ปิดโรงงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 07 Feb 2022 06:56:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ฮอนด้า’ ปิดโรงงานแม่ หั่นกำลังผลิตเหลือ 60% เพื่อมุ่งสู่รถอีวีเต็มตัว https://positioningmag.com/1373039 Mon, 07 Feb 2022 06:47:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373039 ตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี กลายเป็นอนาคตใหม่ของตลาดยานยนต์ไปแล้ว และทาง ฮอนด้า (Honda) หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกก็ประกาศ ‘ปิดโรงงานแม่’ ในญี่ปุ่น พร้อมปรับลดกำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศลงเหลือเพียง 800,000 คัน/ปี หรือลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับจำนวนสูงสุดในปี 2545 เพื่อปรับโครงสร้างบริษัทพร้อมมุ่งสู่รถยนต์ไฟฟ้า

ฮอนด้า ได้ปิดโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีอายุกว่า 58 ปี ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองซายามะ จังหวัดไซตามะ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโตเกียวเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยโรงงานดังกล่าวถือเป็น 1 ใน 3 โรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัทในญี่ปุ่น และถือเป็นโรงงานแม่ที่สามารถผลิตรถได้กว่า 2.5 แสนคัน/ปี นอกจากนี้ฮอนด้ายังได้ประกาศการลดต้นทุนอื่น ๆ ในปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการแข่งขันรถยนต์ฟอร์มูล่าวัน เป็นต้น

สาเหตุที่บริษัทต้องปิดโรงงานลงเพราะนโยบายในอนาคตที่จะมุ่งสู่รถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทได้ประกาศเมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาว่า รถยนต์ของฮอนด้าทุกรุ่นจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2583 อย่างไรก็ตาม โรงงานดังกล่าวจะยังไม่ปิดตัวโดยสมบูรณ์ แต่จะทำหน้าที่ผลิตชิ้นส่วนก่อนจะปิดถาวรภายใน 2-3 ปี สำหรับพนักงานที่เหลือจะถูกโอนย้ายไปที่โรงงานอื่น ๆ ของบริษัท

ก่อนหน้าที่ฮอนด้าจะตัดสินใจปิดโรงงานดังกล่าว บริษัทมีกำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศประมาณ 1 ล้านคัน/ปี จากโรงงานทั้งหมด 3 แห่งในญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่ในเมืองซายามะ, โยริอิ และซูซูกะ

ด้าน ‘โตโยต้า’ (Toyota Motor) ค่ายรถยนต์อันดับ 1 ของโลกยังไม่มีแผนที่จะลดกำลังการผลิตในญี่ปุ่น ในเร็ว ๆ นี้ โดยยังคงตรึงกำลังการผลิตในประเทศที่ 3 ล้านคัน/ปี ส่วนด้าน ‘นิสสัน’ (Nissan Motor) ในญี่ปุ่นยังคงอยู่ที่ 1.34 ล้านคัน/ปี ตามข้อมูลของ Fourin บริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์

สาเหตุที่กำลังผลิตรถยนต์ของฮอนด้ามีน้อยกว่าอีก 2 แบรนด์ เป็นเพราะฮอนด้ามีส่วนแบ่งยอดขายภายในประเทศน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยในปีงบประมาณ 2561 ฮอนด้าขายรถยนต์ได้ 740,000 คันในญี่ปุ่น หรือ 14% ของยอดขายทั่วโลก ขณะที่โตโยต้าขายได้ 2.29 ล้านคัน คิดเป็น 22% ของยอดรวมทั่วโลก

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ฮอนด้าสามารถทำยอดขายได้ดีกว่า อย่างในตลาดสหรัฐฯ ฮอนด้ามียอดขายถึง 1.61 ล้านคัน หรือ 30% ของยอดขายโดยรวม และ 1.46 ล้านคันในจีน หรือ 28% ทำให้ฮอนด้าจึงเน้นไปที่การผลิตในต่างประเทศมากกว่า

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า กำลังการผลิตของฮอนด้าทั่วโลกสิ้นสุด ณ ปีงบประมาณ (เดือนมีนาคม) จะเหลือ 5.14 ล้านคัน ลดลงจาก 5.59 ล้านคันในปีก่อนหน้า

