ในปี 2022 ตลาดอีคอมเมิร์ซ 5.6 แสนล้านบาท สามารถเติบโตประมาณ 20% ส่วนปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% แม้จะเติบโตน้อยลง แต่สัดส่วนของสินค้าในกลุ่ม Home & Living ยังถือว่าน้อย โดยถ้านับเฉพาะเฟอร์นิเจอร์มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ช่วงโควิดที่ผ่านมา ผู้บริโภคก็สนใจตกแต่งบ้านมากขึ้น ทำให้ ชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือแพลตฟอร์ม NocNoc จึงเชื่อว่าแพลตฟอร์มมีโอกาสเติบโตได้โดยวางเป้ายอดขายรวมทั้งปีที่ 5,000 ล้านบาท
โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มียอดขายรวมทั้งหมด 5,000 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 200% และโดยเฉลี่ยมีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นกว่า 3 ล้านรายต่อเดือน ทั้งลูกค้า B2C และ B2B ปัจจุบันมีผู้ขาย (Seller) ในระบบกว่า 3,000 ราย รวมสินค้ามากกว่า 500,000 SKU จากทั้งหมด 22 หมวดหมู่ และนอกจากสินค้า แพลตฟอร์มยังมีส่วนของ บริการ (Service) ตั้งแต่บริการล้างแอร์ไปจนถึงรีโนเวตบ้าน
ชลลักษณ์ อธิบายถึง ข้อจำกัด ของตลาดเฟอร์นิเจอร์ว่า แม้ว่าราคาสินค้าต่อชิ้นจะสูง ทำให้เฉลี่ยยอดสั่งซื้อของผู้ใช้จะอยู่ที่กว่า 15,000-20,000 บาท แต่ อัตราซื้อซ้ำน้อย ปัจจุบันอยู่ที่ 30% ดังนั้น กลยุทธ์ของแพลตฟอร์มในปีนี้คือการขยายไปยังกลุ่ม Living ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแม่และเด็ก, สัตว์เลี้ยง ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำง่าย
“คงไม่มีใครเปลี่ยนเก้าอี้ทุกเดือน ดังนั้น การขยายสโคปของสินค้าสำคัญมาก ซึ่งช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเรามั่นใจว่ารากฐานเราแข็งแรงโดยเฉพาะสินค้าในบ้าน แต่ยังเหลือกลุ่ม Living ที่ไม่ได้เน้นมากนัก ดังนั้น ยังเหลือโอกาสอีกมาก”
ที่ผ่านมา สินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 คือกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน (50%) อันดับ 2 คือกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า (40%) กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่ม Home Improvement (10%) และสุดท้ายคือการให้บริการเรื่องบ้าน (Service) โดยแบ่งเป็นประเภทสินค้า 5 อันดับแรกคือ โซฟา, เครื่องนอน, ชั้นจัดเก็บ โต๊ะ, เก้าอี้ และกระเบื้อง
ส่วนกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน 60% เป็นกลุ่มอายุ 25-34 ปี, 30% เป็นกลุ่มอายุมากกว่า 40 ปี และ 10% เป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งนี่จะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต
อีกตลาดที่เป็นโอกาสก็คือ กลุ่ม B2B เช่น ร้านอาหาร, โรงแรม, คาเฟ่ร้านกาแฟ และออฟฟิศ ซึ่งมีการเติบโตอย่างมากในช่วง Q3-Q4 ปี 2022 เนื่องจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทำให้ร้านค้าและโรงแรมลงทุนมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกลุ่ม B2B เป็น 25%
“ข้อดีของมาร์เก็ตเพลสคือความหลากหลาย แน่นอนเขาอาจไปดีลกับแบรนด์เองโดยตรงได้ แต่สินค้าก็อาจจะมีจำกัด เขาอาจต้องหาหลายเจ้า แต่เรารวมไว้หมดแล้ว ดังนั้น เขาสามารถผสมแบรนด์ได้”
นอกจากนี้ จะขยายตลาดไปสู่ หัวเมืองใหญ่ อาทิ พัทยา, เชียงใหม่ ทั้งการทำตลาดและหาพาร์ตเนอร์ร้านค้า เนื่องจากที่ผ่านมา ลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก โดยคาดว่าภาพรวมทั้งปีจะมีร้านค้าในระบบเพิ่มเป็น 4,000 ราย
อีกหนึ่งข้อจำกัดของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ก็คือ ต้องมี Physical touch หรือ ได้ลองจับ สัมผัส สินค้าจริง ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกโจทย์ของแพลตฟอร์ม โดย NocNoc จะมีการออกอีเวนต์ออฟไลน์อย่าง NocNoc แฟร์ ที่จะเปิดพื้นที่ออฟไลน์ให้เซลเลอร์ได้มาโชว์สินค้าปีละ 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการจับบมือกับงาน บ้านและสวนแฟร์
