ผู้บริหารของ Facebook เพิ่งจัดงานอีเวนต์ “next 20 years” ของ Facebook ไปเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2024 ที่เมืองนิวยอร์ก เพื่อชี้ทิศทางให้เห็นว่า Facebook จะมุ่งเน้นการดึง “Gen Z” ให้เข้ามาใช้งาน และจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพัฒนาแพลตฟอร์มด้วย
ผู้เข้าร่วมงานอีเวนต์ดังกล่าวจะได้ใบปลิวพิมพ์สโลแกนชัดเจนถึงใจว่า “We are not your mom’s Facebook” ซึ่งสื่อนัยยะตอบโต้ว่า Facebook ไม่ได้เป็นแอปฯ คนแก่ที่คนวัยแม่ชอบเล่นอย่างที่ Gen Z คิด แต่แพลตฟอร์มนี้จะเป็น “ศูนย์กลางของปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมทุกชนิด”
“เรายังเป็นแพลตฟอร์มเพื่อทุกคนอยู่ แต่เราก็เล็งเห็นด้วยว่าถ้าเรายังอยากมีที่ยืนในตลาดอยู่ เราจะต้องสร้างให้แพลตฟอร์มของเราเหมาะกับ Gen Z” ทอม อลิสัน ประธาน Facebook กล่าวในงานอีเวนต์
จากข้อมูลการสำรวจของ Pew Research เมื่อปี 2023 พบว่า มีวัยรุ่นอเมริกันวัย 13-17 ปีเพียง 33% เท่านั้นที่มีบัญชี Facebook แถมยังมีแค่ 3% เท่านั้นที่ใช้ประจำ (*ในประเทศไทย YDM Thailand เคยให้ข้อมูลว่า Facebook ไม่ติด 3 อันดับแรกโซเชียลมีเดียที่คน Gen Z วัย 12-26 ปีชอบใช้)
อลิสันกล่าวต่อว่า จากการวิจัยของบริษัทพบว่าช่วงชีวิตของ Gen Z ในระยะนี้จะเป็นช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต เช่น เรียนจบมัธยม, เรียนต่อมหาวิทยาลัย, เริ่มทำงาน, ย้ายออกจากบ้านเป็นครั้งแรก, ตามหาความรัก
เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงมาก วัยรุ่นมักจะต้องการหา “บุคคลจริง” ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ที่เจอแบบเดียวกัน หาคนที่มีความสนใจใหม่ในแบบเดียวกัน และอลิสันคิดว่าตรงนี้คือจุดที่ Facebook จะเป็นผู้เชื่อมโยงให้ได้ ดังนั้น 3 สิ่งที่ Facebook จะเน้นหลังจากนี้เพื่อให้โดนใจ Gen Z ได้แก่
1.หน้า Feeds เน้นคอนเทนต์ที่ตรงกับชีวิตคน Gen Z
หันมาเน้นโพสต์ที่มาจากฟีเจอร์ Groups ที่ทำให้คนที่สนใจเรื่องแบบเดียวกันได้มาคุยกัน, โปรโมต Facebook Dating ตอบโจทย์เรื่องการตามหาคู่รัก/คู่เดต และเน้นคอมมูนิตี้ขายของบน Facebook Marketplace
ส่วนโพสต์ที่จะถูกลดการมองเห็นคือฟีเจอร์ที่คน Gen Z ไม่ค่อยสนใจและไม่เป็นการสร้างสังคม เช่น ข่าวสาร
การจัดหน้า Feeds เหล่านี้แพลตฟอร์มจะพัฒนาเทคโนโลยีการเลือกลำดับนำเสนอโพสต์ให้โดนใจคน Gen Z มากขึ้นด้วย
2.เน้น Reels และวิดีโอสั้น
กลยุทธ์นี้เหมือนกับใน Instagram เพราะวิดีโอสั้นเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่คน Gen Z ชอบ และจะเน้นให้การส่งวิดีโอไปในช่องแชทส่วนตัวทำได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัวผ่านการแชร์วิดีโอที่น่าสนใจ
3.สร้างแพลตฟอร์มให้เป็นมิตรกับครีเอเตอร์มากขึ้น
ในอนาคต Facebook จะทำให้ครีเอเตอร์สร้างรายได้จากคอนเทนต์ได้ง่ายขึ้น และใช้พลัง AI เป็นเบื้องหลังเครื่องมือบนแอปฯ ให้กับครีเอเตอร์ เช่น เปลี่ยนพื้นหลังในรูป, ช่วยเขียนโพสต์
ภายในงานอีเวนต์นี้มีคำถามถึง ทอม อลิสัน ว่าการปรับตัวของ Facebook จะทำให้บุคลิกของแอปฯ ไปซ้ำกับ Instagram หรือเปล่า ซึ่งทางอลิสันตอบว่า Facebook จะไปเน้นเรื่องการเชื่อมโยงคนเข้ากับประสบการณ์ต่างๆ ขณะที่ Instagram จะเน้นเรื่องคอนเทนต์ใหม่ๆ และการติดตามครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบมากกว่า
]]>จุดสังเกตคือยุคนี้คน Gen Z ไม่เล่น Facebook แล้ว ขณะที่คน Gen X ก็ไม่เล่น Instagram
แต่มีแพลตฟอร์มที่คนทุกเจนเนอรชันเล่นเหมือนกันคือ YouTube และ TikTok สะท้อนให้เห็นว่าคนทุกวัยชอบคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอเป็นหลัก
สิ่งที่แบรนด์ควรรู้ก็คือ คนไทยใช้เวลาเล่นโซเชียลมีเดียมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน
และ 46% ของคนไทยเชื่อรีวิวสินค้าจากอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้การเลือกโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจะช่วยส่งเสริมยอดขายแบรนด์ได้สูงมาก