Source

]]>
1373039
หวั่นขาดแคลน! Top Glove ถุงมือยางเบอร์ 1 โลก “ปิดโรงงาน” กว่าครึ่งเหตุ พนง. ติดเชื้อ https://positioningmag.com/1307536 Wed, 25 Nov 2020 09:14:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307536 เมื่อผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ติดเชื้อเสียเอง! Top Glove บริษัทผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของโลก เตรียมปิดโรงงานชั่วคราวเกินครึ่งหนึ่งของที่ดำเนินการอยู่ในมาเลเซีย เนื่องจากมีพนักงานโรงงานติดเชื้อโรค COVID-19 ถึงเกือบ 2,500 คน ทำให้เกิดข้อกังวลว่าถุงมือยางอาจกลับมาขาดแคลนอีกครั้ง

Top Glove บริษัทยักษ์ถุงมือยางจากมาเลเซีย มีพนักงานรวมเกือบ 5,800 คน แต่หลังจากโรค COVID-19 ระบาดซ้ำในมาเลเซีย บริษัทตรวจพบว่าพนักงาน 2,453 คนติดเชื้อ

โรงงานและหอพักพนักงานของ Top Glove นั้นอยู่ในย่าน Meru ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดรอบใหม่เมื่อมีพนักงานติดเชื้อมากเกินครึ่ง ส่งผลให้บริษัทต้องปิดสายการผลิต 16 แห่งซึ่งอยู่ในย่านเสี่ยงสูงชั่วคราว ขณะที่อีก 12 แห่งเริ่มลดกำลังผลิตลง และบริษัทมีแผนจะปิดชั่วคราวโรงงานทั้ง 28 แห่งนี้ จากจำนวนโรงงานทั้งหมดที่มีในมาเลย์ 41 แห่ง เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายโรคในหมู่พนักงาน

Top Glove กล่าวว่า บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดถุงมือยางทั่วโลกถึง 26% เป็นตัวเลขที่ทำให้บริษัทเป็นเจ้าตลาดอันดับ 1 ผ่านการผลิตถุงมือยางปีละ 9 หมื่นล้านคู่ และมีโรงงานทั้งในมาเลย์ จีน ไทย และเวียดนาม

(Photo: Pixabay)

จนถึงปัจจุบัน จำนวนถุงมือยางในโลกก็ยังแทบไม่เพียงพอหลังจากเกิดโรคระบาด COVID-19 ขึ้น ดีมานด์การใช้งานในโลกพุ่งสูงจนการส่งออกของ Top Glove เติบโตถึง 48% และสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางมาเลเซียเคยคาดการณ์ไว้ว่า สภาวะขาดแคลนถุงมือยาง รวมถึงชุด PPE จะเป็นเช่นนี้ไปจนถึงปี 2022 เลยทีเดียว

ดังนั้น การปิดโรงงานกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทรายใหญ่แห่งนี้อาจจะเป็น ‘ข่าวร้าย’ สำหรับคนทั่วโลก เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงที่ COVID-19 เริ่มระบาดใหม่ๆ เมื่อบุคลากรการแพทย์ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัส ก็จะทำให้บุคลากรด่านหน้าเหล่านี้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเมื่อติดเชื้อแล้วระบบสาธารณสุขก็จะขาดบุคลากรการแพทย์ไว้รับมือโรคในระยะต่อไป

 

ความจริงเปิดเผย…บริษัทขูดรีดแรงงาน

อีกแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ การติดเชื้อในหมู่พนักงาน Top Glove ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจความเป็นอยู่ของพนักงานโรงงานถุงมือยางมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเนปาล บังกลาเทศ และอื่นๆ ที่อพยพเข้ามาทำงานในมาเลย์ และเมื่อดีมานด์ถุงมือยางในโลกสูงขึ้นจาก COVID-19 พนักงานเหล่านี้จะต้องทำงานถึง 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (หรือเฉลี่ยมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีวันหยุด) และนอนแออัดกันในหอพักคนงาน รวมถึงได้ค่าจ้างต่ำ

ก่อนหน้านี้ กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน (CBP) ของสหรัฐอเมริกา เคยกักสินค้าจากบริษัทลูกของ Top Glove ไม่ให้เข้าประเทศมาแล้ว เพื่อเป็นการตอบโต้บริษัทที่ต้องสงสัยว่าใช้แรงงานบังคับ โดย Top Glove เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกรายงานว่า มีการบังคับให้พนักงานจ่ายเงินเพื่อเข้าทำงานในโรงงานถุงมือยาง เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานใช้หนี้และถูกผูกมัดไว้กับนายจ้าง