อีกส่วนคือการ ให้ความรู้เซลเลอร์ ในการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอสินค้า เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพ รวมถึงให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ซื้อให้กลับมา รีวิวสินค้า เพื่อเป็นการ ป้ายยา และช่วยให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ได้เห็นภาพสินค้าที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงให้ลูกค้าคืนสินค้าได้ใน 30 วันหากไม่พอใจ โดยรวมแล้ว แพลตฟอร์มจะใช้งบการตลาดประมาณ 10% ของยอดขาย
“กว่าผู้บริโภคเขาจะซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นเขาต้องลองนั่ง ลองจับ แต่ที่เขามาซื้อบนมาร์เก็ตเพลสก็เพราะ ราคา และความหลากหลาย ยิ่งถ้าเจอสินค้าที่เขาเคยลองสัมผัสบนมาร์เก็ตเพลส จะทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ดังนั้น นี่เป็นอีกโจทย์ของเรา เพราะเรื่องประสบการณ์เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก”
สำหรับการลงทุนนอกจาการตลาด แพลตฟอร์มจะเน้นไปที่ ระบบ โดยมีแผนจะจ้างเดเลลอปเปอร์เพิ่มในปีนี้ โดยที่ผ่านมา แพลตฟอร์มจะให้ความสำคัญกับระบบ Big Data เพื่อใช้ AI ในการคาดการณ์ทั้งความต้องการ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการซื้อแบบ Hyper-Personalized Marketing
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มยังมี InspiREALtion Feed ช่วยให้แรงบันดาลใจในการแต่งบ้านเป็นจริงได้ และได้เปิดตัว Community ในแอปพลิเคชัน NocNoc ที่ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมแชร์ แลกเปลี่ยนไอเดีย และประสบการณ์เรื่องบ้านที่อยากป้ายยา หรือรีวิวให้กับกลุ่มคนรักบ้านได้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
ชลลักษณ์ ทิ้งท้ายว่า อีกปัจจัยที่ทำให้ NocNoc เติบโตได้ก็คือ บริการ เพราะสามารถจัดส่งสินค้าได้แบบ End-to-End โดยมีช่างพร้อมบริการติดตั้ง และจัดส่งถึงที่ ซึ่งเป็นอีกเพนพอยต์ของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งบริการที่ดีก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
]]>ท่ามกลางตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แข่งขันสูง มีอสังหาฯ ของคนรุ่นใหม่รายหนึ่งที่น่าจับตามอง ด้วยแนวคิดการพัฒนาโครงการที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ทำให้ “Initial Estate” โดดเด่นในตลาด บริษัทนี้เลือกชูจุดขายเป็น “ตัวจริงที่ใส่ใจ” เพราะพบว่าการใช้ชีวิตในบ้านมีรายละเอียดที่แตกต่าง และทุกคนต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองจากการอยู่อาศัย ความเข้าใจนี้ถูกถ่ายทอดผ่าน 6 โครงการที่เปิดขายในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา โดยมีโครงการล่าสุดคือ “พีเว่ (PYVE) ราชพฤกษ์-สิรินธร”
Initial Estate (อินนิเชียล เอสเตท) ก่อตั้งบริษัทและเปิดโครงการแรกเมื่อปี 2561 เป็นโครงการทาวน์โฮมชื่อ เดอะ ธาม (The Thamm) อ่อนนุช-มอเตอร์เวย์ จำนวนรวม 115 ยูนิต แม้จะเป็นโครงการแรกของบริษัท แต่ประสบความสำเร็จสร้างยอดขายได้ถึง 80% ตั้งแต่วันแรกที่เปิดพรีเซล
หลังจากนั้นบริษัททยอยเปิดขายโครงการต่อเนื่องจนปัจจุบันมีโครงการสะสม 6 โครงการ โดยมี 3 โครงการที่ ‘Sold Out’ ปิดการขายไปแล้ว และ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างขาย ได้แก่ เดอะ ธาม ไอคอนิค (The Thamm Iconic) อ่อนนุช-มอเตอร์เวย์, เดอะ ธาม (The Thamm) ราชพฤกษ์-สิรินธร ตกแต่งแบบ Shoreditch Design และโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้อย่าง พีเว่ (PYVE) ราชพฤกษ์-สิรินธร
The Thamm Iconic อ่อนนุช-มอเตอร์เวย์ และ The Thamm ราชพฤกษ์-สิรินธร ยังเป็นสองโครงการที่ได้รางวัลประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบจากเวที FIABCI Thai PRIX D’EXCELLENCE AWARDS’21 อีกด้วย
แม้จะเป็น ‘คนรุ่นใหม่’ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ทำไม Initial Estate สามารถสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง และได้รับการการันตีรางวัลจากคนในวงการ ต้องไปเจาะลึกที่ปรัชญาแนวคิดการพัฒนาโครงการที่เน้นความเข้าใจวิถีชีวิต “คนรุ่นใหม่” ซึ่งทำให้เกิดโปรดักส์ที่ ‘ใช่’ ขึ้นมา