#โซเชียลมีเดีย #GenZ #GenY #GenX #แบรนด์ #กลยุทธ์การตลาด #positioningonline
เชิดกุล มานะกิจไพโรจน์ นักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์การตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการวิจัยหัวข้อ “พฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นเชิงลบและความคาดหวังต่อการตอบกลับจากแบรนด์บนสื่อสังคมของคนไทย” โดยมี ดร.สุทธนิภา ศรีไสย์ผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต เป็นอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย
ผลวิจัยพบว่า ช่องทางที่คนไทยแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อแบรนด์มากที่สุดคือ การตั้งกระทู้บนเว็บไซต์พันทิปดอทคอม (84.30%) รองลงมาคือ ตอบคนที่มาแสดงความคิดเห็นในกระทู้บนเว็บไซต์พันทิปดอทคอม (Reply) (83.50%) และน้อยที่สุดคือ Post ลงทวิตเตอร์ พร้อมติด Hashtag (#) แบรนด์ (23.30%) สำหรับรายละเอียดช่องทางเป็นดังนี้
ผลการศึกษาพบว่า คนไทยแสดงความคิดเห็นเชิงลบผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับแบรนด์ธุรกิจมากที่สุด (39.08%) รองลงมา คือ แบรนด์บริการ (38.08%) และแบรนด์สินค้า (22.83%)
เมื่อแยกประเภทธุรกิจ จะพบว่า ธุรกิจที่คนไทยแสดงความคิดเห็นเชิงลบบนโซเชียลมีเดียโดยอันดับ 1 ได้แก่ เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (84.50%) อันดับที่ 2 คือ อินเทอร์เน็ต (74.50%) และอันดับที่ 3 คือ ธนาคาร (63.50%) ส่วนอันดับอื่นๆ เป็นดังแผนภาพ
ผลการศึกษาพบว่า มากกว่า 50% ของคนไทยแสดงความคิดเห็นเชิงลบบน Social Media เพื่อ
ผลการศึกษาพบว่าคนไทยต้องการให้แบรนด์รับฟังปัญหาอย่างเข้าใจ ยอมรับความจริง ชี้แจงข้อมูล แนะนำทางออกและตอบกลับสุภาพในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ต้องการให้แบรนด์ตอบอย่างรวดเร็ว ห้ามลบความคิดเห็น หาผู้รับผิดชอบ และ inbox ส่วนตัวเพื่อแก้ปัญหา ในระดับมาก
ในขณะที่การ Inbox ไปขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อโดยตรง การนำบุคคลที่น่าเชื่อถือ อาทิ ผู้นำทางความคิด นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ บุคคลที่มีชื่อเสียง มาชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านสื่อต่างๆ การที่ผู้บริหารบริษัทออกมาเจรจาด้วยตนเอง การขอโทษผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคม และการมอบสิทธิพิเศษ ของแถม โปรโมชั่น เป็นสิ่งที่คนไทยคาดหวังจะได้ในระดับปานกลาง
ผลการศึกษาพบว่า หากกลุ่มตัวอย่างได้รับการตอบกลับจากแบรนด์ และแบรนด์ดำเนินการแก้ปัญหา ในภาพรวมคนไทยส่วนใหญ่ยังคงใช้สินค้าและบริการต่อ (Mean =3.27, S.D.= 1.07) โดย 46% มีความเป็นไปได้ที่จะใช้แบรนด์ต่อ 26.00% อาจจะใช้แบรนด์ต่อ 27.30% เป็นไปได้ ถ้าจำเป็นและ 2.30% ไม่มีทางเป็นไปได้
ดร.สุทธนิภา กล่าวว่า จากผลการศึกษามีความน่าสนใจว่า ผู้บริโภคที่มาแสดงความคิดเห็นเชิงลบบนโซเชียลมีจุดมุ่งหมายชัดเจน คือ ต้องการสื่อสารโดยตรงกับแบรนด์ ดังนั้นแบรนด์ต้องให้ความสำคัญกับความคิดเห็นเชิงลบเหล่านี้เสมือนเผชิญหน้าในโลกความเป็นจริง
นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่า พฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นเชิงลบของคนไทยผ่านช่องทางต่างๆ เกือบทุกช่องทางมีความสัมพันธ์เชิงบวกกัน นั่นหมายถึง ถ้าผู้บริโภคแสดงความคิดเห็นเชิงลบผ่านสื่อสังคมช่องทางหนึ่งแล้ว มีแนวโน้มที่จะแสดงความคิดเห็นเชิงลบผ่านช่องทางอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งผลการศึกษาในข้อนี้นั้นบ่งบอกว่า ถ้าผู้บริโภคไปแสดงความคิดเห็นเชิงลบช่องทางหนึ่งแล้ว แล้วแบรนด์ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทำให้คนที่แสดงความคิดเห็นอาจคิดว่าแบรนด์ไม่ใส่ใจหรือแบรนด์ไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จะทำให้คนไปแสดงความคิดเห็นช่องทางอื่นเพิ่ม ซึ่งจะทำให้แบรนด์เกิดความเสียหายรุนแรงในวงกว้าง
