สำหรับภาพรวม 10 เดือนของ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เล่าให้ฟังว่า ยังโตกว่าตลาด โดยมียอด บัญชีใหม่ 496,000 บัญชี +6% ขณะที่ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร ที่ 317,000 ล้านบาท +8% ซึ่งถือว่าเติบโตได้ เท่าตัว เมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดที่เติบโต +4% ในส่วนของ สินเชื่อใหม่ อยู่ที่ 78,000 ล้านบาท +4% ด้าน ยอดสินเชื่อคงค้าง อยู่ที่ 139,000 ล้านบาท -1%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในปี 2567 กรุงศรี คอนซูมเมอร์จะมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 600,000 บัญชี (+7%), ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท (+8%), ยอดสินเชื่อใหม่ 96,000 ล้านบาท (+5%) และยอดสินเชื่อคงค้าง 150,000 ล้านบาท (+1%)
“การปรับการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% ถือว่าค่อนข้างเยอะ แต่เรายังมั่นใจว่าสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี ส่งผลให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) บัตรเครดิต อยู่ 1.3% ส่วนสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.5% ซึ่งน้อยกว่าภาพรวมตลาดเกือบครึ่ง ถือว่าเรายังเอาอยู่”
ปีนี้ที่ว่าลำบาก แต่ปีหน้า อธิศ เชื่อว่า จะลำบากขึ้น และถือว่าเป็น ปีที่มีความท้าทายอันดับต้น ๆ นับตั้งแต่ทำงานมากว่า 20 ปี เพราะด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นสัญญาณบวก นอกจากนี้ ตามมาตรการช่วยเหลือลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยให้เครดิตเงินคืนสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 8 เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้เร็วขึ้น ทำให้ครึ่งปีแรก (2568) ต้อง คืนดอกเบี้ย 0.5% ให้ลูกค้า และครึ่งปีหลัง คืนอีก 0.25% ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อ กำไรบริษัท
ดังนั้น ปีหน้าบริษัทวางเป้าอย่างน้อย คงที่รายได้และกำไร เพราะต้องยอมรับว่า ความสามารถในการทำรายได้และกำไรไม่เท่าเดิม
“รัฐบาลต้องการลดหนี้ครัวเรือน ซึ่งก็มีผลลบกับธุรกิจเรา เพราะธุรกิจเราคือ Lending อย่างหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ก็ทำให้เราต้องคิดเยอะก่อนอนุมัติ ดังนั้น ปีนี้ที่ท้าทาย ปีหน้ายิ่งท้าทาย เพราะหนี้สูญคงไม่ดีกว่าปีนี้ แต่มีเรื่องการคืนดอกเบี้ย ที่จะยิ่งกดดันธุรกิจสินเชื่อ”
สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจบัตรเครดิตในปีหน้า อธิศ มองว่าถึงเวลา เติบโตด้วย Core product ซึ่งก็คือ บัตรเครดิตกรุงศรี โดยจะ ปรับภาพ ปรับสิทธิประโยชน์ ให้ตรงใจลูกค้าในปัจจุบัน เพื่อดันเป็น บัตรหลักของผู้ใช้ จากที่ผ่านมาการเติบโตส่วนใหญ่เกิดจากผลิตภัณฑ์ใหม่
“ที่ผ่านมาเราเติบโตจากผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ปีหน้าเราจะไม่ใช้กลยุทธ์นี้ จะกลับมาดูผลิตภัณฑ์หลัก ซึ่งเราต้องทำให้ลูกค้ารัก และใช้บัตรเราเรื่อย ๆ และเมื่อเรามีผลิตภัณฑ์ที่ดี ภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าไว้วางใจ ลูกค้าใหม่ก็จะเข้ามาเอง ดังนั้น การปรับโฉมใหม่จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ปีหน้า”
หนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่กรุงศรี คอนซูมเมอร์จะให้ความสำคัญก็คือ ร้านอาหาร โดยต้องการรีเคลมการเป็น King of dining โดยจะมีสิทธิพิเศษด้านร้านอาหาร อีกส่วนหนึ่งก็คือ การผ่อนชำระ ที่จะเพิ่มหมวดหมู่ใหม่ ๆ ตามเทรนด์ อาทิ Solar roof, สัตว์เลี้ยง เป็นต้น เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับบัตรกรุงศรี
อีกกลยุทธ์ที่เป็นจุดแข็งของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ก็คือ Japan Ecosystem และ พันธมิตร โดยกรุงศรีฯ ยังคงเป็น Top of mind ที่ลูกค้าคิดถึงเมื่อ ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากภายใต้แคมเปญ เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี รวมถึงบริการ ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน โดยกรุงศรีตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 30% เป็น 3,250 ล้านบาท ภายในปี 2025
ในฝั่งพันธมิตร บัตรเครดิต Co-Brand ทางกรุงศรี คอนซูเมอร์จะมีการต่อยอดทางธุรกิจกับพันธมิตรเรื่อย ๆ โดยล่าสุด ได้ขยายความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลในการให้บริการ Central The1 ต่อไปอีก 8 ปี รวมเป็นกว่า 30 ปี ซึ่งจะยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในกลุ่มบัตร Co-Brand
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงศรี คอนซูมเมอร์เติบโตในฝั่งบัตรเครดิต แต่ฝั่งของ สินเชื่อ จะเติบโตได้น้อยกว่า ซึ่งส่งผลให้ ผลกำไรและศักยภาพในการสร้างรายได้ไม่สูง ดังนั้น กรุงศรี คอนซูมเมอร์ต้องการ เติบโตในฝั่งสินเชื่อบุคคลมากกว่าที่เป็น อย่างไรก็ตาม การจะเติบโตในฝั่งสินเชื่ออาจไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ เพราะปีหน้ายังไม่ใช่จังหวะที่ดีในการรุกสินเชื่อบุคคล
“เราอยากจะเติบโตฝั่งสินเชื่อบุคคล แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะต้องดูสภาพแวดล้อมของตลาด”
อธิศ ทิ้งท้ายว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในวันนี้ไม่ใช่ธุรกิจที่คาดหวังผลกำไรได้ ถ้า คาดหวังกำไรสูง ผู้เล่นที่จะอยู่ได้ ต้องมีสเกล ควบคุมความเสี่ยงเก่ง และหลังบ้านต้อง ลีน ดังนั้น จะเห็นว่า ธุรกิจบัตรเครดิตไม่มีผู้เล่นใหม่เข้ามา เหลือแต่ผู้เล่นหน้าเดิม ๆ
ดังนั้น กรุงศรี คอนซูมเมอร์ก็ต้องหันกลับมาดูองค์กรว่าส่วนไหนขององค์กรที่ต้องลีน และต้องบาลานซ์ระหว่างลูกค้ากลุ่ม Hight, Middle และ Low เพื่อบาลานซ์รายได้ที่เข้ามา เพราะการได้ลูกค้ากลุ่ม Hight ไม่ได้แปลว่ารายได้จะดี เพราะกลุ่มนี้ใช้เยอะจริง แต่จ่ายตรง
“ถ้ามันเป็นธุรกิจที่มีโอาสสร้างผลกำไรได้ขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครเข้ามา จะเห็นว่าไม่มีใครอยากออกบัตรเครดิต ดังนั้น ที่อยู่ได้คือเติบโตจากยุคที่พยุงธุรกิจได้ และจะอยู่ได้ต้องมีสเกล และคอนโทรลความเสี่ยงที่เก่งมาก และอีกสิ่งที่จำเป็นคือ เป็นผู้เล่นที่ลีน ดังนั้น ถ้าจะหวังรายได้เยอะ ๆ จากการทำธุรกิจมันยาก”
]]>ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย (UOB) ได้ชี้แจงเรื่องราว รวมถึงการแก้ไขปัญหา หลังจากไม่กี่วันที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ทางธนาคารเร่งให้ทางธนาคารแก้ไขปัญหาการถ่ายโอนบัญชีลูกค้าจากซิตี้แบงก์ (Citi) มายังธนาคาร และกำชับให้ธนาคารเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจาก UOB ได้ซื้อธุรกิจรายย่อยของซิตี้แบงก์ในประเทศไทย ประกอบไปด้วยกลุ่มลูกค้าสินเชื่
Positioning รวบรวมประเด็นสำคัญจากผู้บริหารของ UOB หลังจากมีการย้ายลูกค้าจากเดิมที่อยู่ Citi มายังระบบของ UOB ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมา
การย้ายระบบเป็นไปได้ด้วยดี
ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้กล่าวว่า ธนาคารได้ดำเนินการโอนย้ายบัญชีลูกค้าจากซิตี้แบงก์ ประเทศไทย จำนวนกว่า 1.2 ล้านราย มายังระบบของธนาคารยูโอบี โดยเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมาและในขั้นตอนการโอนย้ายมีความปลอดภัยที่ดี
เขายังชี้ว่าการย้ายลูกค้าจากแพลตฟอร์มหนึ่งมาอีกแพลตฟอร์มหนึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ และมีความขลุกขลั่กหลายเรื่อง
ในขณะที่ วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Retail & Brand ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า การโอนย้ายสำเร็จทั้งลูกค้ารายย่อยรวมถึงลูกค้า Wealth ซึ่งทางธนาคารรับทราบว่าทุกการเปลี่ยนแปลง ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวกสบาย ทางธนาคารขออภัยในความไม่สะดวก
ปัญหาเรื่อง Call Center