ที่มาของแนวคิดพัฒนาโครงการของ Initial Estate คือการเล็งเห็นว่าวิถีชีวิต “คนรุ่นใหม่” ยุคนี้มีรายละเอียดที่แตกต่างหลากหลาย และคนรุ่นใหม่ใส่ใจกับการสะท้อนตัวตนของตัวเองออกมาในพื้นที่ “บ้าน” เพราะที่อยู่อาศัยไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะด้านฟังก์ชัน แต่ยังเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ด้วย
ความแตกต่างในวิถีชีวิตที่บริษัทพบในการวิจัย ตัวอย่างเช่น หากแบ่งการอยู่อาศัยจาก “ลักษณะครอบครัว” ปัจจุบันแบ่งได้ถึง 4 แบบ คือ
1. กลุ่ม Starter Family – แต่งงานใหม่ แยกบ้านมาเริ่มต้นสร้างครอบครัว วางแผนที่จะมีลูกหรือเพิ่งมีลูกคนแรก
2. กลุ่ม DINK – Double Income No Kids กลุ่มคู่รักที่แต่งงาน/อาศัยอยู่ด้วยกันสองคน ทำงานนอกบ้านทั้งคู่ และไม่มีแผนที่จะมีลูก
3. กลุ่ม 3-Gen Family – กลุ่มอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ปู่ย่า/ตายายอาศัยอยู่ด้วยกันกับลูกๆ และหลานๆ ในบ้าน
4. กลุ่ม Young Successor – กลุ่มที่แยกบ้านออกมาเพื่ออยู่คนเดียว รายได้สูง และมีไลฟ์สไตล์ของตนเอง
เมื่อบริษัทเข้าใจ ‘อินไซต์’ ลักษณะครอบครัวแบบคนรุ่นใหม่ ก็จะทำให้เจาะลึกต่อไปได้ว่าแต่ละคนมี ‘pain’ ที่ต้องการจะแก้อย่างไรบ้าง คนที่มีวิถีชีวิตแต่ละแบบจะมีความต้องการหลักในการอยู่อาศัยที่ต่างกัน เช่น มองฟังก์ชันบ้านเป็นหลัก มองความสงบสบายเป็นส่วนตัว มองเรื่องการสะท้อนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ฯลฯ
ความเข้าใจอินไซต์โดยละเอียด ทำให้ Initial Estate ‘ลงลึก’ ในการพัฒนาโครงการได้ สะท้อนวิธีการทำงานของบริษัทที่ต้องเข้าใจลูกค้าจริงๆ
“ตัวจริงที่ใส่ใจ” (Designed for Real You) จึงเป็นปรัชญาที่สรุปวิธีพัฒนาโครงการของ Initial Estate ได้ดีที่สุด โดยบริษัทอธิบายถึงความใส่ใจดังกล่าวว่ามีทั้งหมด 5 แกน คือ
1. ตัวจริงที่ใส่ใจด้านการอยู่อาศัย (Real Care for Details) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเลโครงการที่สะดวก หรือการดีไซน์บ้านให้มีพื้นที่เอนกประสงค์ ทำให้แต่ละครอบครัวปรับเปลี่ยนไปใช้งานตามไลฟ์สไตล์ตนเองได้ หรือตกแต่ง ต่อเติมได้ภายหลัง ซึ่งทำให้แบบบ้านของบริษัทได้รับรางวัลการันตี เพราะความเข้าใจลูกค้าในส่วนนี้
2. ตัวจริงที่ใส่ใจด้านการบริการ (Real Care for Service) บริษัทจะรับฟังลูกค้าถึงความต้องการและข้อจำกัดต่างๆ ก่อนจะเสนอผลิตภัณฑ์ และติดตามความพึงพอใจหลังการขายเพื่อนำ feedback มาพัฒนา พร้อมบริการด้วยรอยยิ้มและคำทักทายจากใจ
3. ตัวจริงที่ใส่ใจด้านการใช้ชีวิต (Real Care for Living) พื้นฐานโครงการเหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุโดยพื้นที่จะมีความลาดเอียงต่ำ และลบเหลี่ยมเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย รวมถึงให้ความสำคัญด้านเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยรอบๆ และในโครงการ
4. ตัวจริงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Real Care for Earth) โครงการจะลดมลภาวะและการปล่อยสารพิษตั้งแต่ขั้นตอนก่อสร้าง พร้อมจัดพื้นที่สีเขียวในโครงการให้เพียงพอกับจำนวนลูกบ้าน และมีถังขยะแยกประเภททุกโครงการเพื่อส่งเสริมให้มีการรีไซเคิลขยะ
5. ตัวจริงที่ใส่ใจบุคลากรและผู้เกี่ยวข้อง (Real Care for People) เน้นการมีส่วนร่วมของพนักงาน ให้ไอเดียเจ๋งๆ จากพนักงานได้นำมาพัฒนาจริง พร้อมพัฒนาทักษะและให้แพ็กเกจสวัสดิการที่เทียบเคียงตลาดได้
ความใส่ใจที่รอบด้านทำให้ Initial Estate เป็นชื่อที่กำลังมาในตลาดอสังหาฯ สามารถแตกแบรนด์เพื่อจับเซกเมนต์ในตลาดได้ตั้งแต่กลุ่มทาวน์โฮม 2-4 ล้านบาท ไปจนถึงบ้านเดี่ยวราคา 8-15 ล้านบาท เพราะเข้าใจผู้อยู่อาศัยทุกระดับและทุกความต้องการ
โครงการล่าสุดของ Initial Estate ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาคือ “พีเว่ (PYVE) ราชพฤกษ์-สิรินธร” แบรนด์บ้านเดี่ยวที่เน้นคอนเซ็ปต์ “เอกสิทธิ์ความเป็นส่วนตัว” เรียบหรู และมีระดับ
ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนบางกรวย-จงถนอม ระยะ 5 นาทีจากทางขึ้นลงทางด่วนสิรินธร เข้าถึงสาทรใน 15 นาที สะดวกต่อการเดินทาง
พื้นที่โครงการ 22 ไร่ และมีจำนวนยูนิตเพียง 92 ยูนิต ทำให้แต่ละโซนจะมีบ้านเพียง 4 หลัง และสามารถออกแบบให้ระเบียงห้องนอนแต่ละหลังไม่หันชนกัน ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด ตามนิยามโครงการ “บ้าน…ก้าวที่มั่นคงเพื่อเริ่มชีวิตที่ส่วนตัว”