“ความคาดหวังของผู้บริโภคนั้น มีความคาดหวังทั้งในเรื่องอารมณ์และเรื่องการแก้ปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหาต้องทำควบคู่กันไปทั้งในเรื่องอารมณ์ของผู้บริโภคและแก้ไขด้านการดำเนินการ เพราะถ้าแบรนด์แก้ปัญหาได้ตามความคาดหวังของผู้บริโภคแล้ว จากผลการศึกษาพบว่าภายหลังจากการตอบกลับของแบรนด์ มีความเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคนั้นยังคงใช้บริการแบรนด์ต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีเรื่องค่านิยมคนไทยที่ได้อธิบายว่า คนไทยมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถให้อภัยได้เสมอ” ดร.สุทธนิภา กล่าว
ทั้งนี้ ผลการวิจัยยังพบเทรนด์ใหม่ในเรื่องความพอใจในการรับมือของแบรนด์กับกลุ่มตัวอย่างอายุ 16-25 ปีนั้น ซึ่งเป็นคน Gen Z คืออยากให้แบรนด์มอบสิทธิพิเศษ ของแถม โปรโมชั่น แทนคำขอโทษ มากกว่าอายุอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีพฤติกรรมคน Gen Z ที่ไม่มีความภักดีต่อองค์กร ไม่ได้มีความภักดีกับแบรนด์ ซึ่งแบรนด์ไหนให้สิทธิประโยชน์มากกว่า ก็จะเลือกใช้แบรนด์นั้น นอกจากนี้การศึกษายังพบว่า เพศชายมีการแสดงความคิดเห็นเชิงลบเกี่ยวกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดียมากกว่าเพศหญิง
ด้าน ดร.สุทธนิภา มองว่า ผลการศึกษาข้อนี้สะท้อนมิติใหม่ๆ ในสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังในเรื่องการแก้ปัญหาเมื่อเกิดความไม่พอใจต่อแบรนด์ โดยปกติที่แบรนด์เคยทำกันมานานมักจะขอข้อมูลส่วนตัวทาง Inbox เพื่อติดต่อกลับ ซึ่งเปรียบเทียบกับความคาดหวังแล้ว ผลวิจัยบ่งบอกว่าผู้บริโภคไม่ได้พึงพอใจและไม่ได้คาดหวังหรือเชื่อว่าแบรนด์จะแก้ปัญหาได้มากนัก ในมุมมองของผู้บริโภคอาจคิดว่าแบรนด์ขอข้อมูลไปเพียงเพราะเป็นการขอเพื่อเป็นการแสดงออกตามมาตรฐานที่ได้รับการฝึกมา ซึ่งในบางครั้งผู้บริโภคอาจจะรู้สึกว่าเป็นการแสดงออกที่ซ้ำซาก อาจจะทำเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับแบรนด์ได้
อีกทั้งจากผลการศึกษา ผู้บริโภคไม่ได้คาดหวังให้แบรนด์ขอโทษผ่านสื่อสังคมมากนัก แต่ต้องการให้แก้ไขสินค้าหรือบริการให้มีประสิทธิภาพมากกว่าการพูดขอโทษจากแบรนด์ ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์ที่แบรนด์จะต้องติดตามและรับมือให้ทันต่อความคาดหวังด้านอารมณ์และการบริการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน
“ผู้บริโภคปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่คำขอโทษ หรือการขอโทษผ่านสื่อ และไม่ได้คาดหวังให้ผู้บริหารหรือบุคคลน่าเชื่อถือออกมาชี้แจง แต่ต้องการให้แบรนด์เผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ ตลอดจนมีการสื่อสารอย่างสุภาพ แบรนด์อาจต้องพิจารณาบริหารจัดการอารมณ์ของผู้บริโภค (Emotional Management) ควบคู่ไปกับดำเนินการแก้ไขเพื่อบริหารจัดการความคิดเห็นเชิงลบบนโลกออนไลน์” ดร.สุทธนิภา กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับงานวิจัยใช้การศึกษาเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากประชาชนชาวไทยเพศชายและหญิง อายุ 15-55 ปี ที่เคยแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อแบรนด์ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 ถึงกรกฎาคม 2560 จำนวนทั้งสิ้น 400 คน จุดมุ่งหมายงานวิจัยชิ้นนี้มุ่งค้นหาคำตอบและคำอธิบายการแสดงพฤติกรรมเชิงลบของคนไทยที่มีต่อแบรนด์
คำนิยามคำว่า “พฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นเชิงลบ” (Negative Comment) ในงานวิจัยนี้ หมายถึง ความถี่ในการเขียนหรือโพสต์แสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สื่อความหมายในแง่ลบ รวมถึงการบ่น (Complain) การวิจารณ์แบรนด์ในแง่ลบ (Comment) และการร้องเรียน (Complaint) เกี่ยวกับแบรนด์ผ่านสื่อสังคม โดยมีที่มาจากการมีทัศนคติไม่ดีต่อการได้รับบริการหรือการซื้อสินค้าจากแบรนด์ ซึ่งทัศนคติที่ไม่ดีเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดความคิดเห็นเชิงลบขึ้น และความคิดเห็นเหล่านี้จะมีความน่าเชื่อถือขึ้นมาได้ด้วยการผ่านการร่วมประสบการณ์กับแบรนด์โดยตรง.