กรรมการผู้จัดการ Retail & Brand ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า UOB ได้เพิ่มจำนวน Call Center มากถึง 1,000 คน (จากเดิม 500 คน) และเรื่องดังกล่าวมีการเตรียมพร้อมหลายเดือนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพนักงาน เป็นต้น
แต่เนื่องจากปริมาณการโทรเข้ามาของลูกค้าในเดือนเมษายน และพฤษภาคม นั้นเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า แม้จะเพิ่มพนักงานแล้วเท่าตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เธอได้ให้รายละเอียดเป็นเพราะว่าระยะเวลาการพูดคุยเฉลี่ยของลูกค้านั้นเพิ่มมากขึ้นเฉลี่ยต่อลูกค้า 1 รายอยู่ที่ 700 วินาที ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ที่ 350 วินาที เนื่องจากลูกค้าต้องการให้ช่วยสมัคร บริการ UOB TMRW ซึ่งลูกค้ามากกว่า 90% ของ Citi ได้สมัครบริการ UOB TMRW แล้ว
นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น เธอได้กล่าวว่าได้แบ่งกลุ่มของ Call Center ให้แยกรับปัญหาในเรื่องต่างๆ เช่น การสมัคร UOB TMRW การรับปัญหาเรื่อง Statement ซึ่งลูกค้าบางคนไม่ได้เก็บไว้ รวมถึงปัญหาเรื่องระบบการ กระจายยอดชำระอัตโนมัติ (Payment Apportionment)
เปิดบริการในหลายช่องทาง
วีระอนงค์ ยังได้กล่าวว่า ปัญหาของ Call Center ในช่วงแรกนั้นได้แก้ปัญหาโดยการฝึกพนักงาน Call Center เพิ่มเติม และยังมีการนำพนักงานที่เกี่ยวข้องในส่วนต่างๆ มาช่วยในเรื่องนี้ด้วย ขณะเดียวกันทาง UOB ได้เปิดช่องทางในการสื่อสารเพิ่มมากขึ้น ทั้งมีการส่งอีเมล หรือเปิดรับปัญหาจาก Social Network ต่างๆ สามารถส่งข้อความเข้ามาได้ และยังรวมถึงการให้บริการของสาขาได้มีการขยายเวลาทำการในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ดีพอสมควร
ในเดือนเมษายน กรรมการผู้จัดการ Retail & Brand ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้กล่าวว่าธนาคารได้รับคำแนะนำจากธนาคารแห่งประเทศไทย และมีการรายงานกลับไปเป็นระยะๆ และทุกสัปดาห์มีการประชุมร่วมกันด้วย และปัญหาที่เกิดขึ้นเธอซาบซึ้งธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องของการแก้ไขปัญหาลูกค้า
สำหรับการแก้ปัญหาระยะสั้น วีระอนงค์ ได้กล่าวว่า หากลูกค้าโทรเข้ามาที่ UOB จะต้องรับสายได้ สามารถมีการส่ง Statement ได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่ลดลงแล้วแต่เธอยังจับตามองอยู่ และพยายามทำให้ลูกค้าสบายใจมากขึ้น
ในส่วนการแก้ปัญหาระยะกลางคือปรับปรุงกระบวนการ โดยเฉพาะเรื่องของระบบการจ่ายเงิน เพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป เลยต้องรีบแก้ไข ทำให้ดีมากกว่านี้ และยังรวมถึงก็สิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า ตอบโจทย์ลูกค้า มีแคมเปญต่างๆ ไม่หยุดทำแคมเปญ
เธอยังมองว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้เน้นสื่อสารเรื่องการโอนย้ายลูกค้าเลยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสิทธิประโยชน์หายไป แต่หลังจากนี้ธนาคารจะสื่อสารเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาเรื่องของระบบการกระจายยอดชำระอัตโนมัติ
ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้กล่าวถึงปัญหาของระบบ Payment Apportionment ซึ่งทำให้ลูกค้าหลายรายเกิดความไม่พอใจ นั้นเขามองว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากพฤติกรรมลูกค้าของ Citi และ UOB ที่แตกต่างกัน
เขาได้กล่าวถึงพฤติกรรมลูกค้า UOB คือจะจ่ายครั้งเดียวจบ แต่สำหรับลูกค้า Citi กลับเลือกจ่ายทีละบัตรเครดิต ซึ่งบางบัตรนั้นลูกค้าจ่ายเต็ม บางบัตรเครดิตลูกค้าจ่ายขั้นต่ำ ในการแก้ปัญหาตอนนี้คือทางธนาคารกำลังพัฒนาระบบให้เลือกจ่ายได้ตามปกติ
ซึ่งปัญหาดังกล่าว กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย มองว่าส่งผลทำให้การพูดคุยกับ Call Center ยาวนานมากขึ้น
ตอนนี้เวฟดอกเบี้ยให้หมด จะไม่เกิด Late Charge และถ้าขึ้นในเครดิตบูโร จะช่วยอัปเดต ลูกค้าที่กระทบนั้นหลักพันราย ตอนนี้แทบไม่เหลือแล้ว และตอนนี้ทยอยปรับประวัติลูกค้าแล้ว และดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี จากปัญหาการกระจายยอด
ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น เขาได้กล่าวว่าจะแก้ปัญหาให้ โดยธนาคารจะดำเนินการยกเลิก Payment Apportionment ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันสรุปยอดบัญชีวันที่ 24 มิถุนายน เป็นต้นไป สำหรับการใช้งานบัตรเครดิต
กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ยังกล่าวว่า สำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรเครดิตใบใหม่ของ UOB อาจมีความล่าช้าไปบ้าง ซึ่งตอนนี้ทางธนาคารกำลังปรับปรุงระบบให้ดีมากขึ้น นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตในเดือนเดือนพฤษภาคมมีลดลงบ้าง แต่เดือนมิถุนายนนั้นยอดการใช้จ่ายได้กลับมาปกติแล้ว
]]>อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ได้กล่าวถึงยอดการใช้จ่ายบัตรรวมถึงยอดสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมียอดบัตรเครดิตใหม่ 339,000 บัตร ยอดใช้จ่ายบัตร 365,000 ล้านบาท (เติบโต 10%) สินเชื่อใหม่ 92,000 ล้านบาท (เติบโต 6%) และสินเชื่อคงค้าง 148,400 ล้านบาท (เติบโต 3%)
สำหรับหมวดใช้จ่ายที่เติบโตสูงในปี 2023 ที่ผ่านมาได้แก่ ตัวแทนท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรมและรถเช่า ตามลำดับ ซึ่งอธิศได้ชี้ถึงการเดินทางได้กลับมาอีกครั้ง ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น
แต่ถ้าหากเทียบยอดค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ ประกันภัย ปั๊มน้ำมัน การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และตกแต่งบ้าน โดยเขาชี้ถึงคนไทยได้ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในอดีตไม่เคยมีหมวดหมู่นี้ติดอันดับต้นๆ ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าไลฟ์สไตล์คนไทยเปลี่ยนไป
กลยุทธ์ในปี 2024 นั้น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ยังได้กล่าวว่าบริษัทจะเน้นการขยายพันธมิตรให้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็จะเจาะกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น โดยเขาชี้ว่าเพื่อที่จะรีเฟรชพอร์ตโฟลิโอของบริษัทด้วย ไม่ให้มีลูกค้าในช่วงอายุใดอายุหนึ่งมีสัดส่วนมากเกินไป
เขายังกล่าวว่าในปีนี้จะมีการเน้นในส่วนของ Flagship Product มากขึ้น ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีการปรับปรุงบัตรและเปิดตัวบัตรใหม่ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังรวมถึงกลยุทธ์ในการทำงานแบบประสานพลังในเครือกรุงศรีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินฝาก ประกัน หรือแม้แต่เรื่องของการบริหารความมั่งคั่งให้กับลูกค้าบัตรเครดิต
บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง 151,000 ล้านบาท
ลูกค้ากรุงศรีฯ เที่ยวญี่ปุ่นเยอะ เตรียมจับมือพันธมิตรเพิ่ม
สมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ได้กล่าวถึงข้อมูลยอดใช้จ่ายผ่านบัตรของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในปี 2023 นั้น สัดส่วนยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของลูกค้าของบริษัท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลสำรวจที่ Visa ได้ทำไว้ว่าญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของคนไทยอยากไปเที่ยว
กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะบริษัทในเครือกรุงศรี หนึ่งในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) บริษัทจึงเตรียมต่อยอดแคมเปญ “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา
บริษัทยังเปิดเผยข้อมูลลูกค้าของบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีในปี 2023 ได้ใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่นมากถึง 2,200 ล้านบาท โดยลูกค้ากลุ่ม Gen X และ Gen Y นั้นมีสัดส่วนมากถึง 80% ซึ่งมียอดเฉลี่ยต่อคน 32,000 บาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2022