ขณะที่ ลิม วี ไช ผู้ก่อตั้ง Top Glove เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 14 ของมาเลเซีย ประจำปี 2020 จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิถึง 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากราคาหุ้น Top Glove พุ่งทะยาน 280% ในรอบ 4 เดือน (เม.ย.-ก.ค. 63)

อย่างไรก็ตาม ข่าวปิดโรงงานทำให้หุ้นบริษัท Top Glove ตกลง 7.48% ในวันอังคารที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา

Source

]]>
1307536
Panasonic เตรียมปิดโรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในไทย ย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม https://positioningmag.com/1279910 Thu, 21 May 2020 07:38:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1279910 Panasonic ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมปิดโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในไทย ภายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ (ราวเดือน ก.ย.) โดยตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปผนวกกับโรงงานในเวียดนาม เพื่อลดต้นทุนการจัดหาชิ้นส่วนเเละเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

Nikkei Asian Review สื่อใหญ่ญี่ปุ่น รายงานว่า โรงงานของ Panasonic ในไทยเตรียมจะหยุดการผลิตเครื่องซักผ้าในเดือน ก.ย. และหยุดการผลิตตู้เย็นในเดือน ต.ค. ส่วนตัวอาคารโรงงานผลิตจะปิดตัวในเดือน มี.ค. ปี 2021 พร้อมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ใกล้เคียงก็จะปิดตัวลงด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน Panasonic มีพนักงานประมาณ 800 คนที่ทำงานที่โรงงานในกรุงเทพฯ มีความเสี่ยงที่จะเสียตำเเหน่งงานที่เคยทำอยู่เเต่จะได้รับการช่วยเหลือด้วยการหาตำแหน่งงานใหม่ภายในกลุ่มบริษัทให้

การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามครั้งนี้ เนื่องจากโรงงานของ Panasonic ที่ตั้งอยู่นอกกรุงฮานอย เป็นศูนย์กลางการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอนนี้ก็ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ ดังนั้นบริษัทจึงต้องการลดต้นทุนผ่านกระบวนการจัดหาจัดซื้อชิ้นส่วนประกอบที่ผนวกรวมของไทยเเละเวียดนามเข้าไปด้วยกัน

โดยโรงงานของ Panasonic ในเวียดนาม มีการจ้างงานราว 8,000 คน นอกจากจะเน้นผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่แล้ว ยังมีการผลิตสินค้าอย่าง ทีวี โทรศัพท์ไร้สาย เครื่องชำระเงินด้วยบัตร และอุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรม เป็นต้น

Nikkei Asian Review มองว่าการย้ายฐานการผลิตดังกล่าว สะท้อนถึงบทใหม่ของอุตสาหกรรมภาคการผลิต
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งเเต่ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาที่บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นได้โยกย้ายฐานการผลิตในประเทศ ไปยังสิงคโปร์เเละมาเลเซีย เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น
เเละการผลิตในญี่ปุ่นก็ไม่สามารถเเข่งขันด้านราคาได้

หลังจากนั้นฐานการผลิตก็มีการโยกย้ายเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น ประเทศไทย เนื่องจากค่าจ้างเเรงงาน
ของสิงคโปร์เเพงขึ้นอย่างมาก โดย Panasonic เริ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนขนาดใหญ่ในไทยมาตั้งแต่ปี 1979

เเละปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ กำลังมองหาแหล่งผลิตใหม่ที่มีต้นทุนต่ำลงกว่านี้อีก ประกอบกับต้องการนำสินค้าประเภท
ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ เข้าเจาะตลาดประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากรจำนวนมากในอาเซียน อย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เเละเวียดนาม ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเเละค่าเเรงต่ำ

ขณะเดียวกัน Panasonic กำลังอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กร มีเป้าหมายพื่อลดค่าใช้จ่ายประมาณ 1 แสนล้านเยน (ราว 930 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ให้ได้ภายในปีการเงินที่จะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. ปี 2022 โดยกำลังพิจารณาให้มีปรับเปลี่ยนเเละโยกย้ายฐานการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่อไป

 

ที่มา : Panasonic to move appliance production from Thailand to Vietnam

 