]]>“ทวิตเตอร์” ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ร้อนแรงต่อเนื่อง โดยล่าสุด เดือนกุมภาพันธ์ 2561 มียอดผู้ใช้งานทั้งสิ้น 12 ล้านราย เติบโตถึง 33% จากปี 2560 อยู่ที่ 9 ล้านราย ที่สำคัญพบว่ามีผู้ใช้งานประจำ (Active) มากถึง 5.7 ล้านรายเติบโต 80% จากปีก่อนมี 3.1 ล้านราย
ขณะที่อินสตาแกรมมีผู้ใช้งานจำนวน 13.6 ล้านราย เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน 11 ล้านราย
ส่วนเฟสบุ๊ค แพลทฟอร์มใหญ่ที่มีผู้ใช้งานในไทย 49 ล้านคน เพิ่มขึ้นแค่ 4% หรือ 2 ล้านคน เท่านั้น
เมื่อเจาะลึกแต่ละแพลตฟอร์ม ในเทรนด์โลกนั้นมีผู้ใช้งานเฟสบบุ๊คทั้งสิ้น 2.13 พันล้านราย เพิ่มขึ้น 10% และมีการเปลี่ยนแปลงที่แรง เมื่อ “อินเดีย” กลายเป็นประเทศที่มีผู้ใช้งานมากถึง 240 ล้านราย “แซงหน้า” สหรัฐ เจ้าตลาดที่มีผู้ใช้งาน 203 ล้านราย เหตุผลเพราะอินเดียมีประชากรมากกว่า มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ส่วนไทยรั้งอันดับ 8 ของประเทศที่ใช้งานมากสุด
ในประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับ 2 แซงชลบุรีเรียบบร้อยแล้ว
ช่วงเวลาที่คนไทยใช้ FB ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว มี 3 ช่วง คือ 10.00 -12.00 น ,14.00 -15.00 น. และ 18.00 – 23.00 น
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือรีแอ๊คชั่นในการกดไลค์ กดเลิฟ เปลี่ยนไป โดยปี 2560 การกดเลิฟ มากสุดมีสัดส่วน 44% เนื่องจากข้อความ รูปภาพ สื่อต่างๆที่นำเสนอบนเฟสบุ๊ค เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9
รองลงมา กดหัวเราะ 555 มีสัดส่วน 21% และการหัวเราะก็เกิดจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ นำคอนเทนท์บันเทิงมาลง และว้าว เป็นอันดับสุดท้าย
ทวิตเตอร์ โตแรง แต่เฟสบุ๊ค กลับแผ่ว ยิ่งมีการปรับ News Feed ลด Reach ส่งผลกระทบต่อนักการตลาด เจ้าของแบรนด์ในการ Engagement กับกลุ่มเป้าหมาย
พเนิน” จึงโชว์สถิติให้เห็นกันชัดๆจากการสำรวจเพจและแบรนด์ดัง 27 อุตสาหกรรม พบว่า ปี 2560-2561 แบรนด์มีการโพสต์ข้อความ คอนเทนต์ต่างๆมากกว่าเดิมถึง 52% แต่มียอด Engagement โดยรวมเพิ่ม 12% บ่งชี้ว่าแบรนด์ออกแรงเยอะในการทำตลาด อัดงบเพิ่มโพสต์กันยกใหญ่ แต่ยอด Engagement กลับลดลง
ขณะที่ยอด Engagementต่อโพสต์นั้น กลับ “แย่ยิ่งกว่า” เพราะถ้าแบรนด์โพสต์ไป100 ข้อความ ยอด Engagementจะหายไปถึง 27% เรียกว่าถ้าแบรนด์ไหนมีความ “พยายาม” ในการทำตลาดไม่ถึงใจล่ะก็ นอกจากจะต้องเสียพลังเงินสูงขึ้นเพื่อทำคอนเทนท์ที่ดี สูญพลังงานมากกว่าเดิมเพื่อแย่งพื้นที่สื่อบนแฟลตฟอร์ม หวังจะให้แบรนด์โดดเด่น หรือยืนอยู่ในจุดเดิมได้ต้องทุ่มสุดตัวจริงๆถึงจะเอาอยู่
แต่ถ้ายังอยากอยู่บนแฟลตฟอร์มเฟสบุ๊ค คอนเทนท์ที่มีประสิทธิภาพ บอกเลยว่าคือ VDO เพราะยอด Engagement ต่อโพสต์สูงถึง 2,556 คิดเป็น 2 เท่า ของการโพสต์รูปภาพซึ่งอยู่ที่ 1,273
ด้านความฮิตของทวิตเตอร์ ในปีนี้ สร้างปรากฎการณ์ตลาดหลายอย่าง นอกจากผู้บริโภคใช้งานจำนวนมากขึ้นแล้ว “เวลา” ในการเสพก็ยาวขึ้นด้วย ช่วงพีคที่เคยดูตั้งแต่2 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ได้ขยายไปถึงตี 1 แล้ว สะท้อนให้เห็นว่า “วัยรุ่น” มีพฤติกรรม “นอนดึก” กว่าเดิม ดังนั้นนักการตลาด แบรนด์ที่มีสินค้าขาย 24 ชั่วโมงก็สามารถเข้าไปหาโอกาสจับกลุ่มเป้าหมายได้