แต่ถ้าหากเรียงตามยอดใช้จ่ายในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรมหรือที่พัก สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอางสินค้าเบ็ดเตล็ด และ สนามบินและสินค้าปลอดภาษี ตามลำดับ
ชู 4 แนวทางหลักขับเคลื่อนแคมเปญ
เพื่อต่อยอดกับแคมเปญดังกล่าว สมหวังยังกล่าวว่าบริษัทนั้นจะตั้งเป้าสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าในญี่ปุ่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่นและไทยเพิ่มมากขึ้น 600 แบรนด์ หรือแม้แต่การใช้เครือข่ายของ MUFG ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มพันธมิตรในญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น โดยแนวทางในการขับเคลื่อน “เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี” ได้แก่
เตรียมส่งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 3 เดือน หรือใช้บัตร Krungsri Boarding Card ก็ได้
สมหวังยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่าบริษัทเตรียมส่งโปรโมชั่นผ่อน 0% นาน 3 เดือน โดยลูกค้าสามารถเลือกผ่อนชำระรายการที่เป็นสกุลเงินเยนหรือร้านค้าในประเทศญี่ปุ่นได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น UCHOOSE ได้ ซึ่งเขาคาดว่าโปรโมชั่นดังกล่าวน่าจะออกมาได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
นอกจากนี้สมหวังยังได้ชี้ถึงอีกทางเลือกของคนที่ชอบเที่ยวคือ Krungsri Boarding Card จากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นบัตร VISA Prepaid Card ที่มีกระเป๋าเงิน e-Wallet ซึ่งสามารถใช้ 16 สกุลเงินต่างประเทศ และสกุลเงินบาทได้นั้น สมหวังได้ชูจุดเด่นที่ลูกค้าสามารถตั้งซื้อเรทค่าเงินได้ผ่านทาง Krungsri Mobile App
สมหวังได้กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น 2,950 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเติบโต 50% เทียบกับปี 2023 ที่ผ่านมา จากสิทธิประโยชน์ที่ครบ และเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เป็นผู้นำธุรกิจในเซกเมนต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้
ต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายแบงก์ชาติ
อธิป ศิลป์พจีการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจกรุงศรี เฟิร์สช้อยส์ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในส่วนของนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อที่จะแก้ปัญหาหนี้ในครัวเรือนที่มีระดับสูงอยู่ในเวลานี้ อธิปได้กล่าวว่าทางกรุงศรีฯ ได้มีนโยบายดังกล่าวมานานแล้ว แค่ต้องปรับตัวให้เข้ากับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น
หลังจากนี้ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เตรียมจะเริ่มการสื่อสารกับลูกค้าในกลุ่มผ่านทุกช่องทางตามกำหนดการของ ธปท. เพื่อแจ้งสถานะว่าลูกค้าเหล่านี้อยู่ในกลุ่มลูกหนี้เป็นหนี้เรื้อรังนั้นจะสามารถเลือกที่จะปิดหนี้ผ่านโครงการสินเชื่อพิเศษที่อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปีได้
อย่างไรก็ดีเขาชี้ว่าลูกค้าที่เป็นกลุ่มลูกหนี้เป็นหนี้เรื้อรังนั้นคาดว่ามีไม่ถึง 10% ที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เนื่องจากลูกค้าต้องการวงเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ยกเว้นว่าลูกหนี้คนดังกล่าวนั้นต้องการที่จะยกเลิกบริการสินเชื่อไปเลย
กังวลเรื่องการปรับอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ได้กล่าวถึงนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ออกนโยบายไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของการเพิ่มอัตราชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น เขากังวลว่ามาตรการดังกล่าวดูเหมือนว่าตัวเลขอาจไม่สูง แต่ถ้ามองในมุมของลูกค้าเขากังวลว่าจะกระทบต่อภาระในการชำระหนี้
อธิศ ได้กล่าวว่า อัตราส่วนคงค้างของสินเชื่อของลูกหนี้ที่มีค่างวดค้างชำระเกินกว่า 90 วันของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ อยู่ที่ระดับ 1.14% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.5%
เขากล่าวถึงตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์เริ่มเห็นสัญญาณของการผิดนัดชำระหนี้บ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่คนมีเงินก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เขายังกล่าวเสริมว่ากรณีดังกล่าวเปรียบได้กับการขอให้คนที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากพอจ่ายเงินมากขึ้น
อธิศ ยังกล่าวว่าหลังจากในส่วนของมาตรการให้ชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ 8% ออกมา 6 เดือนแล้วจะมีการประเมินผลอีกที และจะนำประเด็นดังกล่าวไปพูดคุยกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยในภายหลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันเป็นระยะๆ ในเรื่องดังกล่าว
]]>ยูโอบี (UOB) ได้จับมือ 5 พาร์ตเนอร์ เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand ไม่ว่าจะเป็น Makro, Grab, Lazada, Mercedes หรือแม้แต่การบินไทย โดยได้ยืนยันถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้ลดลง และตั้งเป้าว่าภายในปี 2567 นั้นยอดใช้จ่ายบัตรของลูกค้าจะเติบโตได้ถึง 10%
หลังการเข้าซื้อกิจการธุรกิจลูกค้ารายย่อยของ Citi สำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารมีจำนวนลูกค้ารายย่อยเกือบ 8 ล้านรายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ธนาคารมีฐานลูกค้ารายย่อยใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศไทย หรือแม้แต่ฐานลูกค้าบัตรเครดิตที่เติบโตมากขึ้นกว่าเดิมกลายเป็น 1 ใน 3 ของผู้เล่นรายใหญ่
สำหรับแบรนด์ที่ได้เปิดตัวบัตรเครดิต Co brand และสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเติม ได้แก่
สุพรทิพย์ พงศาชำนาญกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Card Business ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า UOB รู้สึกตื่นเต้นกับความร่วมมือครั้งนี้มาก เพราะจะทำให้ธนาคารมอบบริการทางการเงินที่หลากหลายเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความสนใจของลูกค้าที่แตกต่างกัน
เธอยังกล่าวเสริมว่า ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้ UOB มอบบริการด้านการเงินที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงภูมิภาคอาเซียน และนี่เป็นสิ่งทำให้ธนาคารยูโอบีมีความโดดเด่นและแตกต่าง
นอกจากนี้การเปิดตัวบัตร Co brand ทั้ง 5 นี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของธนาคาร ในการทำให้ธนาคารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้า บัตรแต่ละใบได้รับการออกแบบเพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน
ไม่เพียงเท่านี้ UOB ยังมีการออกแบบบัตรเครดิตใหม่ โดยเสนอความเป็นแต่ละแบรนด์ เช่น Grab แสดงถึงเรื่องของความไม่จำกัด (Unlimited) บัตร Royal Orchid ของการบินไทยที่มีความเรียบแต่หรู ทางด้านบัตรของ Lazada ที่เป็นแนวตั้งนั้นมองเรื่องความแตกต่าง ขณะที่ Mercedes แสดงถึงแบรนด์แบบเรียบหรู เป็นต้น
ทาง UOB ยังกล่าวถึงการมอบสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตร ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วคอนเสิร์ตของ Taylor Swift ในช่วงที่ผ่านมา หรือแม้แต่การจองตั๋วคอนเสิร์ตของ Ed Sheran ในประเทศไทยที่ได้สิทธิพิเศษกับผู้ถือบัตรของ UOB ก่อนใคร
ผู้บริหารของ UOB ยังกล่าวว่า “ตั้งแต่ลูกค้ารู้ว่า Citi จะมาอยู่กับ UOB ลูกค้ามีความกังวลถึงสิทธิประโยชน์อย่างมาก แต่ธนาคารได้ต่อยอดสิทธิประโยชน์จากเดิม เช่น แต้มสะสมไม่หมดอายุ มีแคมเปญพิเศษให้โดยตลอด โดยคนที่ถือบัตรเดิมของ Citi ได้สิทธิประโยชน์ใหม่เช่นกัน และจะมีการส่งบัตรเครดิตใบใหม่ให้ในช่วงต้นปี 2567”