ความเป็นส่วนตัวยังอยู่ในรายละเอียดของพื้นที่ส่วนกลางด้วย เช่น สระว่ายน้ำระบบเกลือที่มีแนวต้นไม้บังรอบๆ ช่วยบังสายตาให้ผู้มาใช้บริการ ในโครงการยังมีลู่วิ่ง Jogging Track และ Pavilion นั่งพักผ่อนที่ทำให้ลูกบ้านมีพื้นที่ที่สามารถใช้ชีวิตได้จริง
ด้านการออกแบบตัวบ้านเป็นสไตล์มิลาโน โมเดิร์น คอนเทมโพรารี แบ่งแบบบ้านเป็น 3 แบบ คือ
Milano Modern Contemporary Style จะให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่หรูหราอย่างมีสไตล์ เน้นความคลาสสิกที่ร่วมสมัย สะท้อนรสนิยมผู้อยู่อาศัย และสามารถตกแต่งเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ได้ง่ายหลายรูปแบบ
PYVE ราชพฤกษ์-สิรินธร เปิดพรีเซลแล้วในราคาเริ่ม 8.9 ล้าน* โปรโมชันลงทะเบียนวันนี้รับส่วนลดสูงสุด 1 แสนบาท
สนใจติดต่อเยี่ยมชมโครงการได้ที่ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ : https://bit.ly/3UbqHC0
Official Website : initialestate.com
Tel : 02-026-6935
LINE : @InitialEstate FB : www.facebook.com/initialestate
E-mail : [email protected]
YT : https://www.youtube.com/channel/UCHalZChIkRXPK2yHx_nPyfA
]]>เชื่อว่าความฝันของใครหลายคนในยุคนี้ ย่อมอยากมีบ้านในฝันเป็นของตัวเอง แต่ว่าบ้านในยุคนี้ ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเหมือนไลฟ์สไตล์ของคนอยู่อาศัยไปโดยปริยาย บ้านจึงเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิต จะดีแค่ไหนถ้าได้บ้านที่ตรงใจ ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต
“อนันดา” เป็นอีกหนึ่งค่ายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชื่อนี้การันตีได้ถึงคุณภาพทั้งโครงการแนวราบ และแนวสูง สะท้อนความพรีเมียม ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงทำเลสุดปังอีกด้วย
ที่ผ่านมาอนันดาประสบความสำเร็จในการทำโครงการบ้านตั้งแต่ระดับลักชัวรี่ เน้นดีไซน์ที่แตกต่าง บนทำเลใจกลางเมือง จากแบรนด์ อาร์เทล พัฒนาการ-ทองหล่อ และอาร์เทล เอกมัย-รามอินทรา ซึ่งในปี 2565 นี้ อนันดาได้วางกลยุทธ์ที่จะเน้นการทำตลาดธุรกิจแนวราบเพิ่มขึ้น ทั้งโครงการบ้าน และทาวน์โฮม โดยจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตไม่เหมือนใคร เพื่อบ้านสำหรับคนเมือง บนทำเลคุณภาพ
ล่าสุดอนันดาได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ “บ้านอนันดา Live. Life. Unique” เป็นการบุกตลาดโครงการแนวราบ ตอกย้ำ Positioning ความเป็นบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนยุคใหม่ไลฟ์สไตล์ยูนีค พิเศษด้วยทำเลที่ดีที่สุดไม่เหมือนใครในทุกย่าน แถมยังมีการออกแบบโดดเด่นไม่ซํ้าใครในทุกมิติ พร้อมบริการหลังการขาย
ความหมายของ “Live. Life. Unique ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ” อนันดามองว่า บ้านอนันดาไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง บ้านอนันดาจึงออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทุกแพชชั่น และการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร ด้วยฟังก์ชั่นบ้านยุคใหม่ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
จากอินไซต์ของผู้บริโภคที่มองหาบ้านสักหลัง แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่อง ทำเล, ดีไซน์ และคุณภาพ ซึ่งจะเข้าตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว อนันดามีความเข้าใจคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์สุดยูนีค จึงมีแนวคิดในการทำโครงการบ้าน และทาวน์โฮมของอนันดา มี 3 หัวใจ ดังนี้
1.ทำเล (Location)
บ้านอนันดาเลือกทำเลดีที่สุดในย่าน ให้คนยุคใหม่ได้ใช้ชีวิตที่คุ้นเคย และมีพื้นที่ส่วนตัวมีความสะดวกสบายในการเดินทาง ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้โรงเรียน ใกล้ตลาด ห้างสรรพสินค้า
2.การออกแบบที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Design)
