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกทุกแพลตฟอร์มตลอด 3 ฤดูกาลใหม่ ทำให้ลีกดังเข้าถึงผู้ชมกว่า 20 ล้านรายในประเทศไทย โดยเฉพาะ OTT และจะผลักดันรายได้ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป ให้กลับมาเติบโตอีกครั้งตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป”

นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ชิป 6 พันธมิตร คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น, สิงห์ คอร์เปเรอชั่น, ซีพี ออลล์, เอ.พี. ฮอนด้า, ซีพีเอฟ และสยามแมคโคร ที่จะทำแคมเปญการตลาดทั้งบนหน้าจอ ออนไลน์ และจัดกิจกรรมร่วมกันตลอด 3 ฤดูกาล

สำหรับนัดเปิดสนามเป็นโปรแกรม “ฟรายเดย์ไนท์” คืนวันศุกร์ที่ 9 ส.ค. ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ นอริช ซิตี้ ต่อด้วยโปรแกรมวันเสาร์ที่ 10 ส.ค. อีก 7 คู่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, บอร์นมัธ พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลีย์ พบ เซาแธมป์ตัน, คริสตัล พาเลซ พบ เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้ พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน, วัตฟอร์ด พบ ไบรจ์ตัน, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ พบ แอสตัน วิลลา ปิดท้ายด้วยเกมวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2 คู่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด พบ อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เชลซี ถ่ายทอดสดผ่านทรูวิชั่นส์ 6 ช่อง

]]>
1241633
ทรู กำไร 7 พันล้านบาท ปี 2561 ประกาศจ่ายปันผล 3 พันล้านบาท https://positioningmag.com/1217279 Fri, 01 Mar 2019 15:43:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1217279 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการ ปี 2561 มีรายได้จากการบริการ 1.018 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 4.9 จากปีก่อนหน้า หรือร้อยละ 7.7 หากไม่รวมรายได้จากสัมปทานโทรศัพท์พื้นฐานที่สิ้นสุดลงในปลายปี 2561

อันเป็นผลจากการเติบโตของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต ควบคู่ไปกับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) ส่งผลให้ EBITDA เติบโตสูงร้อยละ 40.3 จากปีก่อนหน้า เป็น 5.6 หมื่นล้านบาทในปี 2561

หากไม่รวมธุรกรรมการขายสินทรัพย์ให้แก่ DIF และการสิ้นสุดสัมปทานโทรศัพท์พื้นฐาน EBITDA เติบโตประมาณร้อยละ 10% จากปีก่อนหน้า เป็น 3.6 หมื่นล้านบาท

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผล อีกทั้งอนุมัติการเพิ่มวงเงินหุ้นกู้สำหรับบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและช่วยปรับสมดุลการออกหุ้นกู้ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย

ปี 2561 ถือเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ที่รายได้จากการให้บริการของทรูมูฟ เอช มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม เป็นผลจากเครือข่าย และความสำเร็จในการทำการตลาดเจาะในแต่ละพื้นที่มากยิ่งขึ้น และความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งด้านดีไวซ์ ช่องทางการขาย สิทธิประโยชน์และการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์

ปีนี้ทรูมูฟ เอชมีจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่ 2 ล้านราย ส่งผลให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 29.2 ล้านราย และผลักดันให้รายได้จากการให้บริการเติบโตร้อยละ 7.3 จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ผู้ให้บริการรายใหญ่รายอื่นมีรายได้จากการให้บริการรวมกันลดลงร้อยละ 0.1 จากปีก่อนหน้า

ทรูมูฟ เอช ยังคงมุ่งเน้นนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการรุกการขายไปยังพื้นที่ซึ่งทรูมูฟ เอช ยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่สูงนัก 

ในส่วนของ ทรูออนไลน์ เติบโตในอัตราเลขสองหลักจากปีก่อนหน้าทั้งด้านรายได้และฐานลูกค้าในปี 2561 จำนวนลูกค้าบรอดแบนด์ของทรูออนไลน์ เพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 332 พันราย มีฐานลูกค้าเป็น 3.5 ล้านราย ส่งผลให้รายได้บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตโดยรวมเติบโตร้อยละ 11.2 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สำหรับ ทรูวิชั่นส์ รายได้เติบโตร้อยละ 8.7 จากปีก่อนหน้า เป็น 1.33 หมื่นล้านบาท มาจากรายได้ของธุรกิจบันเทิง รวมถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ช่วยเพิ่มรายได้ และขยายฐานผู้ใช้แอปพลิเคชั่นทรูไอดีเติบโตขึ้น สิ้นปี 2561 ทรูวิชั่นส์มีฐานลูกค้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 4.1 ล้านราย

ทรูยังคงมุ่เน้นการนำเสนอคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลายของกลุ่มทรู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง OTT และดิจิทัลแพลตฟอร์มทรูไอดีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกที่ทุกเวลามากยิ่งขึ้น.

]]>
1217279