]]>กลุ่มเดอะมอลล์ก็ไม่รอช้า ได้เปิดตัวบัตรโคแบรนด์กับพันธมิตรใหม่ก็คือ “ธนาคารกรุงเทพ” มาพร้อมบัตร Bangkok Bank M Visa จะเริ่มคิกออฟให้บริการในวันที่ 1 ธ.ค. 66 ตรงกับวันที่เปิดโครงการ EMSPHERE พอดิบพอดี
ถ้าถามว่าทำไมเดอะมอลล์ถึงเลือกเปลี่ยนพันธมิตร…
แอ๊ว – ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้ให้เหตุผลว่า
“การเปลี่ยนพันธมิตรโคแบรนด์ ไม่ใช่แค่เรื่องบัตรเครดิตอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องสนับสนุนโครงการต่างๆ ของเดอะมอลล์ด้วย ธนาคารกรุงเทพเป็นแบงก์แรกที่ปล่อยสินเชื่อให้ตอนสร้างเอ็มโพเรียม จนตอนนี้เติบโตปีละ 30% การจับมือครั้งนี้มองยาว 10 ปี ทำโคแบรนด์การ์ดร่วมกัน ลงทุนร่วมกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน
ตอนนี้แอ๊วไม่ได้สร้างช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ แต่กำลังสร้างย่าน.. ย่านที่มีทุกอย่างมองหา ย่านที่มี 3 ห้างอยู่ในที่เดียว ตอนนี้แค่ย่านสยามคงไม่พอแล้ว ต่อไปจะมีอีกย่าน Bangkok Mall ด้วย”
ปัจจุบันเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีสมาชิก M card ทั้งสิ้น 5.3 ล้านราย และลูกค้ากว่า 50 % ชำระผ่าน Digital Payment อาทิ บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code เป็นต้น
หลังจากที่ได้ทำบัตร SCB M เดอะมอลล์ให้ความสำคัญกับบัตรโคแบรนด์มากขึ้น เพราะลูกค้ามีลอยัลตี้สูง และมียอดการใช้จ่ายมากกว่าบัตรเครดิตอื่นๆ ถึง 4.5 เท่า ซึ่งยอดเฉลี่ยปกติราวๆ 3,000 บาท
ในขณะที่ทางธนาคารกรุงเทพมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตจำนวน 2 ล้านใบ และมีการทำบัตรโคแบรนด์กับพันธมิตรหลายราย เช่น สายการบิน, โรงพยาบาล และออโต้เซอร์วิส ครั้งนี้ถือเป็นการจับมือกับฝั่งค้าปลีกครั้งแรก มีสัญญาร่วมกัน 10 ปี
ในการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินครอบคลุมทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรพรีเพด (Prepaid Card), กิ๊ฟท์การ์ด (Gift Card) และบัตรกดเงินสด (Revolving Card) โดยที่บัตรเดบิต Bangkok Bank M Visa มีให้เลือกทั้งแบบบัตรชิปการ์ด และบัตรดิจิทัลที่ใช้ผ่านโมบายแบงกิ้ง หรือจะเลือกสมัครทั้ง 2 แบบไว้ใช้คู่กันก็ได้
บัตรเครดิต Bangkok Bank M Visa จะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ประกอบด้วย
ในช่วงแรกได้เปิดตัวบัตรเครดิต และบัตรเดบิต Bangkok Bank M Visa ซึ่งสามารถสมัครได้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะทยอยเปิดให้บริการในปี 2567
โดยที่สิทธิ์พิเศษของบัตรนี้ ไม่แตกต่างจากบัตรเดิมเท่าไหร่นัก ใครที่เป็นนักช้อปของเครือเดอะมอลล์จะคุ้นเคยอย่างดี เช่น ส่วนลดสูงสุด 10% รับคะแนน M Point สูงสุด 4 เท่า ใช้คะแนน 2 เท่าของยอดซื้อลดเพิ่มอีก 25% ผ่อน 0% ทุกชิ้นทั้งห้าง นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเดอะมอลล์, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์, เอ็มสเฟียร์, สยามพารากอน, Monline.com และ Gourmetmarketthailand.com
แต่ความพิเศษของบัตร Bangkok Bank M Visa ที่เพิ่งบรรจุเข้ามาเพิ่มเติมก็คือ “คอนเสิร์ต” มีสิทธิพิเศษที่ลูกค้าสามารถสะสมยอดซื้อเพื่อแลกดูคอนเสิร์ตได้อย่างน้อย 3 ครั้ง/ปี เป็นคอนเสิร์ตในประเทศหลากหลายรูปแบบ
วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ แม่ทัพใหญ่ทางด้านการตลาด ของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้อธิบายว่า ธนาคารกรุงเทพชอบสนับสนุนเรื่องศิลปะ และบันเทิงอยู่แล้ว ประกอบกับเห็นไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบช้อปปิ้ง ส่วนใหญ่จะชอบความสนุกสนาน ความบันเทิง ชอบดูคอนเสิร์ต สิทธิพิเศษใหม่นี้จะเป็นการให้ลูกค้าสะสมยอดซื้อเพื่อแลกการชมคอนเสิร์ตได้ จะมีคอนเสิร์ตเพื่อตอบโจทย์คนทุกเจนเนอเรชั่น
บัตร Bangkok Bank M Visa จะเริ่มเปิดให้สมัครตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป ได้ตั้งเป้ายอดบัตรเครดิต และบัตรเดบิต จำนวน 1.5 ล้านใบภายใน 5 ปีแรก
]]>Roberto Campos Neto ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิล ได้กล่าวว่า แพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชันชำระเงิน จะเข้ามาแทนที่บัตรเครดิตและเครื่องมือทางการเงินแบบเดิม ๆ ในที่สุด และมองว่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้จะทำหน้าที่ได้ไวกว่า และง่ายกว่า
ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิลได้กล่าวในงานที่จัดขึ้นโดย Americas Society/Council of the America ในเมืองไมอามีว่า บัตรเดรดิตในอนาคตจะเป็นเงินที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งจะไม่ต้องการบัตรเครดิตอีกต่อไป และเขายังมองว่าในอนาคตเราไม่ต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทบัตรเครดิตตามจำนวนที่คุณจ่ายเงินในวันนี้ เพราะจะสามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้ง่ายและไวมากกว่า
นอกจากนี้ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิลยังมองว่า ควรจะมีกระเป๋าเงินออฟไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถโอนเงินจำนวนเล็กน้อยได้ถ้าหากอยู่บนพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่กลับกลายเป็นว่าธนาคารไม่ได้ทำสิ่งนั้นไม่ได้ไวตามที่เขาคาดหวังด้วยซ้ำ
ในปี 2020 ธนาคารกลางของบราซิลเองได้เปิดตัว Pix ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับชำระเงิน และมีผู้ใช้งานในประเทศบราซิลมากกว่า 110 ล้านคนในช่วงที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 1 ของปี 2023 นี้ Pix มีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 8,000 ล้านรายการ และเคยมีสถิติทำธุรกรรมมากสุด 163 ล้านธุรกรรมภายใน 1 วัน
ความนิยมของ Pix ในบราซิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความสะดวกในการใช้งานและความได้เปรียบเหนือบัตรเครดิตสำหรับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
หลังจากนี้ธนาคารกลางบราซิลเตรียมเพิ่มความสามารถในการผ่อนจ่ายชำระ ซึ่งเหมือนกับบริการของบัตรเครดิต ซึ่ง Roberto มองว่า Pix นั้นเป็นแอปพลิเคชันสำหรับชำระเงินที่สามารถเขียนโปรแกรมเพิ่มได้ ดังนั้นโอกาสของแอปฯ ตัวนี้มีไม่สิ้นสุด
ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิลยังได้กล่าวว่า เขาอยากเห็นอุตสาหกรรมการชำระเงินดิจิทัลก้าวหน้าด้วยกระเป๋าเงินแบบออฟไลน์ กระเป๋าเงินดิจิทัล และความสามารถในการเข้าถึง Pix ด้วยขั้นตอนการใช้งานที่ลดลง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้คือการยกระดับการศึกษาทางการเงิน
]]>ถ้าพูดถึงชื่อ “ระเฑียร ศรีมงคล” ขึ้นชื่อว่าเป็น CEO คู่บุญของ KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่อยู่กับบริษัทมายาวนาน 11 ปี เตรียมปิดฉากอำลาตำแหน่งในวันที่ 31 ธ.ค. 2566 หลังจากที่ต่ออายุเกษียณอายุมาแล้วถึง 2 รอบ
ระเฑียรได้เข้ารับตำแหน่ง CEO ของ KTC เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2555 ในตอนนั้นสถานการณ์ของบริษัทเรียกได้ว่าย้ำแย่สุดๆ มีผลการดำเนินงานขาดทุนกว่าพันล้าน แต่พ่อมดระเฑียรสามารถเสกผลกำไรภายในปีแรกตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งได้ แม้จะเริ่มที่หลักร้อยล้าน แต่ก็ค่อยๆ ไต่เป็นระดับพันล้านได้ในปีต่อๆ มา
ระเฑียรจบการศึกษาหลากหลายสาขา เช่น แพทยศาสตรบัณฑิต (ศิริราช) มหาวิทยาลัยมหิดล, บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปริญญาโทรัฐประศาสนศาตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา พร้อมกับมีประสบการณ์ทำงานหลากหลาย ตั้งแต่การเป็นหมอรักษาโรคทั่วไป เข้าสู่วงการธนาคารและผ่านหน้าที่หลากหลาย เช่น Chief Dealer ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, กรรมการรองผู้จัดการ บงล. เอกธนา, เข้าร่วมงานกับธนาคารนครหลวงไทย ที่กลายธนาคารธนชาตหลังรวบกิจการ ซึ่งเป็นแบงก์ล่าสุดก่อนออกมาร่วมงานกับ KTC และเคยเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัท ทีโอที ประธานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
