“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า เพื่อดูแลสังคมและพนักงานในเครือ บริษัทขอประกาศปิดบริการโรงแรม 5 ในกรุงเทพฯ เป็นการชั่วคราว ได้แก่ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค, โรงแรมดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ, โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ, โรงแรมดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ และโรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์”

“เรามีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ และมีความตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการควบคุมลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เว้นระยะห่างทางสังคม และลดการเดินทาง” วัลลภากล่าว

เพื่อดูแลพนักงานทั้งหมดของโรงแรมทั้ง 5 แห่งที่ปิดให้บริการชั่วคราว ซึ่งมีจำนวนกว่า 2,000 คนนั้น พนักงานทั้งหมดจะยังคงได้รับค่าจ้าง เงินเดือน และสวัสดิการพนักงานตามปกติในระหว่างการหยุดงาน โดยบริษัทฯ มีข้อกำหนดให้พนักงานทั้งหมดพักอยู่ที่บ้าน เลี่ยงเดินทางเคลื่อนย้ายไปยังจังหวัดอื่นๆ โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามนโยบายของภาครัฐ

พร้อมทั้งมีการจัดแผนปรับปรุง รวมทั้งการทำความสะอาดใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ (Big Cleaning) ในทั้ง 5 โรงแรมระหว่างปิดดำเนินการ เพื่อเพิ่มความมั่นใจด้านสุขอนามัยให้กับแขกผู้เข้าพัก พนักงาน ผู้มาติดต่อ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หลังกลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้ง

“AWC จะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมเสมอที่จะกำหนดแนวทาง มาตรการ และนโยบายในการดำเนินการต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแล ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดให้ความร่วมมือกับภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมฝ่าฟันและผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด” วัลลภากล่าว

• “กลุ่มใบหยก” ประกาศกฎเหล็กสั่งพนักงานพ้นสภาพถ้าลากลับบ้าน ยันให้เงินเดือนปกติ

สำหรับความเคลื่อนไหวเครือโรงแรมอื่นๆ ในไทย บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล (MINT) ประกาศวานนี้ว่าบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อปิดโรงแรมทั้งในกรุงเทพฯ และพิจารณาการปิดบางโรงแรมในต่างจังหวัด

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (2 กุมภาพันธ์ 2019) ผู้ที่มีแอคเคาท์ใช้งาน “Google+” เริ่มได้รับ E-mail แจ้งปิดให้บริการจาก Google+ Team โดยในเนื้อความระบุว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2018 มีการประกาศการสินใจยุติการให้บริการ Google+ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปในเดือนเมษายน 2019 เนื่องจากมีการ “ใช้งานน้อย” และมีความท้าทายต่างๆ ในการบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ให้ประสบความสำเร็จ และเป็นไปตามความคาดหวังของผู้ใช้

ใน E-mail ยังระบุอีกว่า ในวันที่ 2 เมษายนจะมีการเริ่มลบบัญชี รูปภาพและวิดีโอ หากรูปภาพและวิดีโอที่สำรองข้อมูลไว้ใน Google Photos จะไม่ถูกลบ รวมไปถึงการลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์และแอปต่างๆ ด้วยปุ่ม Google+ Sign-In ปุ่มเหล่านั้นจะใช้งานไม่ได้อีกต่อไป รวมไปถึงการใช้งานฟีเจอร์คอมเมนต์ในเว็บไซต์จะถูกนำออกจาก Blogger ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และจากเว็บไซต์อื่นๆ ในวันที่ 7 มีนาคม

E-mail ฉบับนี้ถือเป็นการแจ้งให้กับผู้ใช้งานการเป็นทางการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในเดือนตุลาคม 2018 หลายๆ สื่อต่างตีข่าวเรื่องที่ Google ประกาศรายละเอียดการปิดบริการ Google+ ในโพสต์ของบริษัทเมื่อวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแถลงการณ์ฉบับแรกของ Google ที่เกี่ยวข้องกับข้อผิดพลาดของระบบที่ทำให้ข้อมูลผู้ใช้รั่วไหล

จุดนี้สื่อเมริกันบางรายตั้งข้อสังเกตว่า Google ตั้งใจหลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายละเอียดปัญหาในเวลานั้น ส่วนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล และปกป้องชื่อเสียงของบริษัท

กล่าวคือ ข้อบกพร่องใน Google+ อาจเปิดกว้างให้แอปภายนอก 438 รายการสามารถรวบรวมชื่อผู้ใช้ ที่อยู่อีเมล, อาชีพ, เพศ และวัย โดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนหน้านี้ Google ถูกจับตาเรื่องข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้มากกว่า 5 แสนราย ได้รับผลกระทบข้อมูลรั่วไหล

หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือนธันวาคม 2018 ยังได้มีรายงานข้อผิดพลาดใหม่ ที่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้จำนวนมากมีช่องโหว่ถูกเปิดดูได้โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว ซึ่งพบใน Google+ เวอร์ชันอัปเดตเมื่อพฤศจิกายน โดยเบื้องต้น Google ยอมรับว่าข้อผิดพลาดนี้อาจกระทบต่อผู้ใช้มากกว่า 52.5 ล้านคนทั่วโลก

อาจเป็นเพราะการประกาศพบบั๊ก 2 ตัวซ้อนในเวลา 2 เดือน เจ้าพ่อ Search Engine จึงเร่งกำหนดการปิดตัว Google+ ให้เร็วขึ้นเป็นเดือนเมษายน 2019 จากช่วงก่อนหน้านี้ที่วางแผนจะปิดตัว Google+ ในเดือนสิงหาคม โดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์จะไม่สามารถเข้าถึง API ได้ในช่วง 90 วันถัดไป

So @GooglePlus is dead now? ? #RIP #GooglePlus pic.twitter.com/N1tOCEfDqW

— Erik Reichenbach (@ErikReichenb4ch) 8 ตุลาคม 2561

แน่นอนเหตุผลที่ Google จำเป็นต้องปิด Google+ นอกเหนือจากช่องโหว่ที่พบติดกันถึง 2 เดือนแล้ว คือการใช้งานที่ต่ำ เพราะมีรายการระบุว่า กว่า 90% ของผู้ใช้งาน Google+ ใช้เวลาอยู่บนระบบน้อยกว่า 5 วินาทีแทบทั้งสิ้น 

นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้ใช้งานหลายรายตั้งข้อสังเกตถึงเหตุผลที่ Google+ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะเกิดตามหลังมาในวันที่ “Facebook” กำลังพีค ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วน Google+ การใช้การจริงๆ ยังแอบเข้าใจยากอีกด้วย.

อ้างอิง :

• https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000122770
• https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000101226