บ้านสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัย บ้านอนันดาให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวบ้าน และพื้นที่ภายในโครงการ ให้ผู้อยู่อาศัยมีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของบ้าน รวมถึงฟังก์ชั่นบ้าน (Function) ที่รองรับไลฟ์สไตล์ที่ยูนีคและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนในบ้านได้อย่างครบถ้วน ทำให้ทุกพื้นที่ของบ้านถูกใช้งานได้อย่างคุ้มค่า เห็นได้จาก Façade บ้านและพื้นที่ส่วนกลาง ของบ้าน Artale, Airi ที่มีการเปิดตัวแบบบ้าน New series โดยปรับฟังก์ชั่นให้เข้าใจถึงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น, Atoll ที่มี Double Living room และ Unio Town ทาวน์โฮมที่ออกแบบให้มีหน้ากว้าง 5.7 ม.ทำให้จัดวางฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัว
3.คุณภาพ (Quality of life)
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเข้ามาอยู่บ้านอนันดา (ส่วนกลางครบ คุณภาพการก่อสร้าง บริการหลังการขาย) มั่นใจในคุณภาพและบริการหลังการขายของบ้านอนันดาได้ทุกมิติภายใต้ Ananda sure (ดูรายละเอียดอนันดาชัวร์ได้ที่ https://www.ananda.co.th/anandasure/)
สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านอยู่ล่ะก็ อนันดาได้จัดเต็มกับโปรโมชั่นใหม่ ให้อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี พร้อมรับเงินคืนสูงสุด 3 แสนบาท* รับแพ็กพร้อมอยู่ 1 ล้าน* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
สำหรับบ้าน และทาวน์โฮม โครงการคุณภาพแบรนด์ Artale, Airi, Atoll, Urbanio และ Unio town เริ่มต้น 2.39 – 25 ล้านบาท
ระยะเวลาโปรโมชั่น ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://anan.ly/3soHHJ4
ใครกำลังหาบ้านตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยูนีค พร้อมดีลที่ใช่ ต้องรีบไปจองเลย!
]]>ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2563 มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยมีสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2562 ที่ราคาและอุปทานลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยท้าทายหลายด้านทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยดัชนีราคาในไตรมาสแรกของปี 2563 ลดลง 1% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลงถึง 9% ในรอบ 1 ปี ส่วนดัชนีอุปทานแม้จะยังทรงตัว แต่ก็ลดลง 3% ในรอบ 1 ปี
แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียม และทาวน์เฮาส์ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโปรโมชันต่าง ๆ ที่ออกมาเพื่อเร่งระบายสินค้าคงค้าง จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สินค้าในราคาที่เหมือนกับช่วงเปิดตัวโครงการ นอกจากจะเหมาะแกการซื้ออาศัยเองแล้ว ยังเหมาะกับการลงทุน เนื่องจากราคาอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอีกเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ โดยเฉพาะสินค้าระดับกลาง-บน
ทั้งนี้ หากดูตัวเลขการใช้งานเว็บไซต์ DDproperty.com พบว่ามีการเข้าชมและทำการค้นหาต่อบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้นถึง 8% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเคอร์ฟิว แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง
จากรายงาน PropertyGuru Singapore Property Market Index ฉบับล่าสุด พบว่า ดัชนีราคาลดลง 1.1% ในไตรมาสแรกของปี 2563 สอดคล้องกับข้อมูลจาก Urban Redevelopment Authority ที่ระบุว่าราคาอสังหาฯ ที่ไม่ใช่ที่ดินและคอนโดมิเนียมจะปรับตัวลดลง 1% และผู้ประกอบการอสังหาฯ จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะลดราคาอสังหาฯ ลงอีกในไตรมาสที่ 2 หากสถานการณ์ชัตดาวน์ประเทศสิงคโปร์ยังยืดเยื้อ
อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจในประเทศส่วนใหญ่ไม่หวั่นวิตกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดมากนัก เนื่องจากเชื่อมั่นในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งความแข็งแกร่งของภาคอสังหาฯ ที่มีการออกมาตรการคุมภาระหนี้ต่อรายได้ (TDSR) และ มาตรการกำกับควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)
ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรกของปี 2563 โดยวัดได้จากดัชนีราคาที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับรายงาน PropertyGuru Malaysia Property Market Index ฉบับล่าสุด ที่พบว่า ดัชนีราคาในไตรมาสแรกของปี 2563 ปรับตัวขึ้นราว 0.63% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมองอสังหาฯ ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหากต้องการสร้างความมั่นคง สวนทางกับจำนวนอุปทานใหม่ที่ลดลงถึง –10.47% ซึ่งลดลงมากสุดในรอบ 3 ปี
จากรายงาน Rumah.com Indonesia Property Market Index ฉบับล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ปี 2563 จะเป็นปีแห่งการฟื้นฟูภาคอสังหาฯ เนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐฯ ที่ออกนโยบายผ่อนปรนมาตรการ LTV สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่สอง ซึ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ นักลงทุน และภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
อย่างไรก็ดี จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ทางด้านภาคอสังหาฯ ในไตรมาสแรกของปี 2563 พบว่า มีจำนวนอุปทานใหม่ลดลง สวนทางการเติบโตของความต้องการซื้อ ทำให้ผู้ที่ขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ของอินโดนีเซียในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นกลุ่มผู้บริโภค
แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีเติบโตและหดตัว แต่จุดร่วมที่เห็นคือ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจและการให้บริการของภาคอสังหาฯ ที่หันมาสร้าง ‘New Normal’ ให้เกิดขึ้น ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ โดยใช้โอกาสนี้เข้าถึงลูกค้าและการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านการนำเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์มาประยุกต์ใช้
“ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายรายต้องพับแผนในการเปิดตัวโครงการใหม่ การก่อสร้างหยุดชะงัก งานแสดงบ้านระดับบิ๊กอีเวนต์ที่ไม่สามารถจัดขึ้นได้ แต่ผู้ประกอบการในอาเซียนต่างเห็นตรงกันว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้รอดพ้นวิกฤติคือการวางแผนการเงินสำรองฉุกเฉิน การทำแผนตลาดให้มีความยืดหยุ่น และยกระดับด้วยเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะมีอีกหลากหลายคำตอบที่ใช้เอาชนะความท้าทายต่าง ๆ ได้ เพียงแค่ต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม” กมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าว
]]>พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า New Normal เรื่องแรกที่จะเกิดกับธุรกิจอสังหาฯระยะยาว คือ ผู้บริโภคจะ ‘รับได้’ กับการซื้อบ้านหรือคอนโด โดยไม่ต้องเห็นห้องตัวอย่างจริง ขณะที่วิดีโอรีวิวจะมีความสำคัญมากขึ้น ผู้บริโภคจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการเปรียบเทียบแต่ละโครงการ แทนการสำรวจทีละ 5-10 โครงการด้วยตัวเอง
“ในจีนมีแพลตฟอร์มเอเจนซี่ขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ชื่อ เหย่าลู่ โดยบนแพลตฟอร์มมีทีมขายเพียง 25 คน แต่สร้างยอดขายได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยกว่า 40% ของผู้ซื้อ ตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องไปเยี่ยมชมโครงการ ในไทยเองก็อาจจะได้เห็น อาจจะมีไลฟ์ขายของพร้อมโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เกิดเร็วขึ้น ซึ่งออริจิ้นเองก็มีการขายออนไลน์บนแพลตฟอร์มอย่างช้อปปี้”
New Normal เรื่องที่สอง เมื่อสังคมรับได้กับการ Work from Home มากขึ้น จะส่งผลให้คนซื้อบ้านที่ไม่อยู่ในเมือง เพื่อให้ได้ห้องพักขนาดใหญ่ขึ้น ภายใต้งบประมาณเดิม บ้านจัดสรรอาจยังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องขนาดมากนัก แต่เชื่อว่าคอนโดมิเนียมขนาด 1 ห้องนอนในสถานีส่วนต่อขยาย อาจต้องมีขนาดประมาณ 35 ตร.ม.ขึ้นไป ขณะเดียวกัน ภายในห้องพักจะต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมี ‘WFH Function’ ทั้งพื้นที่สำหรับกิน นอน ทำงาน และออกกำลังกาย