นับเป็น CEO ที่มีความผสมผสานอย่างหลากหลาย จากประสบการณ์และการสั่งสมความรู้ทุกมิติ ตั้งแต่การเรียนหมอ เคยใช้วิชาชีพในการรักษาผู้คน การเรียนบริหารธุรกิจ เป็นผู้บริหารสถาบันการเงิน รวมไปถึงความสนใจวิชาโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์ ที่มาจากความชอบ และอ่านหนังสือทุกประเภท รวมไปถึงหนังสือพระ
หลังจากเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มติบอร์ดบริหารได้แต่งตั้ง “พิทยา วรปัญญาสกุล” ขึ้นแท่น CEO คนใหม่อย่างเป็นทางการ และในขณะเดียวกันระเฑียรก็ได้เปิดใจครั้งแรกที่ทริปขอบคุณสื่อมวลชนที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในปีนี้เดินทางไปยังประเทศสาธารณรัฐทูร์เคีย (ตุรกี) ภายใต้ธีม “The Story Continues…The Next Journey Begins” เป็นการส่งไม้ต่อถึงกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ ภายใต้ DNA เดิม
ระเฑียรกล่าวเปิดว่า “ใครที่จะขึ้นมาเป็น CEO ต่อจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง ต้องมีกำไรต่อ มีเป้าหมายมีกำไรหมื่นล้านภายใน 4-5 ปี สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีความท้าทายรอบด้าน กระบวนการที่จะคัดเลือก CEO จึงสำคัญ หลายคนให้ความแข็งแกร่งด้าน Hard Skills แต่ที่ KTC มีสกิลในการปรับตัวสูง Hard Skills จึงไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ ผู้นำต้องมี Leadership OS (The Operating System) ก็เลยมาดูว่าใครที่มีความเป็นผู้นำ สามารถสร้าง Leadership OS ใน KTC ได้ ก็เลยเลือกพิทยาที่มีคุณสมบัติพร้อม”
ระเฑียรขยายความถึง Leadership OS มีใจความสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่
พิทยาเป็นลูกหม้อร่วมงานในสายงานการตลาดกับ KTC มายาวนานถึง 26 ปี และมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลักดันองค์กรเคทีซีให้เติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันพิทยาดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงาน การตลาดและสื่อสารองค์กร (Chief Marketing & Communications Officer) ดูแลสายงาน การตลาดบัตรเครดิต การตลาดดิจิทัล และช่องทางออนไลน์ รวมทั้งสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์องค์กร ก่อนหน้านี้เป็นกรรมการและกรรมการตรวจสอบ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจจัดการกองทุน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา KTC สร้างผลประกอบการ New High อย่างต่อเนื่อง ยกเว้นช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ทุกธุรกิจต่างหยุดชะงัก เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้า ระเฑียรได้เคยวางเป้าหมายใหญ่ไว้ว่า KTC จะต้องมีกำไรหมื่นล้านให้ได้ภายในปี 2570 หรือราวๆ ภายใน 4-5 ปี
เมื่อพิทยาเข้ามารับช่วงต่อ ก็ต้องเจอกับโจทย์ยากนี้เช่นกัน เพียงแต่พิทยาได้เปิดใจว่า “จะพยายามทำให้ได้เร็วที่สุด” โดยที่ไม่กดดันตัวเอง และทีมงานจนเกินไป
พิทยา เล่าถึงแผนธุรกิจในปี 2567 ว่า ยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อทั้ง 3 ธุรกิจ คือธุรกิจบัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อเคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน เพราะเชื่อว่ายังมีผู้บริโภคที่ต้องการสินเชื่ออยู่อีกมาก โดยจะเน้นขยายฐานสมาชิกไปยังผู้ที่มีความต้องการสินเชื่อเป็นหลัก และไม่ชักจูงให้สมาชิกมีภาระหนี้ที่เกินความจำเป็น สอดคล้องกับแนวทางการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
“การนำพาธุรกิจเคทีซีต่อจากนี้จะตั้งอยู่บน 3 องค์ประกอบคือ คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี เริ่มจาก คน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เราดูแลและให้ความสำคัญมาตลอด ในปีหน้าจะมุ่งพัฒนาและส่งเสริมความเป็นผู้นำของผู้บริหารรุ่นใหม่ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาผู้บริหารระดับกลาง โดยเน้นการสร้างความเป็นผู้นำเพื่อจะร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ สำหรับกระบวนการจะให้ความสำคัญกับการออกแบบและปรับกระบวนการทำงานให้กระชับรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยยึดสมาชิกเป็นศูนย์กลาง มีความเข้าใจความต้องการของสมาชิกและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อทำการตลาด พร้อมทั้งปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และบริการของเคทีซี
ส่วนเรื่องเทคโนโลยีนั้น เคทีซียังคงให้ความสำคัญกับการใช้งานคลาวด์ (Cloud Computing) ในโครงสร้างระบบทางด้านไอที รวมถึงการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล ซึ่งจะมีการใช้งานมากยิ่งขึ้น และจะส่งผลดีในเรื่องความปลอดภัย ความเสถียร ยืดหยุ่น คล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในด้านต้นทุนการดำเนินงานและคุณภาพการให้บริการ นอกจากนี้ เคทีซียังเล็งเห็นโอกาสในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเพิ่มศักยภาพขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงวิธีการที่ปัจจุบันเคทีซีได้ใช้ AI อยู่แล้วให้ใช้งานได้ดีขึ้น หรือการเริ่มศึกษาทดลองและใช้ Generative AI ในกระบวนการทำงานต่างๆ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อสมาชิก หรือเพื่อปรับปรุงคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ”
สำหรับแผนในปี 2567 ธุรกิจบัตรเครดิต ปัจจุบันมีจำนวนบัตร 2.6 ล้านใบ จากลูกค้า 2.2 ล้านราย ยอดแอคทีฟ 90% ตั้งเป้ามีสมาชิกบัตรใหม่เพิ่มขึ้น 230,000 ใบ และมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ เติบโต 15% จากปี 2566 โดยในปี 2567 จะเป็นปีที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยสำหรับสมาชิกในทุกขั้นตอนของการใช้บริการบัตรเครดิตเคทีซี ด้วยการพัฒนาแอปฯ “KTC Mobile” ต่อเนื่อง รวมทั้งต่อยอดผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต “เคทีซี ดิจิทัล” (KTC DIGITAL CREDIT CARD) ให้ตอบโจทย์การใช้งานออนไลน์มากขึ้น ด้วยการพัฒนาช่องทางสมัครบัตรออนไลน์ E-Application เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนออนไลน์
เน้นทำการตลาดในกลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ทำให้การใช้จ่ายโดยรวมเติบโตได้ดี อีกทั้งจะเดินหน้าสร้างคุณค่าร่วม (Co-creating value) กับพันธมิตรหลากหลายธุรกิจ ทั่วประเทศกว่า 2 พันราย เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกบัตร
สินเชื่อส่วนบุคคลยังเป็นธุรกิจที่เน้นการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ โดยในปี 2567 ตั้งเป้าเติบโต 5% จำนวนสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” เพิ่มขึ้น 100,000 ราย ด้วยแผนกลยุทธ์หลัก 2 เรื่อง คือ 1. สรรหาสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ เน้นการรับสมัครผ่านช่องทางสมัครสินเชื่อออนไลน์ E-Application เพื่อให้สมาชิกทำรายการได้ด้วยตนเอง และรู้ผลอนุมัติแบบเรียลไทม์ พร้อมรับเงินโอนเข้าบัญชีทันที รวมทั้งจะพัฒนากระบวนการรับสมัครผ่านเว็บไซต์ของเคทีซีและของพาร์ตเนอร์
2. สร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้บัตรกดเงินสดให้กับสมาชิก “เคทีซี พราว” กว่า 700,000 ราย ไม่ว่าจะเป็นการ “รูด โอน กด ผ่อน” โดยจะเพิ่มฟังก์ชันการเบิกถอนและใช้วงเงินผ่านแอปฯ “KTC Mobile” ให้รองรับการโอนเงินไปยังบัญชีพร้อมเพย์ เพิ่มเติมจากการโอนเงินเข้าบัญชีได้หลากหลายธนาคารในปัจจุบัน รวมทั้งจะยังคงจัดแคมเปญ “เคลียร์หนี้เกลี้ยง” ที่โดนใจสมาชิกมาตลอด 10 กว่าปี เพื่อส่งเสริมและตอบแทนให้ผู้ที่ใช้สินเชื่ออย่างมีวินัย ได้รับสิทธิ์ลุ้นเคลียร์หนี้กับเคทีซี
สำหรับธุรกิจสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ยังคงเน้นการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดอนุมัติสินเชื่อใหม่ปี 2567 ที่ 6,000 ล้านบาท ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1. เน้นสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ด้วยคอนเทนต์ที่เน้นความบันเทิง เข้าถึงง่ายผ่านช่องทางออนไลน์และโซเชียล มีเดีย เสริมด้วยโฆษณาออฟไลน์ และสื่อตามพื้นที่สาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ
2. ผนึกกำลังกับธนาคารกรุงไทยในการขยายฐานลูกค้า ผ่านสาขาธนาคารกว่า 900 แห่งเป็นหลัก เสริมด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ของธนาคาร อย่าง NEXT ถุงเงินและเป๋าตัง โดย “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อเดียวของธนาคารกรุงไทย ที่สามารถทำรายการอนุมัติได้แบบเรียลไทม์ พร้อมรับเงินทันที 3. ตอกย้ำและเสริมความแกร่งให้กับจุดแข็งผลิตภัณฑ์ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ในฐานะผู้บริการรายเดียวที่ให้วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท อนุมัติสินเชื่อภายใน 1 ชั่วโมง พร้อมรับเงินทันที และยังขยายฐานไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อทะเบียนรถบิ๊กไบค์ เคทีซี พี่เบิ้ม” พร้อมบัตรกดเงินสด เคทีซี พี่เบิ้ม อีกด้วย
ในส่วนของ MAAI by KTC ในปี 2567 มีแผนจะขยายจำนวนพันธมิตรธุรกิจขนาดกลางและใหญ่อีกไม่ต่ำกว่า 20 ราย ซึ่งจะเป็นการเพิ่มจำนวนสมาชิก MAAI ประมาณ 2 ล้านราย โดยพันธมิตรเป้าหมายของแพลตฟอร์ม MAAI จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เน้นสร้างความถี่ในการกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำ แพลตฟอร์ม MAAI ยังมีการนำเสนอโมเดลการให้บริการที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยพันธมิตรร้านค้าบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการของเคทีซี แจ้งงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กำไรสุทธิ 5,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% โดยกำไรสุทธิไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 1,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% พอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัว 10% อยู่ที่ 106,701 ล้านบาท จากปัจจัยสนับสนุนของการบริโภคภาคเอกชน
มีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมอยู่ที่ 14.9% และมีส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 12.1% ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ในขณะที่สัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) อยู่ที่ 6.2% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
มีฐานสมาชิกรวม 3,331,065 บัญชี แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,616,269 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,225 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวม 9 เดือนเท่ากับ 192,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.7% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.3% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 714,796 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” และดอกเบี้ยค้างรับ 30,246 ล้านบาท
เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เท่ากับ 2,058 ล้านบาท NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3.1% ยอดสินเชื่อลูกหนี้ใหม่ (New Booking) ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ในไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 794 ล้านบาท และรอบเก้าเดือนของปี 2566 มีมูลค่า 1,929 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อมีมูลค่า 3,369 ล้านบาท โดยมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของรถขนาดใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Commercial Loan) ในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ที่ 1,446 ล้านบาท
]]>อธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ได้กล่าวถึงส่วนแบ่งการตลาดของบัตรบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ว่าในปี 2019 มีส่วนแบ่งทางการตลาด 3.5% และเติบโตจนมีส่วนแบ่ง 4.8% ของตลาดในปี 2022
สำหรับผลประกอบการในปี 2022 ที่ผ่านมานั้นมี หนี้คงค้างทั้งสิ้น 25,500 ล้านบาท เติบโต 13% ต่อปี ขณะที่มีการเปิดบัตรใหม่ 84,000 ใบ เติบโต 61% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 97,000 ล้านบาท เติบโต 27%
ขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2023 นี้มีหนี้คงค้างทั้งสิ้น 25,000 ล้านบาท เติบโต 11% ขณะที่มีการเปิดบัตรใหม่ 52,000 ใบ เติบโต 35% ยอดใช้จ่ายต่อบัตร 52,000 ล้านบาท เติบโต 19% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเทียบกับปี 2022
ในปี 2020 ซึ่งเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อธิศชี้ว่าบริษัทได้ปรับกลยุทธ์เจาะลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยม เช่น บัตรเซ็นทรัล เดอะวัน สีดำ แต่ปัจจุบันได้กลับมาโฟกัสลูกค้าทั่วไปซึ่งเป็นบัตรเซ็นทรัล เดอะวัน สีแดง นอกจากนี้ยังพบว่าลูกค้าของบัตรมีอายุโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 50 ปี ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์ในการดึงลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นเข้ามาเพิ่ม
การสำรวจของบริษัทพบว่าวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มที่ต้องการเจาะตลาดส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับศูนย์การค้า ทำให้บริษัทซึ่งมีกลยุทธ์ในการขยายพันธมิตร ได้จับมือกับเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ในการขยายความร่วมมือดังกล่าวนั้นยังทำให้ลูกค้าบัตรเซ็นทรัล เดอะวัน ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ นอกจากบัตรเครดิต ก็ยังสามารถใช้บริการทางการเงินของของธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ เช่น สินเชื่อ ฯลฯ
ปัจจุบันทาง GCS ให้ความสำคัญในเรื่องหลัก ไม่ว่าจะเป็น Digital Payment เช่น ในกรณีที่ลูกค้าลืมบัตร สามารถใช้ QR จ่ายได้ผ่านแอป U Choose แถมยังได้คะแนนสะสมของเซ็นทรัล เดอะวันด้วย เหมือนกับการรูดบัตรปกติ ขณะที่เรื่องความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์นั้นก็ได้ขยายความร่วมมือมายัง CPN เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์มากขึ้นด้วย
สิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน (เงื่อนไขการรับสิทธิ์ขึ้นอยู่กับประเภทหน้าบัตร) เช่น
ผู้บริหารสูงสุดของ GCS ยังชี้ว่า ถ้าทำบัตรเครดิตให้แข็งแรง มีสิทธิประโยชน์ กลุ่มคนรุ่นใหม่จะเข้ามาเลือกบัตรเครดิตเอง ซึ่งล่าสุดตอนนี้ผลตอบรับบัตรเซ็นทรัล เดอะวันถือว่าค่อนข้างดี และมองว่าคนรุ่นใหม่ จะเพิ่มสัดส่วนของฐานลูกค้า และอัปเกรดตัวบัตรเครดิตขึ้นไปตามอายุและรายได้
อธิศยังหวังว่าจะทำให้ผู้ถือบัตรบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน ใช้จ่ายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลมากขึ้น 30% ภายในสิ้นปีนี้ คิดเป็นเม็ดเงิน 6,000 ล้านบาท และหวังว่าการเพิ่มสิทธิประโยชน์จะยิ่งทำให้ลูกค้ามาใช้บัตรเครดิตนี้เป็นบัตรแรก