]]>
1279910
ค่ายรถหน้าเขียว! GM ควง Ford โละพนักงาน-ปิดโรงงานอื้อซ่าปี 2019 https://positioningmag.com/1258518 Wed, 25 Dec 2019 19:25:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258518 สรุปความเคลื่อนไหวค่ายรถก่อนจบปี 2019 หลายค่ายรัดเข็มขัดจนหน้าเขียวหน้าแดงทั้ง GM, Ford และ Mercedes-Benz ที่ไม่เพียงประกาศเลิกจ้างพนักงานหลายพันตำแหน่ง แต่ยังพร้อมใจปรับโครงสร้างการดำเนินงานทั่วโลกเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายหลักพันล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ โลกหวั่นใจปี 2020 อาจซ้ำรอยการล่มสลายของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกที่เคยเกิดเมื่อทศวรรษที่แล้ว ทั้งการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ และความหวั่นใจเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวที่กำลังตั้งเค้าเมฆครึ้มมาแต่ไกล

ปีแห่งการดื้นครั้งใหญ่

ปี 2019 ถือเป็นปีที่ค่ายรถลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองหลายด้าน เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่างรถยนต์ขับเคลื่อนตัวเองอิสระแบบไร้คนขับ และรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดถือเป็นความพยายามเพื่อรับมือกับตลาดในสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว

ยอดขายรถยนต์ที่ถูกมองว่าชะลอตัวนั้น แม้ประเทศไทยจะมียอดขายปี 61 เพิ่มขึ้น 19.2% เป็น 1,039,158 คัน แต่ในตลาดโลก ยอดขายรถยนต์กลับลดลงเหลือ 80.6 ล้านคัน จากที่ยอดขายรถใหม่ปี 60 เคยอยู่ที่ 81.8 ล้านคัน ปี 60 นั้นถือเป็นปีแรกในรอบ 10 ปีที่ยอดขายรถใหม่โลกหกตัว (นับจากปี 2009) สำหรับปี 62 คาดว่ายอดขายรถใหม่จะหดตัวอีก 4% เหลือแค่ 77.5 ล้านคัน

ยอดขายรถใหม่ในปี 2020 จึงถูกมองว่าจะลดลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ปัจจัยหลักของภาวะนี้คือความต้องการในตลาดจีนที่หดตัว ในปี 2020 มีแนวโน้มว่ายอดขายรถใหม่จะดิ่งลงมากกว่า 17 ล้านคัน เป็นตัวเลขประเมินการลดลงที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งล่าสุด

แน่นอนว่าค่ายรถผู้ผลิตรถยนต์ได้เรียนรู้บทเรียนจากการถดถอยครั้งที่แล้ว ซึ่งนำไปสู่การล้มละลายของ GM ตามติดมาด้วยคิวถัดไปอย่าง Chrysler ในปี 2009 หลายค่ายใหญ่จึงไม่อายที่จะปรับโครงสร้างการดำเนินงานเชิงรุกในปีนี้ ทำให้มีผลกำไรที่แข็งแกร่งบนยอดขายที่ชะลอตัว

Michelle Krebs นักวิเคราะห์บริหารของ Cox Automotive กล่าวว่า อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเตรียมพร้อมรับมือวิกฤติ และทุกฝ่ายจดจำได้ดีถึงความผิดพลาดในอดีต เพื่อไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน หลายบริษัทจึงพยายามลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ในภาวะที่ผลประกอบการยังสวยงาม ถือเป็นจุดที่แตกต่างจากภาวะช่วง 10 ปีที่แล้ว

ชิ้นพายในตลาดกำลังเล็กลง ค่ายรถจึงวางตัวเองให้พร้อมเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ รวมถึงอนาคตใหม่ที่กำลังมาทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกันในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

ปิดโรงงานเกิน 10 แห่ง

ความเคลื่อนไหวที่เห็นได้ชัดคือ GM และ Ford ที่ประกาศเลิกจ้างงานหลายพันตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็ปิดหรือประกาศแผนการปิดโรงงานประมาณ 12 แห่งทั่วโลก ในจำนวนนี้ 4 แห่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา

Mary Barra CEO ของ GM เคยกล่าวเมื่อครั้งประกาศการปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน 2018 ว่า บริษัทกำลังดำเนินการเชิงรุกเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพธุรกิจหลักของ GM เพื่อป้องกันการชะลอตัวของบริษัท และสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น การประกาศทำให้ GM ลดจำนวนพนักงานลง 14,000 คนในช่วงปีที่แล้วถึงปีนี้ และปิดโรงงาน 7 แห่งทั่วโลก ซึ่ง 5 แห่งตั้งในอเมริกาเหนือ เวลานั้นผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติดีทรอยต์คาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้สูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