เมื่อผู้บริโภคย้ายแพลตฟอร์ม หันไปใช้งานทวิตเตอร์เพิ่ม ระหว่างปี 2559-2560 มีแบรนด์ต่างๆ ตามติดกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มดังกล่าวมากขึน 83% ถือเป็นตัวเลขที่ท Active สูงมาก แต่สถิติไม่หยุดแค่นั้น เพราะแบรนด์มีการโพสต์หรือทวีตข้อความต่างๆเพื่อ Engage กับกลุ่มเป้าหมายเติบโตถึง124% หมายความว่าปีก่อนทวีตข้อความ 100 ข้อความ ปีนี้ทวีตเป็น 248 ทวีตนั่นเอง
ที่สำคัญ Feed back จากผู้บริโภคในการรีทวีตข้อความของแบรนด์เติบโต 101% สำหรับนักการตลาดแล้วไม่ควรมองข้าม
“การรีทวีต สะท้อนว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ในแพลตฟอร์มนั้น และสิ่งที่แบรนด์พูดคุยกับผู้บริโภค ก็มีคนที่พร้อมจะแชร์และกระจายคอนเทนต์เหล่านั้น ช่วยสร้าง Engage ได้เยอะ” พเนิน อัศววิภาส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโธธโซเชียลโอบีว็อคให้เหตุผล
อินสตาแกรมมีคนใช้งานทั่วโลก 800 ล้านราย เพิ่มขึ้น 14%ประเทศไทยใช้งานอันดับ 24 ของโลก มีจำนวน 13.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24%
พฤติกรรมที่น่าสนใจของผู้ใช้ไอจีอย่างหนึ่งคือ ผู้บริโภคเริ่มเข้าใจการอัพรูปภาพหลายๆรูป(Carousel) 24% จากเดิมที่คิดว่าการใช้งานอัพรูปได้เพียงรูปเดียว ส่วนเวลาในการเสพไอจี ส่วนใหญ่เป็นเสาร์–อาทิตย์ เพราะเป็นเวลาที่คนเดินทางท่องเที่ยว ตะลอนกิน รวมถึงแม่ค้าพ่อขายออนไลน์ไปหาไอเทมใหม่มานำเสนอลูกค้าในวันหยุด.
]]>โดยผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจนี้มีทุกกลุ่มอายุ ใน 40 ประเทศ จำนวน 89,029 คน ซึ่งจากโพลล์พบว่า 98 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าตนเองมีแอคเคาน์โซเชียลมีเดียอย่างน้อย 1 แอคเคาน์ และโดยเฉลี่ยพวกเขามีแอคเคาน์ที่ใช้งานประจำประมาณ 7.6 แอคเคาน์เลยทีเดียว
โดยกลุ่มที่มีแอคเคาน์มากที่สุดคือกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 16 – 34 ปี ที่มีประมาณ 8.7 แอคเคาน์ ส่วนกลุ่มที่อายุ 55 ปีขึ้นไปพบว่ามีน้อยที่สุดคือประมาณ 4.6 แอคเคาน์ต่อคน
สำหรับภูมิภาคที่พบว่ามีการใช้งานโซเชียลมีเดียสูงที่สุดคือละตินอเมริกาที่ 8.8 แอคเคาน์ รองลงมาคือเอเชีย 8.1 แอคเคาน์ เวลาเฉลี่ยที่ใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียคือ 2 ชั่วโมง 15 นาทีต่อวัน (รวมเวลาที่ใช้บริการแชทแล้ว)
ด้านพฤติกรรมการใช้งานนั้น ปัจจุบันใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อตามติดข่าวสารต่าง ๆ และใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง อีกข้อหนึ่งคือการรับชมวิดีโอ โดย 56 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) ยอมรับว่าพวกเขาดูวิดีโอออนไลน์ 1 คลิปเป็นอย่างน้อยในเดือนที่ผ่านมา ขณะที่อินสตาแกรมและสแนปแชทนั้นพบว่ามีน้อยกว่า ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
น่าสนใจตรงที่เมื่อพูดถึงการเสิร์ชหาสินค้า รายงานดังกล่าวพบว่าในกลุ่มอายุ 16 – 24 ปีนั้น ระบุว่า ปุ่ม Buy บนโซเชียลมีเดียสามารถกระตุ้นให้เขาเกิดการซื้อได้เพียง 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนกลุ่มอายุอื่น ๆ ก็ยิ่งน้อยลงไปกว่านี้มากเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ จึงอาจสรุปได้ว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคนั้นยังคงเติบโต แต่ถ้าจะใช้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อนั้นคงเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกสักนิด
]]>สรุปได้ว่าความถี่ส่งผลต่อระดับความสุขอย่างชัดเจน โดยเป็นความสัมพันธ์เชิงบวก หมายถึง ยิ่งติดตามความเคลื่อนไหวต่อครั้งด้วยการทิ้งช่วงนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มระดับความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ความถี่ที่เหมาะสมจากการสำรวจ คือ การทิ้งเวลาในการตามให้มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อการตาม 1 ครั้ง
สำหรับอุปกรณ์ที่ผู้สูงอายุใช้เป็นประจำ พบว่า กลุ่มที่ใช้ผ่านแท็บเล็ตมีความสุขสูงที่สุด รองลงมาคือกลุ่มที่ใช้บนสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
ขณะที่สถานที่ที่ใช้พบว่าการใช้ที่บ้านมีความสุขสูงที่สุด รองลงมาคือใช้ในสถานที่สาธารณะและใช้ในที่ทำงาน
สำหรับวัตถุประสงค์ในการออนไลน์ พบว่า กลุ่มที่ใช้เพื่อความบันเทิงมีความสุขสูงที่สุด รองลงมาคือการใช้เพื่อหาความรู้และเพื่อสังคม
สำหรับปัญหา พบว่า ค่าบริการของผู้ให้บริการเป็นปัญหาที่ผู้สูงอายุให้ความสำคัญที่สุด
ที่มาของงานวิจัย
สมาคมบ้านปันรัก ได้วิจัยผู้สูงอายุที่ใช้เทคโนโลยีได้จำนวน 480 คนทั่วกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สื่อออนไลน์
]]>จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 แล้ว สำหรับ Zocial Awards 2016 โดยปีนี้จัดขึ้นในนามบริษัท โธธ โซเชียล จำกัด ที่มี ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ และ กล้า ตั้งสุวรรณ 2 หัวเรือใหญ่ จะมาอัพเดทจำนวนผู้ใช้โซเชียล มีเดีย แต่ละประเภท โดย ได้รวบรวมจำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดียล่าสุดในประเทศไทยจนถึงเดือนพฤษภาคม พบว่าเฟสบุ๊กมีผู้ใช้พุ่งขึ้นไป 41 ล้านยูสเซอร์แล้ว มีการเติบโต 17% และมีจำนวนเพจ 700,000 เพจ
ทวิตเตอร์มีจำนวนผู้ใช้ 5.3 ล้านยูสเซอร์ เติบโต 18% แต่มีจำนวนแอคทีฟ ยูสเซอร์ 1.2 ล้านยูสเซอร์ ส่วนอินสตาแกรมมีจำนวนผู้ใช้ 7.8 ล้านยูสเซอร์ มีการเติบโตพุ่งขึ้นถึง 74% มีผู้ใช้แอคทีฟในแต่ละวัน 1 ล้านยูสเซอร์ และไลน์ มีผู้ใช้ 33 ล้านยูสเซอร์
เมื่อมาดูภาพรวมของประชากรผู้ใช้เฟซบุ๊กทั่วโลกปัจจุบันมี 1,590 ล้านยูสเซอร์ มีการเติบโต 14% หรือคิดเป็น 21% ของจำนวนประชากรทั้งโลก โดยที่ประเทศที่มีการใช้เป็นอันดับหนึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา จำนวน 193 ล้านยูสเซอร์ รองลงมาคืออินเดีย 137 ฃ้านยูสเซอร์ และบราซิล 104 ล้านยูสเซอร์ สำหรับในประเทศไทยติดอันดับ 8 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊ก 41 ล้านยูสเซอร์ในประเทศไทย เมื่อแบ่งสัดส่วนผู้ใช้ตามเพศแล้ว ความน่าสนใจอยู่ที่ว่าปีนี้มีผู้ใช้ที่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงที่จำนวน 21 ล้านยูสเซอร์ และผู้หญิง 20 ล้านยูสเซอร์ เมื่อแยกสัดส่วนตามอายุแล้ว พบว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะอยู่ในอายุ 18-34 ปี
ช่วงเวลาที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กนิยมโพสท์มากที่สุดยังคงเป็นช่วง 10.00-12.00 น. ของแต่ละวัน รองลงมาก็เป็นช่วงบ่าย และก็มาพีคอีกทีในช่วง 20.00-21.00 น. แต่ช่วงเวลาที่แบรนด์นิยมโพสท์มากทุ่สดเป็นช่วง 11.00 น. และ 20.00 น.