]]>KTC เตรียมปรับใหญ่ปี 2566 สู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง “A Transition to the New Foundation” พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและเท่าทันความคาดหวังของลูกค้า ตอกย้ำความเป็น Trusted Organization ตั้งเป้าปี 2566 ทำกำไรนิวไฮต่อเนื่องดันพอร์ตสินเชื่อรวมเติบโต 15% เกินแสนล้านบาท ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% พอร์ตสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” โต 7% ยอดอนุมัติสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพิ่ม 9,100 ล้านบาท สินเชื่อกรุงไทยธุรกิจลีสซิ่งเพิ่ม 3,000 ล้านบาท และ NPL อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าปี 2022 พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจอย่างรับผิดชอบเพื่อความยั่งยืนด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาให้ดีขึ้นทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ในปี 2566 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเคทีซีทั้งโครงสร้างองค์กร กลยุทธ์ กระบวนการ เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อขับเคลื่อนเคทีซีไปสู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง ภายใต้แนวคิด “A Transition to the New Foundation” โดยเฉพาะการพัฒนา Mindset ของคนในองค์กรให้มีดีเอ็นเอเดียวกัน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่เราพยายามดูแลและพัฒนามาตลอดตั้งแต่เข้ามาร่วมงานกับเคทีซี โดยนอกจาก 3 ค่านิยมองค์กรหลัก (Core Value) ที่คนเคทีซียึดถือเป็นแนวทางในการทำงานอันได้แก่ 1.กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2.ทำให้ง่าย ไม่ซับซ้อน และ 3.ทำสิ่งที่มีความหมาย และเป็นประโยชน์ จากนี้เราจะมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งความไว้วางใจ (Trusted Organization) ภายในองค์กรให้แกร่งยิ่งขึ้น เพื่อส่งต่อความไว้วางใจนี้ไปสู่สมาชิก องค์กร ผู้ถือหุ้นและสังคม”
ในปี 2566 เคทีซีจะเริ่มปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมองค์กรให้เป็นโครงสร้างแบบแนวราบ (FlatOrganization) และมีหน่วยงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะบูรณาการไอที (Information Technology) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กรสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมทั้ง 3 มิติ คือ
สำหรับการดำเนินธุรกิจของเคทีซีจากนี้จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจหลัก (Existing) ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่มีพอร์ตสินเชื่อในระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป กลุ่มธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะสร้างรายได้แบบก้าวกระโดด (New SCurve) ได้แก่ สินเชื่อรถแลกเงิน เคทีซี พี่เบิ้ม และสินเชื่อกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง และกลุ่มโมเดลธุรกิจที่อยู่ในระหว่างการบ่มเพาะ (Incubator) เช่น MAAI – Loyalty Platform เป็นต้น
ธุรกิจบัตรเครดิตยังเป็นธุรกิจหลักที่เคทีซีให้ความสำคัญมาตลอด โดยสถานการณ์ตอนนี้เกือบทุกหมวดใช้จ่ายมีการเติบโตสูงกว่าปี 2019 ซึ่งเป็นปีก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดรุนแรงของโควิด-19 สำหรับแผนกลยุทธ์การตลาดบัตรเครดิตในปี 2566 จะเน้นแนวคิด Less is MORE หรือการทำสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยปรับกระบวนการทำงานในทีมการตลาดให้กระชับคล่องตัวมากขึ้นบน 5 แกนสำคัญ คือ
1) การบริหารพอร์ตลูกค้าให้มีคุณภาพมากที่สุด ด้วยการสร้างสรรค์โปรแกรมการตลาดเพื่อให้ลูกค้าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง และการนำระบบออโตเมชั่น (Automation) เข้ามาใช้ในกระบวนการของการบริหารความสัมพันธ์กับสมาชิกบัตร
2) การเน้นขยายฐานลูกค้ากลุ่มรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000-200,000 บาทขึ้นไป ด้วยสิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์ที่ตรงใจ
3) จัดโปรแกรมกระตุ้นการใช้จ่ายที่ตอบโจทย์ฐานสมาชิกบัตรเคทีซี เน้น 3 หมวดใช้จ่ายหลัก คือ หมวดร้านอาหารและร้านอาหารในโรงแรม (Dining& Hotel Dining) หมวดช้อปปิ้งออนไลน์ และหมวดท่องเที่ยว นอกจากนี้เคทีซียังคงเดินหน้าความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจอื่นๆ ที่มีเป้าหมายทางธุรกิจเดียวกัน ในการทำกิจกรรมการตลาดที่ตอบโจทย์ทุกหมวดใช้จ่ายสำคัญของสมาชิก และเพื่อสร้างการจดจำและผูกพันกับแบรนด์
4) ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในการจัดแคมเปญการตลาด และกิจกรรมการขยายฐานสมาชิกบัตรในต่างจังหวัด
5) บริหารจัดการการสื่อสารการตลาด (Marketing Communications) ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยเน้นการทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง (Content Marketing) ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์เคทีซีให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
โดยในปี 2566 ตั้งเป้ามีสมาชิกสมัครบัตรใหม่ 180,000 ใบ และคาดว่าจะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% จากปี 2565 หรือประมาณ 264,000 ล้านบาท
ในส่วนของธุรกิจสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้สินเชื่อได้ครบทุกฟังก์ชัน จนวันนี้บัตรใบเดียวก็สามารถทำได้ทั้งการเบิกใช้วงเงิน รูด โอน กด ผ่อน และแผนกลยุทธ์ในปี 2566 จะพัฒนาไปในทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
เริ่มที่การเปิดช่องทางให้ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านโมบายแอปฯ ในรูปแบบของใบสมัครออนไลน์ (Electronic Application) และช่องทางการเบิกถอนเงินสดออนไลน์ผ่านทางแอปฯ KTC Mobile ให้สะดวกขึ้นโดยเพิ่มบัญชีพร้อมเพย์ในการโอนเงิน นอกเหนือจากที่โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารได้ 15 แห่ง และเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการใช้สินเชื่อด้วยต้นทุนรับสมัครที่ต่ำแต่ได้ผลดี
รวมทั้งเดินหน้าสร้างความผูกพันระหว่างเคทีซีกับกลุ่มสมาชิก ด้วยการต่อยอดกิจกรรมสัมมนาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ และการส่งเสริมวินัยในการชำระ ผ่านโครงการเคลียร์หนี้เกลี้ยงซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เพราะเป็นความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า จากการศึกษาลูกค้าผ่านการทำ Empathy เราจึงจัดต่อเนื่องและจะครบ 14 ครั้ง ในปี 2566 และคาดว่าเมื่อสิ้นปี 2566 พอร์ตลูกหนี้สินเชื่อบุคคลจะเติบโต 7% และมีสมาชิกใหม่เคทีซี พราว 110,000 ราย
สำหรับแผนกลยุทธ์ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม” ในปี 2566 จะเน้นขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทั้งการให้วงเงินใหญ่สูงสุด 1 ล้านบาท อนุมัติใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที และเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่มีข้อจำกัดด้านเอกสารและรายได้ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น โดยธนาคารกรุงไทยกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ จะเป็นช่องทางหลักในการรับสมัคร ซึ่งได้ปรับรูปแบบบริการให้เจ้าหน้าที่ธนาคารฯ สามารถทำรายการผ่านแท็บเล็ตในการรับสมัครสินเชื่อให้กับลูกค้า และอนุมัติแบบครบวงจรภายใน 1 ชั่วโมง พร้อมรับเงินทันที
รวมทั้งจะเน้นการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ไปยังแพลตฟอร์มหลักต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเคทีซี พี่เบิ้ม ตามที่เราวางบทบาทเป็นสินเชื่อทางเลือกคนไม่ท้อ เราจึงเปิดรับทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะคนทำมาหากินที่สู้ชีวิต และผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อก้อนใหญ่จากสถาบันการเงินอื่น โดยคาดว่าสิ้นปี 2566 จะมียอดอนุมัติสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพิ่ม 9,100 ล้านบาท
เคทีซีจะมุ่งบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจโดยจะมีการระดมเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อรองรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2566 จำนวน 4,640 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเคทีซี ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นปี 2566 เคทีซีจะมีสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะสั้นต่อเงินกู้ยืมระยะยาว (Original Term) 20:80 และต้นทุนการเงินอาจเพิ่มขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 2.5%-3.0%