Ford เดินหน้ารัดเข็มขัดในทางเดียวกัน ซึ่ง Jim Hackett ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ford ย้ำว่าเพื่อให้ธุรกิจยังคงมีชีวิตชีวาอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มเป็น CEO ให้ Ford ในปี 2560 หัวเรือใหญ่อย่าง Hackett ได้ใช้มาตรการประหยัดค่าใช้จ่ายทั่วโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์ที่จะขยายผลถึงช่วงต้นปี 2563

ในเดือนมิถุนายน Ford ประกาศว่าจะลดพนักงานรายชั่วโมงลง 12,000 งานในสายการผลิตที่ยุโรปภายในสิ้นปี 2563 การประกาศนี้เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนหลังจากที่ Ford ประกาศแผนลดพนักงานประจำประมาณ 7,000 ตำแหน่งทั่วโลก ซึ่ง 2,300 คนอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ปีนี้ Ford กล่าวว่าจะปิดโรงงานผลิตเครื่องยนต์ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา และเตรียมปิดตัวหรือขายโรงงาน 6 แห่งในยุโรป จากที่มี 24 แห่ง กลายเป็น Ford ที่ผู้บริหารมองว่าผอมกำลังดี และรักษาตัวในจุดยืนตำแหน่งที่ดีมาก

ยังไม่นับ Fiat Chrysler ที่เตรียมยุบรวมกับผู้ผลิตรถสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง PSA Group และ Daimler ต้นสังกัด Mercedes-Benz ที่วางแผนลดพนักงาน 10,000 รายทั่วโลกในช่วง 3 ปีนับจากนี้ ยังมีแบรนด์ลูกของ Volkswagen อย่าง Audi ที่เตรียมหั่นทิ้ง 9,500 ตำแหน่งงานหรือ 10.6% ของพนักงานรวมให้ได้ในปี 2025

มองที่ฝั่งญี่ปุ่น Nissan Motor ยังมีแผนปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปี โดยประกาศเมื่อ .. 62 ที่ผ่านมาว่าจะเลิกจ้างพนักงานมากกว่า 12,500 รายทั่วโลกภายในมีนาคม 2023 การประกาศนี้ตามหลัง Honda Motor ที่มีแผนปิดโรงงานที่ประเทศอังกฤษ จนคาดว่าจะมีพนักงานถูกลอยแพ 3,500 ตำแหน่ง

ถ้าค่ายรถไม่หน้าเขียว ก็คงเป็นพนักงานที่จะหน้าเขียวแทน.

]]>
1258518
Kimberly-Clark เจ้าของผ้าอ้อม Huggies-ทิชชู Kleenex ลอยแพ 5,000 ชีวิต ปิดโรงงาน 10 แห่ง https://positioningmag.com/1154444 Wed, 24 Jan 2018 14:06:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154444 Kimberly-Clark เปิดแผนลดพนักงาน 5,000 ตำแหน่ง หรือประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ของกำลังแรงงานทั่วโลก ขณะเดียวกันก็เตรียมปิดหรือเลขายโรงงาน 9 แห่งจาก 91 แห่งทั่วโลก บนเป้าหมายลดต้นทุนให้ได้ 2 พันล้านเหรียญฯ ภายในปี 2021

การประกาศแผนลดจำนวนพนักงานลง 13% ของ Kimberly-Clark ถือเป็นสัญญาณบอกความไม่ปกติของเศรษฐกิจโลก โดย Kimberly-Clark มีแบรนด์ดังในมืออย่างผ้าอ้อม Huggies และกระดาษทิชชู Kleenex จุดนี้ทำให้มีการวิเคราะห์ว่า การลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเป็นไปเพื่อกู้วิกฤติขาลงยอดขายของบริษัท

สำหรับแผนปิดหรือขายสายพานการผลิต 9 แห่งใน 91 โรงงานทั่วโลก Kimberly-Clark หวังว่าจะข่วยให้บริษัทสามารถตัดลดต้นทุนได้มากกว่า 2 พันล้านเหรียญฯ ภายใน 4 ปีนับจากนี้ จุดนี้มีรายละเอียดแจงว่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญฯ จะมาจากการรัดเข็มขัดภายในธุรกิจ ขณะที่อีก 500 ล้านเหรียญฯ ถึง 550 ล้านเหรียญฯ จะมาจากความพยายามในการปรับปรุงการผลิตและห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ

หลายปีที่ผ่านมา Kimberly-Clark ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นพยายามต่อสู้เพื่อไม่ให้หุ้นของบริษัทตกต่ำ Kimberly-Clark ไม่ต่างจากบริษัทอื่นที่ต้องพยายามเติบโตเพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของนักลงทุน แต่ความพยายามนี้สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้างเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภต และความกดดันด้านการแข่งขันของวงการ

วิกฤติของ Kimberly-Clark เห็นได้ชัดจากส่วนแบ่งการตลาด วันนี้ผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ เช่น Target และ Costco ต้องดึงดูดผู้ซื้อด้วยการลดราคาสินค้าเพื่อจำหน่ายออนไลน์ ในขณะเดียวกันก็ต้องแข่งกับร้านค้าปลีกอื่นเช่น Walmart, Aldi และ Lidl ทั้งหมดนี้รู้จักกันดีเรื่องราคาสินค้าที่ต่ำกว่า และทุกคนยังคงต้องเปิดร้านใหม่และหาทางเพิ่มอิทธิพลของตัวเอง

ตัวอย่างเช่น Procter & Gamble คู่แข่งรายใหญ่ของ Kimberly-Clark ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าจะจัดโปรโมชันลดราคามีดโกน Gillette ทั้งหมดนี้ทำให้ฐานะเจ้าพ่อสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่สุดพีแอนด์จี ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและโกยส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งไปได้มากขึ้นต่อเนื่อง

P&G มีหลายแบรนด์ที่แข่งขันกับ Kimberly-Clark โดยตรง โดยเฉพาะตลาดผ้าอ้อมที่แข่งขันรุนแรงในแทบทุกตลาดทั่วโลก ไม่พอ ทั้งคู่ยังได้รับความกดดันจากการที่ Amazon ตัดสินใจเปิดตัวธุรกิจผ้าอ้อมของตัวเอง จุดนี้ถือเป็นการบุกหนักตลาดผ้าอ้อมเด็ก ที่ผู้ซื้ออย่างพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเติมเงินเพื่อซื้อเป็นประจำ และมีผู้ซื้อมากขึ้นต่อเนื่อง

รายงานเบื้องต้นระบุว่า Kimberly-Clark กำลังพิจารณาเรื่องการขายธุรกิจกระดาษทิชชูสำหรับผู้บริโภค เซกเมนต์นี้จะรวมแบรนด์กระดาษ Scott และแบรนด์อื่นซึ่งมีจำนวนรวมประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมบริษัท

การตัดสินใจของ Kimberly-Clark เป็นไปในทางเดียวกับ Unilever และ Nestle ที่พยายามตัดธุรกิจที่ไม่โตตามเป้าหมายหรือ underperforming business ทิ้งไป จุดนี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Thomas Falk แสดงความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงของบริษัทจะทำให้บริษัทมีผลกำไรที่ดีขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นให้บริษัทสามารถลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีการเติบโตมากกว่า แถมยังช่วยให้บริษัทแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น

หุ้นของ Kimberly-Clark เพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% หลังประกาศ สำหรับช่วงไตรมาสที่ 4 ปีการเงิน 2017 Kimberly-Clark รายงานรายได้สุทธิที่ 1.75 เหรียญฯ ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 1.40 เหรียญฯ ในปีที่ผ่านมา โดยหลังจากหักรายการค่าใช้จ่ายทางบัญชี บริษัทมีรายได้ราว 1.57 เหรียญฯ ต่อหุ้น

ยอดขายสุทธิ Kimberly-Clark เพิ่มขึ้น 1% แตะที่ 4.6 พันล้านเหรียญฯ ในขณะที่ยอดขายในอเมริกาเหนือลดลง 2% ตัวเลขเหล่านี้ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดว่า Kimberly-Clark จะทำได้ 1.54 เหรียญฯ ต่อหุ้น จากรายได้ 4.6 พันล้านเหรียญฯ ตามคาดการณ์ของ Thomson Reuters

สิ่งที่น่าสนใจจากตัวเลขผลประกอบการของ Kimberly-Clark คือราคาจำหน่ายสินค้าของบริษัท ลดลง 4% ผลจากการจัดโปรโมชันซึ่งมีความสำคัญมากขึ้นในสินค้าหลายประเภท ทั้งหมดนี้คาดว่ายอดขายสุทธิในปีนี้ 2018 จะเพิ่มขึ้น 1-2% เช่นเดิม

ที่มา : cnbc.com/2018/01/23/kimberly-clark-to-slash-5000-half-in-north-america-close-10-factories.html

]]>
1154444