New Normal เรื่องที่สาม สังคมจะกลายเป็น ‘Individual Society’ ทุกคนยังคงต้องการใช้พื้นที่ส่วนกลาง แต่จะหวงแหนความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการต้องสร้างพื้นที่ส่วนกลางที่สอดคล้องกับความต้องการ เช่น การออกแบบ Co-separate space ให้คนไว้นั่งแยกกันในพื้นที่ส่วนกลางเดียวกัน หรือนำเทคโนโลยีแบบไร้สัมผัส หรือ Touchless เช่น ระบบการจดจำใบหน้า (Face Recognition) หรือระบบการสั่งการด้วยเสียง (Voice Command) สำหรับใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง
นอกจากโควิด-19 จะเปลี่ยนพฤติกรรมคนแล้ว ‘ดีมานด์’ เองก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 15-30% ขึ้นอยู่กับว่า จะจบช้าหรือเร็วแค่ไหน แต่ถ้ายังทำการตลาดแบบเดิม ๆ อาทิ ใช้แค่สื่อกลุ่ม Out of Home ผู้ประกอบการก็มีโอกาสจะโดน ‘ดิสรัปต์’ ไปพร้อมตลาดที่ดีมานด์หดตัว ดังนั้นต้องปรับวิธีการทำตลาดใหม่ทั้งหมด อย่างออริจิ้นเองปรับให้พนักงานทุกคนเป็น Micro-Influencer เพื่อขายของ ภายใต้โปรเจกต์ ‘Everyone can sell’ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ออริจิ้นมียอดขายภายใต้โปรเจกต์ดังกล่าวถึงกว่า 500 ล้านบาท
“จากเดิมเรามีฝ่ายขายและการตลาดประมาณ 250 คน แต่เราเปลี่ยนพนักงานทั้งเครือกว่า 1,200 คน เข้ามาร่วมในโปรเจกต์ดังกล่าว โดยทุกคนสร้างรายได้เฉลี่ยถึง 4.1 แสนบาทต่อคนในช่วงไตรมาสแรก แม้ดีมานด์ภาพรวมอาจจะหดตัว แต่เรายังขับเคลื่อนไปต่อได้ เพราะทีมงานทุกคนรู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเองดี”
อย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจโรงแรมจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังสถานการณ์จบแน่นอน เนื่องจากผู้คนยังคงต้องการท่องเที่ยว ดีมานด์ที่ถูกอั้นไว้ในช่วงนี้จะระเบิดออกมาหลังสถานการณ์คลี่คลาย
“ในระหว่างวิกฤติ เราต้องเปลี่ยนแปลง ปรับตัว ปรับสภาพแวดล้อมให้เข้ากับการดำเนินธุรกิจทันที เราโชคดีที่วัฒนธรรมองค์กรเราแข็งแกร่ง พนักงานของเรามี Disruptor Mindset ทำให้มีไอเดียใหม่ ๆ เสมอ และพอจะเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว เราจะใช้ความเป็น Disruptor ของทีมงานทุกคน ขับเคลื่อนองค์กร สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ตอบโจทย์ New Normal ของผู้บริโภคต่อไป”
]]>DDproperty จัดงานสัมมนาประจำปีวิเคราะห์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทย ชวน TDRI ร่วมสำรวจการเติบโตย้อนหลัง 10 ปีของภาคอสังหาฯ และมองแนวโน้ม 10 ปีข้างหน้า วิเคราะห์อนาคตธุรกิจที่เคยเป็นดาวรุ่งจะกลับมารุ่งได้อีกหรือไม่ หลังจากปี 2562 ออกอาการสะดุด บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโชว์ผลกำไรสุทธิติดลบกันยกแผง
DDproperty สำรวจพบว่า ผู้บริโภค 79% มองว่าราคาอสังหาฯ ทุกวันนี้แพงเกินไป ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะการเติบโตของภาคอสังหาฯ และราคาบ้าน-คอนโด-ที่ดินต่างเติบโตล้ำหน้าจีดีพีประเทศและค่าจ้างแรงงานในช่วงที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก “นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่าในรอบปี 2553-2561 ภาคอสังหาฯ มีการเติบโตเฉลี่ย 3.8% ต่อปี เมื่อเทียบกับจีดีพีประเทศซึ่งเติบโตเฉลี่ย 3.7% ต่อปี จะเห็นได้ว่าเติบโตสูงกว่าเล็กน้อย
เป็นผลมาจากในช่วงเวลาดังกล่าว ประชากรวัยทำงาน (อายุ 20-60 ปี) เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 0.14% ต่อปี และยังเป็นช่วงที่มีรถไฟฟ้าสายใหม่เปิดเพิ่ม ได้แก่ ARL พญาไท-สุวรรณภูมิ, สายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่, ส่วนต่อขยายสายสีเขียวฝั่งใต้
เทียบจีดีพีแล้วอสังหาฯ เติบโตได้ดีกว่า ยิ่งถ้าเทียบราคาอสังหาฯ กับค่าจ้างแรงงานยิ่งเติบโตแบบอู้ฟู่!!
โดย “กมลภัทร แสวงกิจ” ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย DDproperty รายงานการวัดผลช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2557-2561) พบว่า ดัชนีค่าจ้างแรงงานโตเฉลี่ยเพียง 2.2% ต่อปี แต่ราคาบ้านเดี่ยวโตเฉลี่ย 3.1% ราคาทาวน์เฮาส์โตเฉลี่ย 4.9% ที่แพงที่สุดคืออาคารชุดราคาโตเฉลี่ย 6.5% มากกว่าดัชนีค่าจ้างถึง 2 เท่าตัว นอกจากนี้ ราคาที่ดินในช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังโตเฉลี่ย 8% ต่อปี เป็นการเติบโตที่สูงมาก