]]>ณญาณี เผือกขำ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อันประกอบไปด้วย บัตรเครดิตกรุงศรี, บัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, บัตรเครดิตเซ็นทรัลเดอะวันและบัตรเครดิตโลตัสเล่าถึงภาพรวมธุรกิจในปีที่ผ่านมาว่า “เปรียบเสมือนการทำธุรกิจบนรถไฟเหาะ ที่สถานการณ์ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เเบรนด์ต้องเปลี่ยนเเปลงในทุกๆ ด้าน ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตคนยุคใหม่”
ผลประกอบการในปี 2564 ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ถือว่า ‘เติบโตเป็นที่น่าพอใจ’ ท่ามกลางความเสี่ยงของวิกฤตโควิดที่ยืดเยื้อกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก โดยมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 2.85 แสนล้านบาท ยอดสินเชื่อใหม่ 7.65 หมื่นล้านบาท เเละยอดสินเชื่อคงค้าง 1.39 แสนล้านบาท
บริษัทได้มีบริหารเเละลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ควบคู่กับการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ ด้วยการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุมและช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
เหล่านี้ ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในไตรมาสที่ 4/2564 อยู่ที่ระดับ 1.1% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.8% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อผ่อนชำระ “นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจ”
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว หลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลายเเละมีการกระจายวัคซีนเป็นวงกว้าง ข้อจำกัดการเดินทางลดลง ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรมีการเติบโตอยู่ที่ 12.3% เเละสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตมากว่า 8.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นเเนวโน้มเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้น
“เเม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอลงบ้างจากการระบาดของโอมิครอนที่มีต่อเนื่อง รวมทั้งสภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการพยุงกำลังซื้อประชาชน และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น”
ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อในปีนี้ คาดว่าการแข่งขันจะสูงขึ้น เเละจะเห็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินกับธุรกิจต่างๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ มากขึ้น และผู้ประกอบการมีแนวโน้มจะนำเอาระบบดิจิทัลและข้อมูล มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตในรูปแบบดิจิทัล หรือการขอสินเชื่อแบบดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดรับเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เเม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นบ้างเเล้ว แต่กรุงศรี คอนซูมเมอร์ จะยังคงเกณฑ์การอนุมัติไว้ในระดับเดิม เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เข้าไปสู่ระดับก่อนโควิด และยังมีเหตุการณ์ใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องอย่างความขัดแย้งรัสเซียและยูเครน เป็นต้น จึงยังคงต้องระมัดระวังอยู่
หมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด 10 อันดับ เรียงตามยอดใช้จ่าย ได้เเก่
ส่วนหมวดใช้จ่ายที่มีอัตราเติบโตมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ยอดการช้อปปิ้งผ่านออนไลน์แพลตฟอร์มยังคงเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเพิ่มสูงขึ้นถึง 55% เทียบกับปี 2563
“ยอดใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้ายังคงทรงตัว แต่ที่น่าสนใจคือ ยอดใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของหมวดห้างสรรพสินค้าเติบโตถึง 62% แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการปรับตัวของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ที่ให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์มากขึ้น มีการปรับรูปแบบเป็นการขายของแบบออมนิแชนเนล คือ ทั้งออนไลน์และหน้าร้าน”
ทั้งนี้ การใช้จ่ายในหมวดการท่องเที่ยวในประเทศเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะการจ่ายเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อท่องเที่ยวตามเมืองใหญ่ในช่วงเทศกาลต่างๆ
กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตร ในปี 2565 อยู่ที่ 3.12 แสนล้านบาท จะเติบโตกว่า 10% เเละมียอดสินเชื่อใหม่ 8.46 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% และมียอดสินเชื่อคงค้าง 1.49 แสนล้านบาท เติบโต 7% พร้อมปั้นยอดสมัครบัตรใหม่ที่ 5 แสนบัญชี จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ราว 3 แสนบัญชี
เพื่อให้ไปธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมาย กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้วางกลยุทธ์ไว้อยู่ 3 เเนวทาง ได้เเก่
โดยจะมีการขยายแพลตฟอร์ม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น บริการผ่อนก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL-Buy Now Pay Later) ผ่านแอปฯ สินเชื่อบุคคลดิจิทัล การเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ๆ อย่าง บัตร XU digital Card หลังเปิดตัว ‘บัตร NOW’ บัตรเครดิตดิจิทัล เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้ เเละได้รับเสียงตอบรับอย่างดี ซึ่งจะทยอยเปิดตัวภายในปีนี้
รวมถึงบริการใหม่ ๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล โดยกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้ใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย และคาดว่าจะเริ่มให้บริการในครึ่งปีหลังของปี 2565
พร้อมขยายจุดรับบริการยืนยันตัวตนในการสมัครบัตรในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เเละพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ใน UCHOOSE เช่น บริการสมัครบัตรใหม่ผ่านแอปฯ บริการ UCASH บริการเบิกเงินสดจากวงเงินบัตรผ่านแอปฯ โดยโอนเข้าบัญชีธนาคาร ที่ปัจจุบันมียอดการใช้วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท มียอดธุรกรรมกว่า 1.8 ล้านครั้งเเล้ว
นอกจากนี้ จะมุ่งเปิดบริการ ผ่อนก่อนจ่ายทีหลัง หรือ BNPL – Buy Now Pay Later ผ่านแอปฯ ซึ่งสามารถขอทำรายการผ่อนชำระสินค้าด้วยตนเอง รวมถึง การนำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาใช้ในการทำการตลาดเฉพาะบุคคล
นำเสนอผลิตภัณฑ์และโปรโมชันที่ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ผสานความร่วมมือกับบริษัทในเครือกรุงศรี และพันธมิตรชั้นนำทางธุรกิจต่าง รวมทั้งการขยายธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยสู่ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะการทำงานแบบ Krungsri One Retail ซึ่งจะผสานความร่วมมือระหว่างหลายกลุ่มธุรกิจในเครือกรุงศรี
“จะมีปรับโมเดลธุรกิจเพื่อแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ เช่น นำเสนอบริการ Call Center as a Service, Collection as a Service เพื่อให้บริการกับพันธมิตร รวมทั้งขยายธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยสู่ภูมิภาคอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยประสานความร่วมมือกับบริษัทในเครือกรุงศรี ในภูมิภาค”
ฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ก้าวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่โลกการเงินแห่งอนาคต
“วันนี้ธุรกิจเราต้องปรับตัวอยู่ตลอด การมีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาในตลาด ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เกิดการพัฒนา ไม่หยุดนิ่ง ต้องยกระดับการให้บริการมากขึ้น พร้อมเปิดรับพันธมิตรใหม่ๆ มาทำงานร่วมกันเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด”
]]>