มาดูช่วงเวลาที่คน Engage กับโพสท์ ไม่ว่าจะเป็นกดไลค์ คอมเมนต์ และแชร์ พบว่าช่วงเวลาที่คน Engage มากที่สุด คือช่วง 16.00 น. และ 20.00 น. วันที่มีการ Engage มากที่สุดคือวันพุธ ช่วง 9.00 – 16.00 น. ส่วนวันเสาร์เป็นวันที่มีการเอ็นเกจน้อยที่สุด
ทวิตเตอร์ก็พบว่ามีการทวีตมากที่สุดในช่วง 20.00-22.00 น. ส่วนช่วงเวลาอื่นก็มีบ้างประปลาย แต่ไม่ได้มีช่วงพีคมากเท่าไหร่
พฤติกรรมการใช้ทวิตเตอร์จะมีความแตกต่างจากโซเชียลมีเดียอื่นๆ ก็คือไม่ค่อยมีเอ้นเกจเมนต์เท่าไหร่ คนส่วนใหญ่นิยมอ่านผ่านๆ มากกว่าทำให้ช่วงเวลาที่คนเอ็นเกจกับโพสท์ค่อนข้างน้อย ช่วง 20.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่คนเอ็นเกจมากที่สุด
มาถึงโซเชียลมีเดียของผู้ชอบแชะแล้วแชร์ ช่วงเลาที่คนนิยมโพสท์อินสตาแกรม หรือไอจีมากที่สุดคือช่วง 20.00-21.00 น. แบรนด์สินค้าอาจจะเลือกใช้ช่วงเวลานี้ในการลงสินค้าใหม่ๆ หรือลงแคมเปญใหม่ๆ ในช่วงเวลานี้ก็ได้
ช่วงเวลาที่คนเอ็นเกจกับโพสท์มากที่สุดคือช่วงเย็นๆ ตั้งแต่ 17.00-22.00 น. โดยที่ช่วงเย็นวันศุกร์เป็นช่วงที่พีคที่สุดที่คนเอ้นเกจเมนต์ เพราะเป็นช่วงเวลาในการสังสรรค์ ปาร์ตี้ของแต่ละคน ซึ่งวันเสาร์ก็มีการเอ็นเกจไม่แพ้กันเช่นกัน
]]>สำนักข่าวซินหวาของทางการจีน รายงาน (26 ม.ค.) อ้างศูนย์ข้อมูลสารสนเทศและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจีน (CNNIC) ระบุจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายในประเทศ ปี 2557 อยู่ที่ 648 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 30 ล้านรายนับจากสิ้นปี 2556
ทางการจีนจำกัดคำนิยาม ‘ประชากรโลกออนไลน์’ ไว้ว่าหมายถึงผู้ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงระยะเวลาหกเดือนล่าสุด โดยปัจจุบันประเทศจีนกลายเป็นดินแดนที่มีผู้ใช้งานฯ มากกว่าประเทศอื่นๆ ทุกประเทศบนโลก
ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจีนจึงนับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไปโดยปริยาย โดยเป็นบ้านของตลาดอีคอมเมิร์ช (e-commerce) หรือพื้นที่ธุรกิจสำหรับการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ที่ขยับขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีเม็ดเงินปริมาณมหาศาลสะพัดหมุนเวียนไม่หยุดหย่อน
แต่อีกด้านหนึ่งรัฐบาลปักกิ่งก็เข้าควบคุมดูแลโลกไร้พรมแดนนี้อย่างเข้มงวดกวดขัน เนื่องจากพลเมืองจีนใช้อินเทอร์เน็ตเป็นกระดานพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งสร้างความกังวลให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ นำไปสู่การปิดกั้นเว็บไซต์ที่ส่อเค้าจุดประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง ด้วยระบบมหากำแพงไฟ (Great Firewall) รวมถึงสั่งการให้บริษัทโซเชียลมีเดียคอยเซ็นเซอร์เนื้อหาต้องห้ามอีกด้วย
ที่มา : http://manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9580000010378
“เฟซบุ๊ก” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดยอดนิยมที่นักการตลาดเลือกใช้สำหรับพูดคุยกับผู้บริโภคทางช่องทางออนไลน์ โดยแรกเริ่มนั้นเฟซบุ๊กขึ้นชื่อว่าเป็นสื่อใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เล่นเพื่อพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูง ทำให้กลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มวัยรุ่น
หลังจากเมื่อต้นปี 2014 ได้มีการรายงานจากแหล่งข่าวต่างประเทศหลายสำนักว่าโซเชียลมีเดียยอดนิยมอย่าง “เฟซบุ๊ก” ที่หลายคนมองว่ามีแต่กลุ่มวัยรุ่นที่นิยมเล่น แต่ในความเป็นจริงนั้นมีผู้ใช้ในกลุ่มวัยรุ่นลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมีสื่อใหม่ๆ ที่หอมหวานเย้ายวนน่าตื่นเต้นกว่าเฟซบุ๊กเข้ามา อีกทั้งเหล่าวัยรุ่นหลีกหนีมากขึ้นเพราะบรรดาผู้ใหญ่ ผู้ปกครองของพวกเขาเล่นมากขึ้นด้วยนั่นเอง จนเมื่อปลายปี 2014 มีการรายงานถึงจำนวนผู้ใช้ของกลุ่มวัยรุ่นถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤต!
จากผลการสำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่อายุระหว่าง 13-17 ปี มีการใช้เฟซบุ๊ก 88% ซึ่งลดลงจาก 94% ในปี 2014 และ 95% ในปี 2012
แต่ก็ยังถือว่ากลุ่มวัยรุ่นยังเป็นกลุ่มผู้ใช้กลุ่มใหญ่อยู่ แม้จะมีสัดส่วนผู้ใช้ลดลงถึง 6% ก็ตาม ซึ่งเฟซบุ๊กเองก็กำลังประสบปัญหาคู่แข่งจากโซเชียลมีเดียเจ้าอื่นเช่นกัน อย่างเช่น “ทวิตเตอร์” ที่มีผู้ใช้ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี เช่นเดียวกัน แต่มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 46% ในปี 2013 เป็น 48% ในปี 2014
เหตุผลหลักๆ ของผู้ใช้ในการมาสนับสนุนตัวเลขที่ลดลงนั้น โดยที่มีเพียง 9% เท่านั้นมีบอกว่าเฟซบุ๊กปลอดภัย และน่าเชื่อถือได้ ส่วน 18% บอกว่า เฟซบุ๊กไม่ค่อยสนุกอีกต่อไปแล้ว ในขณะที่ 40% บอกว่าเฟซบุ๊กมีลักษณะเหมือน Pinterest
อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กยังคงมี “Instagram (อินสตาแกรม)” ที่เคยซื้อไว้ด้วยมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012 และ “WhatsApp (วอทแอป)” ด้วยมูลค่า 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอินสตาแกรมก็สามารถมีผู้ใช้ถึง 300 ล้านยูสเซอร์/เดือน ในขณะที่วอทแอปเองก็มีผู้ใช้ 600 ล้านยูสเซอร์/เดือน โดยที่เป็นจำนวน Active User ทั้งสิ้น ยังไงซะกลุ่มวัยรุ่นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในอณาจักรของเฟซบุ๊กอยู่ดี
ที่มา : Mashable
โลกรู้มานานแล้วว่าเฟซบุ๊ก (Facebook) คือแชมป์เครือข่ายสังคมที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด แต่การสำรวจล่าสุดพบว่าเฟซบุ๊กกลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีผู้ใช้งานชาวอเมริกันกลุ่มสูงวัยเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับเครือข่ายสังคมอื่น สะท้อนว่าเฟซบุ๊กกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมของผู้ใช้กลุ่มนี้ไปแล้ว
สำนักวิจัยพิว (Pew Research Centre) เปิดเผยผลสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯจำนวน 1,597 คน พบว่าราว 71% ของกลุ่มผู้ใหญ่อเมริกันมีการใช้งานเฟซบุ๊กในปี 2014 ซึ่งแม้สัดส่วนนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับสถิติเดือนสิงหาคม 2013 แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ตัวเลขอายุของกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พิวพบว่าในกลุ่มผู้ใช้อเมริกันอายุ 65 ปีขึ้นไป ราว 56% เป็นผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากการสำรวจในปี 2013 ที่มีเพียง 45% อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 11 จุดนั้นโดดเด่นมากกว่าการเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุ 18-29 ปี ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กมีสัดส่วนเพิ่มเพียง 3 จุด จาก 84% เป็น 87%
ตารางเปรียบเทียบสัดส่วนผู้ใช้เฟซบุ๊กในปี 2014 เทียบกับปี 2013
สิ่งที่น่าสนใจคือ การสำรวจของพิวพบว่าเครือข่ายสังคมอย่างทวิตเตอร์ (Twitter) นั้นมีผู้ใช้กลุ่มอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปในสัดส่วนน้อยนัก โดยกลุ่มตัวอย่างผู้สูงวัยเพียง 10% เท่านั้นที่ใช้งานทวิตเตอร์ ขณะที่ 6% บอกว่าใช้งานอินสตาแกรม (Instagram)
อย่างไรก็ตาม เครือข่ายสังคมนักปักหมุดอย่างพินเทอร์เรส (Pinterest) กลับมีสัดส่วนผู้ใช้งานกลุ่มสูงวัยมากกว่าทวิตเตอร์และอินสตาแกรม โดย 17% ระบุว่าใช้งานพินเทอร์เรส ขณะที่ 21% ระบุว่าใช้งานเครือข่ายสังคมคนทำงานลิงต์อิน (LinkedIn)
ในขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่ผู้ใช้กลุ่มอายุ 30-49 ปีกลับมีสัดส่วนลดลงราว 6 จุด (จาก 79% ในปี 2013 เหลือ 73% ในปี 2014) ทั้งหมดนี้สวนทางกับผู้ใช้กลุ่มอายุ 50-64 ปีที่หลงเสน่ห์เฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นอีก 3 จุด (จาก 60% ในปี 2013 เป็น 63% ในปี 2014)
ที่มา : http://manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000004213