ย้อนหลังช่วง 5-10 ปีดังกล่าวคือยุคทองของทั้งดีเวลอปเปอร์และผู้ซื้อกลุ่มนักลงทุนที่สามารถหมุนขายใบจองทำกำไรกันเป็นว่าเล่น แต่ปี 2562 กลับเห็นการสะดุดผ่อนคันเร่งของธุรกิจนี้
อาการสะดุดเห็นได้ชัดจากเรื่อง ราคาบ้าน-คอนโดปรับเพิ่มขึ้นได้น้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา และภาวะ ‘สต็อกบวม’ เพราะซัพพลายในตลาดที่สูงขึ้น DDproperty พบว่า ณ ไตรมาส 3/62 ราคาอสังหาฯ ปรับขึ้นเฉลี่ย 4% YoY เทียบกับในรอบ 3 ปีราคาอสังหาฯ โตสะสม 26%
โดยไส้ในการเติบโตของอสังหาฯ รอบปีนี้ มีเฉพาะกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอนด์ราคา 8.5 ล้านบาทขึ้นไปที่ยังปรับราคาสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย คืออยู่ที่ 8-10% YoY ส่วนราคาต่ำกว่า 8.5 ล้านบาทลงมาปรับราคาขึ้นได้ 4-5% YoY เท่านั้น
ฝั่งซัพพลายเหลือขายนั้นเห็นได้ชัดว่าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ไตรมาส 4/61 โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3.5 ล้านบาทซึ่งมีซัพพลายเพิ่มขึ้นสูงสุด 6% QoQ
สาเหตุนั้นมาจากสภาพเศรษฐกิจซึ่งชะลอตัวลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าปีนี้จีดีพีน่าจะโตราว 2.8% และช่วงไตรมาส 2/62 ธปท.ยังออกมาตรการคุมเข้มการให้ LTV สินเชื่อบ้านด้วย ซึ่งทำให้ลูกค้าต้องวางเงินดาวน์บ้านสูงขึ้น มีโอกาสกู้สินเชื่อไม่ผ่านสูงขึ้น นำมาสู่ยอดขายที่ตกต่ำลง
การสะดุดครั้งนี้จะเป็นเรื่องชั่วคราว หรืออสังหาฯ จะเข้าสู่ช่วงการเติบโตช้าลงต่อเนื่อง? TDRI ได้ประเมินตลาดอสังหาฯ ในช่วงปี 2562-2570 คาดว่าตลาดอสังหาฯ จะโตในกรอบ 1.5-3.0% ในขณะที่จีดีพีประเทศเชื่อว่าจะโต 2.1-3.7% เห็นได้ว่า กรอบการเติบโตภาคอสังหาฯ น่าจะต่ำกว่าจีดีพีประเทศ
เนื่องจาก TDRI ประเมินว่า ประชากรวัยทำงานในอนาคตจะหดตัวลงเฉลี่ย 0.57% ต่อปี ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลง และจีดีพีประเทศที่อาจเติบโตลดลงจากปัจจุบัน ยิ่งทำให้ความสามารถในการซื้อบ้านของประชาชนลดลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยความหวังที่อาจช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ ได้คือ กำลังซื้อของชาวต่างชาติ ซึ่งสามารถถือครองกรรมสิทธิ์อาคารชุดได้ โดยพบว่า เมื่อปี 2560 มีต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ คิดเป็น 27% ของอสังหาฯ รวมทั้งประเทศ มูลค่าเม็ดเงินสูงถึง 71,000 ล้านบาท โดย Top 3 สัญชาติที่โอนคอนโดฯ มากที่สุดคือ จีนฮ่องกง อเมริกัน และสิงคโปร์ ขณะที่ผู้ซื้อจีนแผ่นดินใหญ่มีการเติบโตขึ้นรวดเร็วและขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 แทนที่ชาวอังกฤษ
แต่ทั้งนี้ ต้องจับตามองอนาคตเศรษฐกิจโลกด้วยว่าจะเอื้อให้ชาวต่างชาติมีกำลังทรัพย์เข้ามาลงทุนอสังหาฯ หรือไม่ และในอีกมุมหนึ่ง หากมีกำลังซื้อชาวต่างชาติเข้ามาเสริมก็จะทำให้ราคาอสังหาฯ แพงขึ้นจนคนไทยซึ่งเป็นตลาดหลักเอื้อมถึงยากเช่นกัน
มองภาพระยะยาวไปแล้ว สำหรับปีหน้านั้น DDproperty ยังมองบวกเมื่อเทียบกับปีนี้ โดย เชื่อว่าอสังหาฯ จะกลับมาเติบโตได้ 5-7% เนื่องจากรัฐบาลมีการออกนโยบายกระตุ้นมา 2 ระลอก ทั้งการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือรายการละ 0.01% ยาวจนถึงสิ้นปี 2563 และมีมาตรการบ้านดีมีดาวน์ช่วยคืนเงินค่าดาวน์บ้านให้ 50,000 บาท ที่ให้จนถึง 31 มี.ค. 63 รวมถึงเลื่อนการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามกฎหมายฉบับใหม่ไปบังคับใช้ 1 ม.ค. 64 แทน
แต่ก็ต้องจับตาท่าทีของภาครัฐเรื่องนโยบายการเงินด้วย เพราะ ธปท. เคยแย้มว่ามีแผนจะปรับลดสัดส่วน DSR ในการกู้สินเชื่อบ้านลงมา หากปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยยังอยู่ในระดับสูง (ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 78.7% ของจีดีพี)
ในแง่การพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ DDproperty ประเมินว่า ผู้ประกอบการจะยังระมัดระวังการเปิดโครงการใหม่ โดยจะเน้นเปิดตัวโครงการกลุ่มกลาง-บนเป็นหลักเพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่า ดังนั้นซัพพลายใหม่ๆ ในปีหน้าน่าจะอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และตามแนวรถไฟฟ้าเปิดใหม่ต่างๆ.
]]>